ทรัมป์ส่งเรือบรรทุกเครื่องบิน สถานการณ์ในซีกโลกตะวันตกกำลังทวีความตึงเครียดถึงขีดสุด เมื่อเพนตากอนยืนยันคำสั่งจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ให้ส่ง “USS Gerald R. Ford” เรือบรรทุกเครื่องบินที่ใหญ่ที่สุดและทันสมัยที่สุดในโลก มุ่งหน้าสู่ทะเลแคริบเบียน การเคลื่อนไหวทางทหารครั้งใหญ่นี้ ถูกประกาศอย่างเป็นทางการว่าเป็น “การยกระดับ” ปฏิบัติการต่อต้านยาเสพติดที่กำลังดำเนินอยู่อย่างดุเดือด แต่สำหรับนานาชาติและโดยเฉพาะรัฐบาลเวเนซุเอลา นี่คือสัญญาณที่ชัดเจนที่สุดของการเพิ่มแรงกดดันทางทหารในระดับที่แทบไม่เคยปรากฏมาก่อน การมาถึงของ “ป้อมปราการลอยน้ำ” มูลค่า 1.3 หมื่นล้านดอลลาร์นี้ กำลังเขย่าเสถียรภาพของภูมิภาค และจุดชนวนคำถามสำคัญว่า นี่คือการปราบปรามขบวนการค้ายา หรือฉากหน้าของการเตรียมพร้อมสำหรับปฏิบัติการขั้นเด็ดขาดต่อระบอบการปกครองของประธานาธิบดี นิโคลัส มาดูโร

ทรัมป์ส่งเรือบรรทุกเครื่องบิน การยกระดับสู่อันตราย จาก “การสกัดกั้น” สู่ “ปฏิบัติการสังหาร”
การส่ง USS Gerald R. Ford (CVN-78) ไม่ได้เกิดขึ้นในสุญญากาศ แต่เป็นการต่อยอดจากปฏิบัติการทางทหารที่รัฐบาลทรัมป์ได้เริ่มต้นไว้ตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2025 และทวีความรุนแรงขึ้นในเดือนกันยายน
ย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 1 กันยายน 2025 ประธานาธิบดีทรัมป์ได้ประกาศความสำเร็จของ “การโจมตีทางอากาศ” (Airstrike) ครั้งแรกต่อเรือต้องสงสัยที่บรรทุกยาเสพติดในทะเลแคริบเบียน ซึ่งส่งผลให้มีผู้เสียชีวิต 11 ราย นับตั้งแต่นั้นมา ปฏิบัติการลักษณะนี้ก็เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ข้อมูลจากแหล่งข่าวกรองและรายงานที่ได้รับการยืนยันจากเพนตากอน (ตามรายงานของ AP และ Reuters) ระบุว่า
- ปฏิบัติการโจมตีที่เพิ่มขึ้น จนถึงปลายเดือนตุลาคม 2025 มีการโจมตีเรือต้องสงสัยไปแล้วอย่างน้อย 10 ครั้ง ทั้งในทะเลแคริบเบียนและขยายวงไปยังมหาสมุทรแปซิฟิกตะวันออก
- ผู้เสียชีวิตพุ่งสูง ปฏิบัติการ “สงครามยาเสพติด” รูปแบบใหม่นี้ ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตแล้วอย่างน้อย 43 ราย และถูกจับกุม 2 ราย
- การระบุเป้าหมาย รัฐบาลสหรัฐฯ อ้างว่าเรือเหล่านี้มีความเชื่อมโยงกับองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติที่ถูกกำหนดให้เป็น “ผู้ก่อการร้ายยาเสพติด” (Narcoterrorists) โดยเฉพาะอย่างยิ่งแก๊ง “เทรน เดอ อารากัว” (Tren de Aragua) ซึ่งเป็นแก๊งอาชญากรรมขนาดใหญ่ที่มีต้นกำเนิดจากเรือนจำในเวเนซุเอลา และกลุ่มกองโจร ELN ของโคลอมเบีย
การที่ทรัมป์เปลี่ยนนโยบายจากการ “สกัดกั้นและจับกุม” (Interdiction) ในสมัยรัฐบาลก่อนๆ มาเป็นการ “โจมตีและทำลาย” (Lethal Strikes) ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงเชิงยุทธศาสตร์ที่รุนแรง ซึ่งถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักจากกลุ่มสิทธิมนุษยชนและผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายระหว่างประเทศ ถึงความชอบธรรมของการสังหารนอกกระบวนการยุติธรรมในน่านน้ำสากล
