การละทิ้งบทบาทผู้นำ ทรัมป์กำหนดเพดานรับผู้ลี้ภัยต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 7,500 คน พร้อม เน้นคนผิวขาวแอฟริกาใต้ จุดชนวนวิกฤตทางศีลธรรมในสหรัฐฯ

เพดานรับผู้ลี้ภัย

วอชิงตัน, สหรัฐอเมริกา รัฐบาลประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้ประกาศ เพดานรับผู้ลี้ภัยต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 7,500 คน สำหรับปีงบประมาณ 2026 (ต.ค. 2568 – ก.ย. 2569) ซึ่งถือเป็นการลดจำนวนผู้ลี้ภัยที่จะได้รับการต้อนรับเข้าสู่สหรัฐฯ ลงอย่างรุนแรงที่สุดนับตั้งแต่มีการก่อตั้งโครงการรับผู้ลี้ภัยแห่งสหรัฐอเมริกา (USRAP) ในปี 1980 การตัดสินใจครั้งนี้ไม่เพียงแต่เป็น ‘จุดตกต่ำทางศีลธรรม’ ดังที่องค์กรสิทธิมนุษยชนระบุ แต่ยังเป็นการเน้นย้ำถึงการให้น้ำหนักที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน โดยผู้ที่จะได้รับสิทธิพิเศษในการเข้าประเทศเป็นลำดับแรกคือ คนผิวขาวแอฟริกาใต้ หรือ Afrikaners

การประกาศดังกล่าวมีขึ้นเมื่อวันพฤหัสบดีที่ 30 ตุลาคม 2568 และได้สร้างความตื่นตระหนกและเสียงประณามจากพรรคเดโมแครตและเครือข่ายองค์กรช่วยเหลือผู้ลี้ภัยทั่วโลก ซึ่งเห็นว่าการกระทำนี้เป็นการใช้โครงการมนุษยธรรมที่เคยได้รับการสนับสนุนจากสองพรรคการเมืองในอดีต มาเป็นเครื่องมือในการเมืองแบบเลือกปฏิบัติ

Trump sets refugee ceiling at record-low 7,500 with focus on white South  Africans

1. 7,500 คน การลดบทบาทผู้นำมนุษยธรรมของสหรัฐฯ

โครงการผู้ลี้ภัยแห่งสหรัฐอเมริกา (USRAP) เคยเป็น ‘เพชรยอดมงกุฎ’ ของนโยบายการต่างประเทศของสหรัฐฯ โดยนับตั้งแต่ปี 1980 ค่าเฉลี่ยของ เพดานรับผู้ลี้ภัย มักจะสูงกว่า 95,000 คนต่อปี โดยเพดานล่าสุดที่กำหนดโดยรัฐบาลชุดก่อนหน้า (ประธานาธิบดีโจ ไบเดน) อยู่ที่ 125,000 คน

ผลกระทบของเพดานรับผู้ลี้ภัยต่ำสุดเป็นประวัติการณ์

  • การปฏิเสธผู้ที่เปราะบาง การจำกัดจำนวนเหลือเพียง 7,500 คน ทำให้ผู้ลี้ภัยหลายหมื่นคนที่ผ่านกระบวนการตรวจสอบความปลอดภัยอย่างเข้มงวดมานานหลายปี และกำลังรอคอยการเดินทางหนีจากพื้นที่สงคราม การข่มเหง และการกดขี่ในประเทศต่าง ๆ เช่น อัฟกานิสถาน, เมียนมา, และซูดาน ต้องติดค้างอยู่ในสถานการณ์ที่อันตรายต่อไป
  • การทำลายความน่าเชื่อถือของ USRAP องค์กรอย่าง Global Refuge ออกมากล่าวประณามว่า การตัดสินใจนี้ไม่เพียงแต่ลด เพดานรับผู้ลี้ภัยต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 7,500 คน แต่ยัง “ลดสถานะทางศีลธรรมของเรา” (lowers our moral standing) และบ่อนทำลายหลักการสากลที่ว่าความช่วยเหลือควรขึ้นอยู่กับความเปราะบาง ไม่ใช่เชื้อชาติ

“นับตั้งแต่โครงการผู้ลี้ภัยของสหรัฐฯ ถูกสร้างขึ้นในปี 1980 ได้ให้ความช่วยเหลือผู้คนกว่า 2 ล้านคนที่หนีจากการกวาดล้างทางชาติพันธุ์และความน่าสะพรึงกลัวอื่น ๆ แต่ตอนนี้มันจะถูกใช้เป็นเส้นทางสำหรับการย้ายถิ่นฐานของคนผิวขาว” — Aaron Reichlin-Melnick, American Immigration Council

Trump sets 7,500 annual limit for refugees to US. It'll be mostly white  South Africans

2. สิทธิพิเศษทางเชื้อชาติ การมุ่งเน้นไปยัง Afrikaners

ประเด็นที่สร้างความขัดแย้งมากที่สุดคือการที่คำสั่งประธานาธิบดีระบุว่าโควตาจำนวนจำกัดนี้จะ “จัดสรรให้เป็นหลักในหมู่ คนผิวขาวแอฟริกาใต้ (Afrikaners)” ซึ่งเป็นชนกลุ่มน้อยผิวขาวเชื้อสายดัตช์ใน แอฟริกาใต้

