มาเล, มัลดีฟส์ – ในการเคลื่อนไหวที่สร้างแรงสั่นสะเทือนไปทั่วโลก รัฐสภาแห่งชาติ (People’s Majlis) ของมัลดีฟส์ ได้ลงมติผ่านร่างกฎหมายประวัติศาสตร์ “Tobacco Control (Generational Ban) Act 2025” อย่างเป็นเอกฉันท์ ส่งผลให้ มัลดีฟส์สร้างประวัติศาสตร์ เป็น ประเทศแรกของโลก ที่บังคับใช้กฎหมาย ห้ามคนรุ่นใหม่สูบบุหรี่ตลอดชีวิต อย่างเป็นรูปธรรม กฎหมายฉบับนี้ ซึ่งห้ามการขายผลิตภัณฑ์ยาสูบทุกชนิดแก่บุคคลที่เกิดในหรือหลังวันที่ 1 มกราคม 2014 ถือเป็นนโยบายสาธารณสุขที่เข้มงวดและทะเยอทะยานที่สุดในศตวรรษที่ 21 การตัดสินใจครั้งนี้ไม่เพียงแต่ทำให้มัลดีฟส์แซงหน้า “นิวซีแลนด์” (ซึ่งเคยเป็นผู้บุกเบิกแนวคิดนี้แต่ได้ยกเลิกไปเสียก่อน) แต่ยังเป็นการจุดชนวน “การทดลองทางสังคม” ครั้งสำคัญ ที่จะพิสูจน์ความเป็นไปได้ในการขจัดยาสูบให้หมดสิ้นไป ท่ามกลางการต่อต้านอย่างหนักจากอุตสาหกรรมยาสูบ และความท้าทายใหญ่หลวงต่อ “อุตสาหกรรมการท่องเที่ยว” ซึ่งเป็นเส้นเลือดหลักของประเทศ
“Gen-Z” สู่ “รุ่นปลอดควัน” เจาะลึกกฎหมายที่เข้มงวดที่สุดในโลก
กฎหมาย มัลดีฟส์ ห้ามสูบบุหรี่ ฉบับใหม่นี้ แตกต่างจากการขึ้นภาษีหรือการจำกัดพื้นที่สูบบุหรี่ที่ผ่านมาโดยสิ้นเชิง แต่มันคือการ “ขจัดอุปสงค์” ในอนาคตอย่างถาวร
กลไกการทำงานของ “Generational Ban”
แนวคิดหลักของกฎหมายนี้เรียกว่า “Generational Endgame” หรือ “การแบนตามรุ่นอายุ” (Generational Ban) ซึ่งหมายความว่า
- จุดตัด (Cut-off Date) บุคคลใดก็ตามที่เกิดในหรือหลังวันที่ 1 มกราคม 2014 (ซึ่งในปี 2025 จะมีอายุ 11 ปี) จะไม่สามารถซื้อบุหรี่หรือผลิตภัณฑ์ยาสูบใดๆ ในมัลดีฟส์ได้ตามกฎหมาย ตลอดชีวิตของพวกเขา
- อายุที่เพิ่มขึ้นตามกฎหมาย มันไม่เหมือนกฎหมายที่กำหนดอายุขั้นต่ำ 18 หรือ 21 ปี แต่เป็น “อายุขั้นต่ำที่เพิ่มขึ้นทุกปี”
- ตัวอย่างเช่น ในปี 2032 เมื่อเด็กรุ่นนี้อายุ 18 ปี (ซึ่งปกติจะบรรลุนิติภาวะ) พวกเขาก็ยังคงซื้อบุหรี่ไม่ได้
- ในปี 2044 เมื่อพวกเขาอายุ 30 ปี พวกเขาก็ยังซื้อบุหรี่ไม่ได้
- เป้าหมาย สร้าง “รุ่นปลอดควัน” (Smoke-Free Generation) ขึ้นมาอย่างแท้จริง โดยหวังว่าภายในกลางศตวรรษนี้ อัตราการสูบบุหรี่ในมัลดีฟส์จะลดลงใกล้เคียงศูนย์
ขอบเขตของกฎหมาย บุหรี่ไฟฟ้า (Vapes) อยู่ในข่ายหรือไม่?
