เกาหลีเหนือยิงจรวดถล่มนับสิบลูก “สาสน์เดือด” ต้อนรับ รมว.กลาโหมสหรัฐฯ ถึง DMZ หรือสัญญาณยกระดับวิกฤตคาบสมุทรเกาหลีสู่จุดเสี่ยงใหม่?

เกาหลีเหนือยิงจรวด

โซล/วอชิงตัน – คาบสมุทรเกาหลีกลับมาตึงเครียดถึงขีดสุดอีกครั้งในเช้าวันนี้ (5 พ.ย.) เมื่อทางการเกาหลีใต้และญี่ปุ่นยืนยันว่า เกาหลีเหนือยิงจรวด เป็นชุดใหญ่ “หลายสิบลูก” ตกลงสู่ทะเลตะวันออก (ทะเลญี่ปุ่น) การยั่วยุครั้งใหญ่ที่สุดในรอบหลายเดือนนี้ เกิดขึ้นประจวบเหมาะราวกับจับวาง กับช่วงเวลาที่ รมว.กลาโหมสหรัฐฯ ลอยด์ ออสติน และ ชิน วอน-ชิก รัฐมนตรีกลาโหมเกาหลีใต้ เดินทางเยือน เขตปลอดทหาร (DMZ) ซึ่งเป็นพรมแดนที่ตึงเครียดที่สุดในโลก นี่ไม่ใช่แค่การประท้วงเชิงสัญลักษณ์ แต่เป็น “สาสน์ต้อนรับ” ที่อันตรายและคำนวณมาอย่างแม่นยำจาก คิม จองอึน เพื่อทดสอบขีดจำกัดของพันธมิตรวอชิงตัน-โซล และส่งสัญญาณเตือนไปทั่วโลกว่า ภูมิทัศน์ความมั่นคงในเอเชียตะวันออกกำลังเปลี่ยนแปลงไปอย่างถาวร

 U.K Rings Alarm Bells Over North Korean Troops in Russia

นาทีต่อนาที ปฏิบัติการ “ต้อนรับ” ด้วยจรวดหลายสิบลูก

คณะเสนาธิการร่วมของเกาหลีใต้ (JCS) ออกแถลงการณ์ฉุกเฉินในเวลาประมาณ 0745 น. ตามเวลาท้องถิ่น ระบุว่าได้ตรวจพบการยิง “วัตถุต้องสงสัยว่าเป็นจรวดหลายลำกล้อง (Multiple Launch Rocket System – MLRS)” จำนวนมาก จากพื้นที่วอนซาน ทางชายฝั่งตะวันออกของเกาหลีเหนือ

  • ขนาดของการยิง แหล่งข่าวในกองทัพระบุว่าจำนวนจรวดที่ยิงมี “หลายสิบลูก” (Dozens) ซึ่งถือเป็นจำนวนที่มากผิดปกติสำหรับการยิงในครั้งเดียว สะท้อนถึงการซ้อมรบเต็มรูปแบบมากกว่าการทดสอบทั่วไป
  • เป้าหมาย จรวดทั้งหมดพุ่งไปในทิศทางทะเลตะวันออก และตกลงนอกเขตเศรษฐกิจจำเพาะ (EEZ) ของญี่ปุ่น แต่ก็สร้างความตื่นตระหนกให้แก่การเดินเรือและการบินในภูมิภาค
  • เทคโนโลยีที่ใช้ ผู้เชี่ยวชาญด้านการทหารชี้ว่า มีความเป็นไปได้สูงที่จรวดชุดนี้จะถูกยิงจากระบบ KN-25 (คิม จองอึน เรียกว่า “Super-large MLRS”) ซึ่งเป็นระบบที่เกาหลีเหนืออวดอ้างว่าสามารถติดตั้งหัวรบนิวเคลียร์ทางยุทธวิธีได้ และมีความแม่นยำสูง

“การยิงจรวดพร้อมกันจำนวนมากขนาดนี้ ไม่ใช่แค่การทดสอบ” ดร. อันคิต แพนดา ผู้เชี่ยวชาญด้านอาวุธจาก Carnegie Endowment for International Peace ให้ความเห็น “มันคือการซ้อมโจมตีแบบ ‘Saturation Attack’ (การโจมตีแบบอิ่มตัว) เพื่อแสดงให้เห็นว่าพวกเขาสามารถเอาชนะระบบป้องกันขีปนาวุธของเกาหลีใต้ได้”