แรงจูงใจทางการเมืองและการตอบโต้ทางภูมิรัฐศาสตร์

  1. ข้อกล่าวหา “การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์คนผิวขาว” ประธานาธิบดีทรัมป์ได้กล่าวอ้างซ้ำแล้วซ้ำเล่าถึงการเลือกปฏิบัติและความรุนแรงที่กลุ่ม Afrikaners โดยเฉพาะเกษตรกรผิวขาว กำลังเผชิญใน แอฟริกาใต้ รวมถึงการกล่าวหาว่านโยบายปฏิรูปที่ดินของรัฐบาลแอฟริกาใต้เป็น “การเลือกปฏิบัติทางเชื้อชาติอย่างไม่ยุติธรรม” (unjust racial discrimination) แม้ว่ารัฐบาล แอฟริกาใต้ จะปฏิเสธข้อกล่าวหา “การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์คนผิวขาว” (White Genocide) ว่า “ไม่มีหลักฐานที่น่าเชื่อถือสนับสนุน”
  2. การใช้ผู้ลี้ภัยเป็นเครื่องมือทางการทูต นโยบายนี้ถูกมองว่าเป็นความพยายามของทรัมป์ในการแสดงออกทางการเมืองต่อกลุ่มฐานเสียงอนุรักษ์นิยมในประเทศ และในขณะเดียวกันก็เป็นการสร้างความตึงเครียดทางการทูตกับรัฐบาลแอฟริกาใต้ชุดปัจจุบัน ซึ่งก่อนหน้านี้เคยทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศย่ำแย่ลงถึงขั้นมีการตัดความช่วยเหลือทางการเงิน
  3. การเบี่ยงเบนจากความเป็นจริง แอฟริกาใต้ มีอัตราอาชญากรรมที่สูง แต่รัฐบาลแอฟริกาใต้ยืนยันว่าการโจมตีเกษตรกร (Farm Attacks) ไม่ได้พุ่งเป้าไปที่เชื้อชาติใดเชื้อชาติหนึ่งเป็นการเฉพาะ ขณะที่สถิติแสดงให้เห็นว่าคนผิวขาวซึ่งมีจำนวนประมาณ 7.3% ของประชากร ยังคงครอบครองที่ดินทำกินกว่า 72%

3. ผลกระทบต่อเศรษฐกิจและสังคมภายในสหรัฐฯ

การลด เพดานรับผู้ลี้ภัย ไม่เพียงส่งผลกระทบต่อมนุษยธรรมในระดับโลก แต่ยังส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจและสังคมในสหรัฐฯ เองด้วย

  • ผลกระทบทางเศรษฐกิจ การศึกษาหลายฉบับชี้ให้เห็นว่าผู้ลี้ภัยมีส่วนช่วยในการลดปัญหาการขาดแคลนแรงงานและสร้างผลกระทบทางการเงินสุทธิที่เป็นบวกต่อเศรษฐกิจของสหรัฐฯ โดย Gideon Maltz ซีอีโอของ Tent Partnership for Refugees กล่าวว่า “การทำลายโครงการนี้ในวันนี้ไม่ใช่การทำให้ ‘อเมริกาต้องมาก่อน’ แต่เป็นตรงกันข้าม”
  • การบั่นทอนเครือข่ายการตั้งถิ่นฐาน การลดจำนวนผู้ลี้ภัยอย่างรุนแรงทำให้เครือข่ายองค์กรการตั้งถิ่นฐาน (Resettlement Agencies) ที่มีมายาวนานทั่วสหรัฐฯ ต้องปิดตัวลงหรือลดขนาดลงอย่างมาก ทำให้แม้ว่าในอนาคตจะมีรัฐบาลใหม่ที่ต้องการเพิ่มเพดานการรับผู้ลี้ภัย แต่โครงสร้างพื้นฐานในการต้อนรับและช่วยเหลือก็ได้รับความเสียหายอย่างหนักแล้ว
  • การลดการช่วยเหลือ รัฐบาลทรัมป์ยังได้ประกาศแผนการโอนอำนาจการดูแลโครงการสนับสนุนผู้ลี้ภัยจากกระทรวงการต่างประเทศไปยังกระทรวงสาธารณสุขและบริการมนุษย์ (HHS) พร้อมทั้งลดระยะเวลาการให้ความช่วยเหลือทางการเงินและสุขภาพหลัก (Cash and Medical Assistance) จาก 12 เดือนเหลือเพียง 4 เดือน ซึ่งยิ่งทำให้การเริ่มต้นชีวิตใหม่ของผู้ลี้ภัยเป็นไปได้ยากขึ้นอย่างมาก

Explaining the controversy surrounding white South African refugees

การกำหนด เพดานรับผู้ลี้ภัยต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 7,500 คน โดยมีวาระทางเชื้อชาติแอบแฝง ถือเป็นหมุดหมายที่สำคัญในการเปลี่ยนแปลงนโยบาย การย้ายถิ่นฐาน ของสหรัฐฯ ที่หันหลังให้กับหลักการมนุษยธรรมสากล และหันมาให้น้ำหนักกับวาระการเมืองภายในประเทศและการทูตที่ตั้งอยู่บนความขัดแย้ง การตัดสินใจครั้งนี้ไม่เพียงแต่จะส่งผลกระทบต่อชีวิตของผู้คนที่เปราะบางที่สุดทั่วโลกเท่านั้น แต่ยังส่งผลต่อภาพลักษณ์และสถานะของสหรัฐฯ ในฐานะผู้นำโลกด้านสิทธิมนุษยชนอย่างมิอาจปฏิเสธได้

 

แหล่งที่มาจาก : am2con