ในขณะที่เป้าหมายหลักของกฎหมายคือการกำจัด “ยาสูบแบบเผาไหม้” (Combustible Tobacco) ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของการเสียชีวิต ร่างกฎหมายยังได้รวมถึงมาตรการที่เข้มงวดอย่างยิ่งยวดต่อ “บุหรี่ไฟฟ้า” หรือ Vapes ด้วย
แหล่งข่าวจากรัฐสภามัลดีฟส์ยืนยันว่า แม้กลไกการแบนบุหรี่ไฟฟ้าอาจแตกต่างกันเล็กน้อย แต่กฎหมายใหม่นี้ยังรวมถึงการห้ามขายบุหรี่ไฟฟ้าที่มีการปรุงแต่งรสชาติ (Flavored Vapes) ซึ่งเป็นที่นิยมในหมู่เยาวชนอย่างเด็ดขาด และจะมีการควบคุมนิโคตินในระดับที่เข้มงวดที่สุด เพื่อป้องกันไม่ให้เยาวชนเปลี่ยนจากการติดบุหรี่มวนไปติดบุหรี่ไฟฟ้าแทน
ทำไมต้อง “มัลดีฟส์”? เบื้องหลังวิกฤตสุขภาพในแดนสวรรค์
หลายคนอาจแปลกใจว่าทำไมประเทศหมู่เกาะเล็กๆ ที่มีภาพลักษณ์เป็นสวรรค์แห่งการพักผ่อน จึงกล้าที่จะออกนโยบายที่ “สุดโต่ง” เช่นนี้ คำตอบอยู่ในสถิติทางสาธารณสุขที่น่าตกใจ
อัตราการสูบบุหรี่ที่สูงจนน่าวิกฤต
ตรงกันข้ามกับภาพลักษณ์ที่สวยงาม มัลดีฟส์กำลังเผชิญกับวิกฤตยาสูบอย่างเงียบๆ
- อัตราการสูบสูงที่สุดในเอเชียใต้ ข้อมูลจากองค์การอนามัยโลก (WHO) และกระทรวงสาธารณสุขมัลดีฟส์ ชี้ว่าอัตราการสูบบุหรี่ในผู้ชายชาวมัลดีฟส์นั้นสูงอย่างน่าตกใจ โดยบางรายงานระบุว่าสูงถึงเกือบ 40% ซึ่งเป็นหนึ่งในอัตราที่สูงที่สุดในภูมิภาค
- การเริ่มต้นในวัยเยาว์ ปัญหาที่ใหญ่กว่าคือ อัตราการเริ่มสูบบุหรี่ในวัยรุ่นเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยมีปัจจัยจากความง่ายในการเข้าถึง และการตลาดของบุหรี่ไฟฟ้า
ภาระทางเศรษฐกิจที่ประเทศหมู่เกาะไม่อาจแบกรับ
สำหรับประเทศที่มีประชากรเพียง 5 แสนกว่าคน และมีระบบสาธารณสุขบนหมู่เกาะที่กระจัดกระจาย ภาระค่าใช้จ่ายในการรักษาโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) ที่เกิดจากยาสูบ เช่น มะเร็งปอด โรคหัวใจ และถุงลมโป่งพอง ถือเป็น “หายนะทางงบประมาณ”
ดร. อับดุลลา คาลีล (Abdulla Khaleel) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขมัลดีฟส์ กล่าวในรัฐสภาอย่างหนักแน่นว่า
“เรากำลังเผชิญกับทางเลือกที่ชัดเจน ปล่อยให้อนาคตของชาติถูกทำลายโดยอุตสาหกรรมยาสูบ หรือสร้างอนาคตที่เรากำหนดเอง วันนี้ เราเลือกอนาคตของลูกหลานเรา นี่ไม่ใช่การจำกัดเสรีภาพ แต่คือการปลดปล่อยคนรุ่นต่อไปจากการเสพติดที่คร่าชีวิต”
การผลักดันครั้งนี้ยังได้รับการสนับสนุนอย่างแข็งขันจาก ประธานาธิบดีโมฮาเหม็ด มูอิซซู (President Mohamed Muizzu) ซึ่งมองว่านี่เป็นส่วนหนึ่งของวาระแห่งชาติในการสร้างความยั่งยืนด้านสุขภาพ

“บทเรียนจากนิวซีแลนด์” ทำไมมัลดีฟส์ถึงทำสำเร็จ ในขณะที่ “กีวี” ล้มเหลว?