การเยือน DMZ สัญลักษณ์ “Ironclad” ที่ถูกท้าทาย

ในเวลาไล่เลี่ยกัน ห่างออกไปไม่กี่ร้อยกิโลเมตร รัฐมนตรีกลาโหมสหรัฐฯ ลอยด์ ออสติน และ ชิน วอน-ชิก รัฐมนตรีกลาโหมเกาหลีใต้ กำลังอยู่ระหว่างการเยือนเขตปลอดทหาร (DMZ) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการประชุมหารือด้านความมั่นคงประจำปี (SCM) ที่กรุงโซล

การเยือน DMZ ของเจ้าหน้าที่ระดับสูงสหรัฐฯ ถือเป็นสัญลักษณ์สำคัญในการยืนยันพันธกรณี “Ironclad” (ที่แข็งแกร่งดุจเหล็กกล้า) ต่อความมั่นคงของเกาหลีใต้

  • สถานที่ ทั้งสองได้เดินทางไปยังหมู่บ้านปันมุนจอม (Panmunjom) หรือ “พื้นที่ความมั่นคงร่วม” (JSA) ซึ่งเป็นจุดเดียวที่ทหารจากสองเกาหลีเผชิญหน้ากันในระยะประชิด
  • คำแถลง ก่อนเกิดเหตุยิงจรวดไม่กี่ชั่วโมง รมว. ออสติน เพิ่งย้ำว่า “การยับยั้งใดๆ ของสหรัฐฯ ที่มีต่อเกาหลีใต้ รวมถึงการยับยั้งด้วยนิวเคลียร์ ยังคงแข็งแกร่ง”
  • การตอบโต้ของเปียงยาง การยิงจรวดของเกาหลีเหนือจึงเป็นการตอบโต้โดยตรงต่อคำแถลงนี้ เป็นการสื่อสารอย่างชัดเจนว่าเปียงยางไม่เกรงกลัว “การยับยั้ง” ดังกล่าว และมองว่าการเยือนครั้งนี้คือ “การซ้อมรุกราน”

ทำไมเกาหลีเหนือถึงยิงจรวด ในวันนี้? คำตอบชัดเจนว่า นี่คือการแสดงออกถึงความไม่พอใจอย่างรุนแรงต่อการยกระดับความร่วมมือทางทหารระหว่าง สหรัฐ เกาหลีใต้ และการซ้อมรบร่วมที่เพิ่มความถี่ขึ้นในช่วงปีที่ผ่านมา

Hegseth praises South Korea's plan to boost self-defense capabilities | AP  News

วิเคราะห์เจาะลึก “สาสน์ถึงออสติน” และภูมิทัศน์ใหม่ทางภูมิรัฐศาสตร์

การยั่วยุครั้งนี้มีความหมายลึกซึ้งกว่าแค่ “ความตึงเครียดเกาหลี” ตามปกติ มันสะท้อนถึงการคำนวณเชิงกลยุทธ์ครั้งใหม่ของ คิม จองอึน

การทดสอบขีดจำกัดของพันธมิตรวอชิงตัน-โซล

เปียงยางกำลังทดสอบว่า รัฐบาลสายแข็งของประธานาธิบดียุน ซอกยอล (เกาหลีใต้) และรัฐบาลไบเดน (สหรัฐฯ) จะตอบสนองต่อการยั่วยุที่ “เกือบจะ” เป็นการสู้รบจริงอย่างไร

“คิม จองอึน กำลังเพิ่มระดับความร้อน” วิคเตอร์ ชา ผู้เชี่ยวชาญด้านเกาหลีจากศูนย์ศึกษายุทธศาสตร์และกิจการระหว่างประเทศ (CSIS) กล่าว “เขาต้องการดูว่าจุดแตกหักของพันธมิตรอยู่ที่ไหน เขาเดิมพันว่าวอชิงตันอาจลังเลที่จะถูกลากเข้าสู่ความขัดแย้งเต็มรูปแบบเพื่อปกป้องโซล”