“USS Gerald R. Ford” คือผู้เปลี่ยนเกม ขุมกำลังมหาศาลที่มุ่งหน้าสู่เวเนซุเอลา
การตัดสินใจล่าสุดในการส่งเรือบรรทุกเครื่องบินพลังงานนิวเคลียร์ USS Gerald R. Ford ซึ่งเพิ่งเสร็จสิ้นภารกิจในทะเลเมดิเตอร์เรเนียน (ตามรายงานจาก The War Zone และ India Today) ให้ย้ายมาประจำการภายใต้ กองบัญชาการภาคใต้ของสหรัฐฯ (USSOUTHCOM) ถือเป็นการส่งสัญญาณที่ไม่อาจตีความเป็นอื่นได้
USS Ford ไม่ได้มาเพียงลำพัง แต่มาในฐานะ “หมู่เรือจู่โจม” (Carrier Strike Group – CSG) ซึ่งประกอบด้วย
- เรือพิฆาตติดขีปนาวุธนำวิถี (Destroyers) อย่างน้อย 3 ลำ
- เรือลาดตระเวน (Cruiser)
- ฝูงบินประจำเรือบรรทุกเครื่องบิน (Carrier Air Wing) ซึ่งรวมถึงเครื่องบินรบยุคที่ 5 อย่าง F-35C Lightning II
นี่ไม่ใช่ขุมกำลังที่ใช้สำหรับไล่ล่าเรือขนโคเคนขนาดเล็ก แต่เป็นกองกำลังที่ออกแบบมาเพื่อ “การสงครามเต็มรูปแบบ” (Full-Scale Warfare)
แหล่งข่าวระดับสูงในเพนตากอนให้สัมภาษณ์กับ The Guardian ว่า “การมีอยู่ของ F-35C หมายความว่าสหรัฐฯ จะมีขีดความสามารถในการเจาะทะลวงระบบป้องกันภัยทางอากาศของศัตรู” ซึ่งในบริบทของแคริบเบียน “ศัตรู” ที่มีระบบป้องกันภัยทางอากาศที่ทันสมัยที่สุด (เช่น ระบบ S-300 ที่ซื้อจากรัสเซีย) ก็คือ เวเนซุเอลา
กองกำลังนี้จะเข้าสมทบกับเรือรบสหรัฐฯ อีกเกือบ 10 ลำที่ปฏิบัติการในพื้นที่อยู่ก่อนแล้ว ซึ่งรวมถึงเรือโจมตีสะเทินน้ำสะเทินบก และเรือรบชายฝั่ง (Littoral Combat Ship)

“ยาเสพติดคือข้ออ้าง รุกรานคือเป้าหมาย” – เสียงคำรามจากเวเนซุเอลา
ในกรุงการากัส รัฐบาลของประธานาธิบดี นิโคลัส มาดูโร ตอบโต้การเคลื่อนไหวนี้อย่างดุเดือด มาดูโร ซึ่งถูกรัฐบาลสหรัฐฯ ตั้งข้อหา “ก่อการร้ายยาเสพติด” (Narcoterrorism) และตั้งค่าหัวไว้ 15 ล้านดอลลาร์มาตั้งแต่ปี 2020 ประณามการกระทำของสหรัฐฯ ว่าเป็น “การรุกราน” และ “จักรวรรดินิยม”
“พวกเขาใช้ยาเสพติดเป็นข้ออ้าง” มาดูโรกล่าวผ่านสถานีโทรทัศน์แห่งชาติ “เป้าหมายที่แท้จริงคือการขโมยน้ำมันของเรา คือการทำลายการปฏิวัติโบลิวาร์ และคือการเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครอง”
เพื่อตอบโต้การเสริมกำลังของสหรัฐฯ รัฐบาลเวเนซุเอลาได้สั่งการซ้อมรบทางทหารครั้งใหญ่ตลอดแนวชายฝั่งยาว 2,000 กิโลเมตร โดยอ้างว่าเป็นการเตรียมความพร้อมเพื่อ “ปกป้องอธิปไตย” จากการรุกรานที่อาจเกิดขึ้น
นักวิเคราะห์การเมืองในละตินอเมริกาตั้งข้อสังเกตว่า แม้เวเนซุเอลาจะเป็นเส้นทางผ่านที่สำคัญของยาเสพติดจริง แต่การที่รัฐบาลทรัมป์เพ่งเล็งเป้าหมายมาที่นี่อย่างชัดเจน ในขณะที่ข้อมูลของ DEA (สำนักงานปราบปรามยาเสพติดของสหรัฐฯ) เองก็ชี้ว่าเส้นทางหลักของเฟนทานิล (Fentanyl) ซึ่งเป็นยาเสพติดที่อันตรายที่สุดในสหรัฐฯ มาทางชายแดนเม็กซิโก ยิ่งทำให้ข้อกล่าวหาเรื่อง “แรงจูงใจทางการเมือง” มีน้ำหนักมากขึ้น
การทูตเรือปืน (Gunboat Diplomacy) ยุคใหม่ ทรัมป์กำลังคิดอะไร?