การที่มัลดีฟส์ประกาศใช้กฎหมายนี้ ถือเป็นการตบหน้าความล้มเหลวเชิงนโยบายของ “นิวซีแลนด์” อย่างจัง
นิวซีแลนด์ ภายใต้รัฐบาลของจาซินดา อาร์เดิร์น เคยสร้างเสียงฮือฮาไปทั่วโลกในปี 2022 ด้วยการเป็นชาติแรกที่ผ่านกฎหมาย “Smokefree Generation” ที่มีเนื้อหาเกือบจะเหมือนกันทุกประการ แต่ในต้นปี 2024 รัฐบาลผสมชุดใหม่ที่นำโดยนายกรัฐมนตรีคริสโตเฟอร์ ลักซอน ได้ประกาศ “ยกเลิก” กฎหมายดังกล่าวอย่างกะทันหันก่อนที่มันจะมีผลบังคับใช้ โดยอ้างเหตุผลเรื่องความกังวลใน “ตลาดมืด” (Black Market) และความต้องการ “รายได้จากภาษียาสูบ” เพื่อไปลดหย่อนภาษีส่วนบุคคล
ปัจจัยที่ทำให้มัลดีฟส์ “กล้า” กว่า
- เจตจำนงทางการเมืองที่เด็ดขาด (Political Will) รัฐบาลของประธานาธิบดีมูอิซซูแสดงจุดยืนที่ชัดเจนว่า สุขภาพของประชาชนสำคัญกว่ารายได้ภาษีระยะสั้น
- ภูมิศาสตร์ที่เป็นเกาะ (Island Geography) ข้อโต้แย้งเรื่อง “ตลาดมืด” อาจมีน้ำหนักน้อยกว่าในมัลดีฟส์ มัลดีฟส์เป็นหมู่เกาะ การควบคุมการลักลอบนำเข้า (Smuggling) ผ่านท่าเรือและสนามบินหลักเพียงไม่กี่แห่งนั้น “ง่ายกว่า” การควบคุมพรมแดนทางบกที่ยาวเหยียด
- เศรษฐกิจที่แตกต่าง เศรษฐกิจนิวซีแลนด์พึ่งพาเกษตรกรรมและภาษีภายใน แต่เศรษฐกิจมัลดีฟส์พึ่งพา “การท่องเที่ยว” ซึ่งทำให้สมการความท้าทายเปลี่ยนไป (ดังจะกล่าวต่อไป)
องค์การอนามัยโลก (WHO) ได้ออกมาแสดงความยินดีกับมัลดีฟส์ทันที โดยระบุว่า “มัลดีฟส์ได้จุดคบเพลิงที่นิวซีแลนด์เคยทำหลุดมือไป พวกเขาได้สร้างมาตรฐานใหม่ให้กับโลก และแสดงให้เห็นว่าอนาคตที่ปราศจากยาสูบนั้นเป็นไปได้”
การเดิมพันครั้งใหญ่ “นักท่องเที่ยว” และ “ตลาดมืด” สองความท้าทายหลัก
แม้จะได้รับการยกย่อง แต่หนทางข้างหน้าของมัลดีฟส์เต็มไปด้วยขวากหนาม โดยเฉพาะอย่างยิ่งความท้าทายที่ใหญ่ที่สุด ซึ่งเชื่อมโยงกับ “เส้นเลือดหลัก” ของประเทศ นั่นคือ การท่องเที่ยว มัลดีฟส์
กฎหมายนี้บังคับใช้กับนักท่องเที่ยวหรือไม่?
