ปิดตำนานขบวนการ 5 สี ซูเปอร์ เซ็นไต โตเกียว, ญี่ปุ่น รายงานข่าวการ ปิดตำนานขบวนการ 5 สี “ซูเปอร์ เซ็นไต” (Super Sentai) หลังจากออกอากาศมาครบ 50 ปี ได้ถูกเปิดเผยว่าเป็นผลมาจากการตัดสินใจทางธุรกิจครั้งสำคัญของ Toei Company โดยมีเป้าหมายเพื่อปรับปรุงความสามารถในการทำกำไรของแฟรนไชส์ โทคุซัทสึ ในยุคที่ต้นทุนการผลิตพุ่งสูงขึ้นอย่างก้าวกระโดด ในขณะที่รายได้จาก สินค้าลิขสิทธิ์ ไม่สามารถตามทันได้อีกต่อไป
ปิดตำนานขบวนการ 5 สี ซูเปอร์ เซ็นไต
การที่ซีรีส์ No.1 Sentai Gozyuger ซึ่งกำลังฉายอยู่บน TV Asahi จะเป็นภาคสุดท้ายของชื่อ “ซูเปอร์ เซ็นไต” ถือเป็นการยุติความสัมพันธ์ที่ยาวนานระหว่าง Toei Company กับโมเดลการขายฟุตเทจให้กับตลาดตะวันตก ซึ่งนำไปสู่การตั้งคำถามถึงชะตากรรมของ Power Rangers ต้นฉบับ ของ Hasbro ที่พึ่งพาฟุตเทจเหล่านั้นมานานกว่าสามทศวรรษ ปิดตำนานขบวนการ 5 สี ซูเปอร์ เซ็นไต

1. ปัญหาการเงินของ Sentai ทำไม Kamen Rider ถึงรอด?
แรงจูงใจที่ถูกระบุอย่างชัดเจนจากแหล่งข่าววงในคือ ต้นทุนการผลิต (Production Costs) ที่เกินดุลกับรายได้ที่เกิดจากสินค้าที่ผูกติดกับซีรีส์ โดยเฉพาะยอดขายของเล่นจาก Bandai
ความแตกต่างทางการเงินระหว่างคู่แข่ง
- ต้นทุนที่ซ้ำซ้อนของ Sentai ซูเปอร์ เซ็นไต ต้องมีการออกแบบและผลิตชุดเกราะ, อาวุธ, และหุ่นยนต์ยักษ์ (Megazords) ใหม่ทั้งหมดเกือบทุกปี ซึ่งแต่ละชุดประกอบด้วยองค์ประกอบที่ซับซ้อนจำนวนมากเพื่อรองรับทีมฮีโร่หลากสีที่มักมี 5-6 คน
- ความได้เปรียบของ Kamen Rider ในทางตรงกันข้าม แฟรนไชส์ Kamen Rider ซึ่งเป็นซีรีส์ โทคุซัทสึ อีกชุดที่ประสบความสำเร็จของ Toei Company มักจะเน้นไปที่ฮีโร่หลักเพียงคนเดียว (The Solo Hero) และมียอดขายสินค้าที่มาจากอุปกรณ์แปลงร่างขนาดเล็ก (Collectables) ที่สูงกว่าและทำกำไรได้ดีกว่าหุ่นยนต์ยักษ์ของ Sentai มาเป็นเวลานาน
- การลดลงของตลาดทีวีดั้งเดิม การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมผู้ชมเด็กที่หันไปใช้แพลตฟอร์มสตรีมมิง และการเติบโตของสื่อวิดีโอเกมและแอนิเมชัน ได้บั่นทอนเรตติ้งและยอดขาย สินค้าลิขสิทธิ์ ของรายการทีวีเด็กแบบดั้งเดิมอย่าง ซูเปอร์ เซ็นไต อย่างรุนแรง
การตัดสินใจ ปิดตำนานขบวนการ 5 สี “ซูเปอร์ เซ็นไต” จึงไม่ใช่การทำลาย IP แต่เป็น IP Strategy ที่เด็ดขาดในการ “ตัดขายทิ้ง” (Sunsetting) ชื่อแบรนด์ที่ทำกำไรได้น้อย เพื่อเปิดทางให้เกิดการสร้างสรรค์รูปแบบใหม่ที่สามารถลดต้นทุนการผลิตและเพิ่มโอกาสในการทำตลาดโลก