การส่ง ทรัมป์ส่งเรือบรรทุกเครื่องบิน ที่ใหญ่ที่สุดในโลกไปยัง “สวนหลังบ้าน” ของตนเอง เป็นการส่งสารเชิงภูมิรัฐศาสตร์ที่ชัดเจนหลายประการ
- แรงกดดันสูงสุด (Maximum Pressure) นี่คือการดำเนินนโยบาย “แรงกดดันสูงสุด” ต่อเวเนซุเอลาในรูปแบบทางทหาร หลังจากที่มาตรการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจอย่างหนักหน่วงนานหลายปี ไม่สามารถโค่นล้มระบอบมาดูโรได้สำเร็จ
- การแสดงแสนยานุภาพต่อพันธมิตรของเวเนฯ การเคลื่อนไหวนี้ยังเป็นการส่งสัญญาณโดยตรงไปยังพันธมิตรของเวเนซุเอลา โดยเฉพาะ รัสเซีย, จีน และอิหร่าน ซึ่งมีความสัมพันธ์ทางทหารและเศรษฐกิจที่ใกล้ชิดกับรัฐบาลการากัส ว่าสหรัฐฯ พร้อมที่จะใช้กำลังทางทหารเพื่อปกป้องผลประโยชน์ในซีกโลกตะวันตก
- การเมืองภายในประเทศ ในขณะที่การเลือกตั้งกลางเทอม (หากอยู่ในบริบทนั้น) หรือการสร้างผลงานในวาระที่สอง ปฏิบัติการทางทหารที่ “ดูแข็งแกร่ง” ต่อต้านยาเสพติดและการ “ปกป้อง” พรมแดนอเมริกา มักจะได้รับเสียงสนับสนุนจากฐานเสียงหลักของทรัมป์
ฌอน พาร์เนลล์ (Sean Parnell) โฆษกเพนตากอน กล่าวในแถลงการณ์อย่างเป็นทางการว่า
“การเสริมกำลังของสหรัฐฯ ในพื้นที่รับผิดชอบของ USSOUTHCOM จะช่วยเพิ่มขีดความสามารถของสหรัฐฯ ในการตรวจจับ ติดตาม และขัดขวางผู้กระทำผิดและกิจกรรมที่ผิดกฎหมาย ที่บ่อนทำลายความปลอดภัยและความเจริญรุ่งเรืองของมาตุภูมิอเมริกาและความมั่นคงของเราในซีกโลกตะวันตก”

บทสรุป ความตึงเครียดที่รอวันปะทุ
ทรัมป์ส่งเรือบรรทุกเครื่องบิน การส่ง USS Gerald R. Ford สู่ทะเลแคริบเบียน ได้ยกระดับ “สงครามยาเสพติด” ของประธานาธิบดีทรัมป์ จากปฏิบัติการสกัดกั้น ไปสู่การข่มขู่ทางทหารเต็มรูปแบบ
ขณะนี้ ทะเลแคริบเบียนไม่ได้เป็นเพียงเส้นทางลักลอบขนยาเสพติดอีกต่อไป แต่ได้กลายเป็น “จุดวาบไฟ” (Flashpoint) ทางภูมิรัฐศาสตร์ที่อันตรายที่สุดแห่งหนึ่งของโลก กองเรือรบที่ใหญ่ที่สุดในโลกกำลังลอยลำอยู่ห่างจากชายฝั่งเวเนซุเอลาเพียงไม่กี่ร้อยไมล์ ภายใต้คำสั่งของผู้นำสหรัฐฯ ที่ไม่เคยลังเลในการใช้กำลัง
คำถามที่ดังก้องไปทั่วโลกในขณะนี้ไม่ใช่ “อะไรจะเกิดขึ้นต่อไป” แต่เป็น “เมื่อไหร่” ที่การเผชิญหน้าครั้งนี้จะเปลี่ยนจากการข่มขู่ไปสู่การปะทะโดยตรง ซึ่งผลลัพธ์ที่ตามมาอาจสร้างความสั่นสะเทือนให้กับละตินอเมริกาทั้งทวีป
แหล่งที่มาจาก : am2con