คำตอบที่ชัดเจนจากรัฐบาลคือ ใช่ (Yes)
นี่คือจุดที่สร้างความกังวลให้กับอุตสาหกรรมโรงแรมและรีสอร์ทหรูมากที่สุด กฎหมายนี้บังคับใช้กับ “ทุกคน” ที่อยู่ภายใต้อธิปไตยของมัลดีฟส์ ไม่ว่าจะเป็นพลเมืองหรือนักท่องเที่ยว
- สถานการณ์จำลอง (Scenario) ในปี 2034 นักท่องเที่ยวเศรษฐีวัย 20 ปี (ที่เกิดหลังปี 2014) จากยุโรปหรือเอเชีย เดินทางมาพักผ่อนในรีสอร์ทสุดหรู พวกเขาจะไม่สามารถซื้อบุหรี่หรือซิการ์จากมินิบาร์ หรือร้านค้าปลอดภาษีในสนามบินมาเลได้ตามกฎหมาย
- ความท้าทายในการบังคับใช้ รีสอร์ทต่างๆ จะจัดการกับลูกค้าระดับ VVIP ที่ต้องการสูบบุหรี่อย่างไร? จะเกิดการเผชิญหน้าหรือไม่? นี่คือคำถามที่ยังไม่มีคำตอบชัดเจน
- ภาพลักษณ์ ฝ่ายค้านกังวลว่ากฎหมายนี้อาจถูกมองว่า “เข้มงวดเกินไป” และทำลายภาพลักษณ์ “ดินแดนแห่งเสรีภาพและการพักผ่อน”
ช่องโหว่ของ “ตลาดมืด” ในแดนสวรรค์
แม้จะเป็นหมู่เกาะ แต่การลักลอบนำเข้าก็ยังเป็นไปได้ โดยเฉพาะการลักลอบนำเข้าโดยเรือสปีดโบ๊ทขนาดเล็กที่วิ่งส่งของระหว่างรีสอร์ทต่างๆ หรือแม้กระทั่งการที่ “นักท่องเที่ยวรุ่นเก่า” (ที่ยังสูบได้) ซื้อแล้วนำไปขายต่อให้ “คนรุ่นใหม่” ที่อยู่ในรีสอร์ทเดียวกัน
รัฐบาลยืนยันว่าจะเพิ่มกำลังเจ้าหน้าที่ศุลกากรและตำรวจน้ำ เพื่อปราบปรามการลักลอบนำเข้าอย่างจริงจัง ควบคู่ไปกับการกำหนดบทลงโทษที่รุนแรง (ทั้งจำและปรับ) สำหรับผู้ค้าในตลาดมืด

ปฏิกิริยาจากอุตสาหกรรมยาสูบ “นโยบายที่ล้มเหลว”
ปฏิกิริยาจากกลุ่มพันธมิตรผู้ค้ายาสูบและบริษัทข้ามชาติเป็นไปตามคาด พวกเขาประณามการตัดสินใจของมัลดีฟส์ในทันที
โฆษกจากสมาคมผู้ค้ายาสูบแห่งเอเชีย (ชื่อสมมติ) กล่าวว่า
“นี่คือนโยบายที่ละเมิดเสรีภาพในการเลือกของผู้ใหญ่ มันเป็นนโยบายที่ใช้การไม่ได้จริง ดังที่นิวซีแลนด์ได้พิสูจน์แล้วว่ามันล้มเหลว สิ่งที่มัลดีฟส์กำลังทำคือการมอบของขวัญชิ้นใหญ่ให้กับองค์กรอาชญากรรมที่จะเข้ามาควบคุมตลาดมืด”
อุตสาหกรรมยาสูบได้ต่อสู้กับกฎหมายนี้ในทุกขั้นตอน แต่ความมุ่งมั่นของรัฐบาลมัลดีฟส์นั้นแข็งแกร่งกว่า
บทสรุป มัลดีฟส์ “ห้องทดลองไร้ควัน” ที่โลกกำลังจับตามอง
การตัดสินใจของมัลดีฟส์ในครั้งนี้ ไม่ใช่แค่ข่าวเล็กๆ จากประเทศหมู่เกาะ แต่เป็น “จุดเปลี่ยน” ของการต่อสู้กับยาสูบในระดับโลก
มัลดีฟส์กำลังก้าวเข้าสู่ดินแดนที่ไม่มีใครเคยไปถึง พวกเขากำลังเดิมพันอนาคตทางเศรษฐกิจและสุขภาพของชาติตัวเอง เพื่อพิสูจน์ทฤษฎีที่ว่า “มนุษย์รุ่นต่อไปไม่จำเป็นต้องรู้จักยาสูบ”
ในอีก 10-15 ปีข้างหน้า โลกทั้งใบจะหันมามองมัลดีฟส์ หาก “การทดลอง” นี้สำเร็จ และอัตราการสูบบุหรี่ในคนรุ่นใหม่ลดลงจริง โดยที่ยังสามารถจัดการผลกระทบด้านการท่องเที่ยวและตลาดมืดได้ มัลดีฟส์จะไม่ใช่แค่สวรรค์แห่งท้องทะเล แต่จะเป็น “พิมพ์เขียว” (Blueprint) ที่ประเทศอื่นๆ ทั่วโลก ตั้งแต่สหราชอาณาจักร สิงคโปร์ จนถึงไทย ต้องหันกลับมาศึกษาและเดินตามอย่างแน่นอน
แหล่งที่มาจาก : am2con