การยิงจรวดหลายสิบลูกแทนที่จะเป็นขีปนาวุธพิสัยไกล (ICBM) เพียงลูกเดียว ก็เป็นการคำนวณที่ชาญฉลาด เพราะ MLRS แม้จะอันตรายถึงชีวิตต่อเกาหลีใต้ แต่ก็มักจะไม่กระตุ้นการตอบโต้ทางทหารอย่างเต็มรูปแบบจากสหรัฐฯ เท่ากับการยิง ICBM ที่มุ่งเป้าไปที่แผ่นดินใหญ่ของอเมริกา

อิทธิพลจากรัสเซีย ความมั่นใจใหม่ของคิม จองอึน

บริบทที่สำคัญที่สุดที่เปลี่ยนไปคือความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นขึ้นระหว่างเกาหลีเหนือและรัสเซีย นับตั้งแต่การประชุมสุดยอดระหว่าง คิม จองอึน และ วลาดิเมียร์ ปูติน

  • การแลกเปลี่ยนทางทหาร สหรัฐฯ และเกาหลีใต้เชื่อว่า เกาหลีเหนือได้ส่งมอบอาวุธยุทโธปกรณ์ (รวมถึงขีปนาวุธ) ให้รัสเซียใช้ในสงครามยูเครน เพื่อแลกกับเทคโนโลยีทางทหารขั้นสูง (เช่น ดาวเทียมสอดแนม) และที่สำคัญที่สุดคือ “การสนับสนุนทางการทูต”
  • การคุ้มครองใน UN การที่รัสเซีย (สมาชิกถาวร UNSC) ให้การสนับสนุนเกาหลีเหนือ ทำให้เปียงยางไม่จำเป็นต้องกังวลต่อมาตรการคว่ำบาตรเพิ่มเติมจากสหประชาชาติอีกต่อไป
  • ความกล้าที่เพิ่มขึ้น “ความมั่นใจใหม่” นี้ ทำให้ คิม จองอึน กล้าที่จะยกระดับการยั่วยุ เพราะเขารู้สึกว่ามี “พี่ใหญ่” คอยหนุนหลัง ทำให้สถานการณ์ซับซ้อนกว่าทศวรรษที่ผ่านมาอย่างสิ้นเชิง

การส่งสารภายใน สร้างความชอบธรรมให้กองทัพ

นอกจากการส่งสารไปต่างประเทศแล้ว การยิงจรวดครั้งนี้ยังเป็นการโฆษณาชวนเชื่อภายในประเทศ เพื่อตอกย้ำภาพลักษณ์ของ คิม จองอึน ในฐานะผู้นำกองทัพที่แข็งแกร่ง ที่กล้าท้าทาย “จักรวรรดินิยมอเมริกัน” ที่บุกมาถึงหน้าบ้าน (DMZ)

สื่อของรัฐบาลเกาหลีเหนือ (KCNA) มักจะรายงานข่าวการยิงเหล่านี้ในวันถัดไป โดยพรรณนาว่าเป็น “การฝึกซ้อมตามปกติ” เพื่อเตรียมความพร้อมของกองทัพในการ “บดขยี้ศัตรู”

North Korea fires missile as Blinken meets South Korean officials

เสียงสะท้อนจากนานาชาติ การประณามและการเรียกร้องความยับยั้งชั่งใจ

ปฏิกิริยาต่อ สถานการณ์เกาหลีล่าสุด เป็นไปอย่างรวดเร็วและแตกแยกทางความคิด

  • เกาหลีใต้และสหรัฐฯ ออกแถลงการณ์ร่วมประณามการกระทำดังกล่าวทันที โดยเรียกมันว่า “การยั่วยุที่ร้ายแรง” และ “การละเมิดมติของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ” อย่างชัดเจน พร้อมประกาศว่าจะยกระดับการซ้อมรบร่วมเพื่อเตรียมความพร้อม
  • ญี่ปุ่น นายกรัฐมนตรีฟูมิโอะ คิชิดะ กล่าวว่าการกระทำของเกาหลีเหนือ “คุกคามสันติภาพและความมั่นคงของญี่ปุ่น ภูมิภาค และประชาคมระหว่างประเทศ”
  • จีนและรัสเซีย คาดว่าทั้งสองประเทศจะใช้เวที UNSC เพื่อเรียกร้องให้ “ทุกฝ่าย” (รวมถึงสหรัฐฯ) “ใช้ความยับยั้งชั่งใจ” และชี้ว่าการซ้อมรบร่วมของสหรัฐฯ-เกาหลีใต้ เป็นต้นเหตุของความตึงเครียด ซึ่งเป็นการสะท้อนถึงการแบ่งขั้วทางภูมิรัฐศาสตร์ที่ชัดเจน