2. ยุทธศาสตร์ “Toei Rebranding” ปลดแอกสู่ตลาดโลก
มีการวิเคราะห์อย่างกว้างขวางในกลุ่มแฟน ๆ และผู้เชี่ยวชาญว่า การยุติชื่อ ซูเปอร์ เซ็นไต อาจไม่ใช่การสิ้นสุด แต่เป็นการ Toei Rebranding ครั้งใหญ่
- การหลีกเลี่ยงข้อจำกัดทางลิขสิทธิ์ Toei Company กำลังผลักดันยุทธศาสตร์ “TOEI NEW WAVE 2033” เพื่อขยายตลาดทั่วโลก โดยตั้งเป้าให้ตลาดต่างประเทศสร้างรายได้ถึง 50% ภายในปี 2033 การใช้ชื่อ “ซูเปอร์ เซ็นไต” มีข้อจำกัดทางกฎหมายที่ซับซ้อนที่ต้องแบ่งปันสิทธิ์กับ Hasbro ในตลาดตะวันตก การรีแบรนด์อาจเป็นการสร้างซีรีส์ฮีโร่ทีมใหม่ภายใต้ชื่ออื่น (เช่น Great Squadron หรือ Battle Team) ซึ่งจะทำให้ Toei Company สามารถควบคุม IP Strategy ได้อย่างเต็มที่ และส่งออกเนื้อหาไปยังแพลตฟอร์มสตรีมมิงทั่วโลกได้โดยตรง เหมือนที่ประสบความสำเร็จในการขยายตลาดของ Kamen Rider เมื่อไม่นานมานี้
- การปรับรูปแบบการผลิต ซีรีส์ใหม่ที่มาแทนที่อาจมีการปรับลดจำนวนตอนลง หรือมีการลดขนาดและความซับซ้อนของการออกแบบหุ่นยนต์ยักษ์และชุดเกราะเพื่อควบคุม ต้นทุนการผลิต และทำให้การสร้าง สินค้าลิขสิทธิ์ มีความยืดหยุ่นและทำกำไรได้ง่ายขึ้น

3. ชะตากรรมของ Power Rangers และผลกระทบต่อ Hasbro
ผลกระทบที่สำคัญที่สุดในระดับสากลคือชะตากรรมของ Power Rangers ที่เป็น Power Rangers ต้นฉบับ ที่ต้องเผชิญกับทางเลือกที่ยากลำบาก
- สิ้นสุดยุคของ Cheap Adaptation ตลอด 30 ปีที่ผ่านมา Power Rangers สร้างขึ้นจากโมเดล “Cheap Adaptation” คือการซื้อฟุตเทจฉากแอ็กชันและหุ่นยนต์ราคาถูก (เชื่อกันว่าบางช่วงราคาเพียง 10,000 ดอลลาร์ต่อฤดูกาลในช่วงแรก) จาก ซูเปอร์ เซ็นไต มาใช้ การยุติซีรีส์ทำให้ Hasbro ต้องตัดสินใจครั้งใหญ่
- ทางเลือกที่ 1 Original Production (แพง) Hasbro ต้องลงทุนสร้างฉากแอ็กชัน, ชุดเกราะ, และหุ่นยนต์ใหม่ทั้งหมดในสหรัฐฯ หรือนิวซีแลนด์ ซึ่ง ต้นทุนการผลิต จะเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล ซึ่งเป็นความเสี่ยงที่สูงมากหลังจากการทดลองสร้างฟุตเทจอเมริกันส่วนใหญ่ใน Power Rangers Cosmic Fury ที่มีรายงานว่า “ล้มเหลว”
- ทางเลือกที่ 2 The Reboot (ความเสี่ยงสูง) การหยุดพักการผลิตไปเลย (Hiatus) และเปิดตัวซีรีส์ใหม่ที่เป็น Original Reboot ทั้งหมดในรูปแบบใหม่ หรือทำเป็นแอนิเมชันแทน เพื่อเริ่มต้น IP Strategy ใหม่ โดยไม่ต้องผูกติดกับฟุตเทจญี่ปุ่นอีกต่อไป ซึ่งสอดคล้องกับรายงานก่อนหน้านี้ที่ว่า Hasbro ได้ยุติการพัฒนาซีรีส์คนแสดงชุดใหม่ที่ร่วมกับ Netflix
“การยุติของ Sentai ทำให้ Power Rangers ไม่สามารถใช้ฟุตเทจญี่ปุ่นได้อีกต่อไป ซึ่งหมายถึงการเพิ่มต้นทุนการผลิตอย่างรุนแรง หรือไม่ก็เป็นจุดจบของซีรีส์ตามรูปแบบดั้งเดิมที่เราคุ้นเคย” — ทัศนะจากนักวิเคราะห์อุตสาหกรรมบันเทิง
การ ปิดตำนานขบวนการ 5 สี ซูเปอร์ เซ็นไต จึงไม่ใช่เพียงแค่การสิ้นสุดของรายการทีวีชุดหนึ่ง แต่เป็นการสั่นสะเทือนทางธุรกิจและลิขสิทธิ์ระดับโลก ที่ส่งผลกระทบต่อสองบริษัทบันเทิงยักษ์ใหญ่ คือ Toei Company ของญี่ปุ่นที่กำลังต่อสู้เพื่อความอยู่รอดทางเศรษฐกิจ และ Hasbro ของสหรัฐฯ ที่กำลังเผชิญกับการลงทุนครั้งใหม่ที่ต้องกำหนดอนาคตของ Power Rangers ต้นฉบับ โดยสิ้นเชิง
แหล่งที่มาจาก : am2con