ผลกระทบและความเสี่ยง เมื่อ “การยั่วยุ” อาจกลายเป็น “การคำนวณผิดพลาด”

ผลกระทบเกาหลีเหนือยิงจรวด ครั้งนี้ รุนแรงกว่าแค่ในหน้าสื่อ

  1. ความเสี่ยงจากการคำนวณผิดพลาด (Miscalculation) การยิงจรวดหลายสิบลูกเข้าใกล้พรมแดน ทำให้มีโอกาสสูงที่จะเกิดอุบัติเหตุหรือการตอบโต้ที่บานปลาย กองทัพเกาหลีใต้ถูกกดดันให้ต้องตอบสนอง และหากมีจรวดลูกใดลูกหนึ่งล้ำแดน หรือสร้างความเสียหาย แม้โดยไม่ตั้งใจ ก็อาจนำไปสู่การปะทะกันทางทหารเต็มรูปแบบได้
  2. การแข่งขันทางอาวุธที่เข้มข้นขึ้น การกระทำของเกาหลีเหนือจะถูกใช้เป็นเหตุผลให้เกาหลีใต้และญี่ปุ่นเดินหน้าเสริมสร้างศักยภาพทางทหารของตนเองมากขึ้น (รวมถึงการพิจารณาอาวุธนิวเคลียร์ของตนเองในระยะยาว) ซึ่งจะยิ่งทำให้ภูมิภาคเอเชียตะวันออกกลายเป็นคลังแสงขนาดใหญ่
  3. ผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลก (มุมมองเสริม) แม้การยิงจะไม่ได้ส่งผลกระทบโดยตรงต่อไทยหรืออาเซียน แต่ความไม่แน่นอนในคาบสมุทรเกาหลี ซึ่งเป็นที่ตั้งของห่วงโซ่อุปทานเทคโนโลยีที่สำคัญของโลก (Samsung, SK Hynix) ย่อมส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนและตลาดหุ้นทั่วโลก

บทสรุป ควันปืนที่ DMZ และอนาคตที่ไร้ซึ่งการเจรจา

การยิงจรวดชุดใหญ่ในวันนี้ ไม่ใช่การเรียกร้องความสนใจเพื่อกลับสู่โต๊ะเจรจาเหมือนในอดีต แต่เป็นการประกาศจุดยืนใหม่ของเกาหลีเหนือที่แข็งกร้าวและอันตรายยิ่งขึ้น

เกาหลีเหนือยิงจรวด ครั้งนี้ คือการจงใจส่ง “สาสน์ถึงออสติน” ว่าพันธกรณี “Ironclad” ของสหรัฐฯ กำลังถูกท้าทายโดยตรงจากศักยภาพทางทหารที่แท้จริง (และอาจมีนิวเคลียร์) และด้วยการสนับสนุนจากรัสเซีย คิม จองอึน ก็ไม่จำเป็นต้องเกรงใจใครอีกต่อไป

ขณะที่รัฐมนตรีกลาโหมสหรัฐฯ และเกาหลีใต้มองข้ามพรมแดนที่ DMZ พวกเขาก็ได้เห็น “การตอบรับ” ที่เป็นรูปธรรมและอันตรายที่สุดจากอีกฝั่งหนึ่ง ความตึงเครียดคาบสมุทรเกาหลี ได้เข้าสู่ยุคใหม่ที่การเจรจาดูเหมือนจะเป็นเพียงความทรงจำอันห่างไกล และเสียงปืนเท่านั้นที่กำลังพูดคุยกัน

แหล่งที่มาจาก : am2con