ฮานอย/เว้ – ภาคกลางของเวียดนามกำลังจมอยู่ใต้ “มวลน้ำมหาศาล” หลังเผชิญฝนตกหนักติดต่อกันหลายวัน จนเกิดอุทกภัยฉับพลันและดินถล่มรุนแรงกว่า 150 ครั้ง คร่าชีวิตผู้คนไปแล้วอย่างน้อย 35 ศพ และยังคงสูญหายอีกนับสิบราย สถานการณ์เลวร้ายที่สุดในรอบหลายปีนี้ ส่งผลให้บ้านเรือนประชาชนกว่า 100,000 หลังคาเรือน จมอยู่ใต้น้ำ ถนนสายหลักถูกตัดขาด และประชาชนหลายแสนคนต้องอพยพหนีตาย โศกนาฏกรรม น้ำท่วมเวียดนาม ครั้งนี้ ไม่ใช่เพียงภัยพิบัติที่เกิดขึ้นตามฤดูกาล แต่เป็นภาพสะท้อนอันเจ็บปวดของวิกฤตมนุษยธรรมที่รุนแรง ซึ่งถูกซ้ำเติมโดยการพัฒนาพื้นที่ภูเขาที่ขาดการไตร่ตรอง และความเปราะบางอย่างยิ่งยวดของเวียดนามต่อ การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Change) ที่กำลังทวีความรุนแรงขึ้นทุกขณะ

ภาพนรกบนดิน ความเสียหายใน “จุดรับภัย” ภาคกลางเวียดนาม
สถานการณ์ในขณะนี้ (4 พฤศจิกายน 2025) ยังคงวิกฤตอย่างยิ่ง โดยพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบหนักที่สุดคือจังหวัดชายฝั่ง ภาคกลางเวียดนาม โดยเฉพาะ เถื่อเทียนเว้ (Thua Thien Hue) และ กว่างตรี (Quang Tri) ซึ่งตั้งอยู่ระหว่างแนวเทือกเขาอันนัม (Annamite Range) กับทะเลจีนใต้ ทำให้พื้นที่นี้กลายเป็น “ช่องทางรับน้ำ” โดยตรงจากอิทธิพลของลมมรสุมและพายุ
100,000 หลังคาเรือนใต้น้ำ และการอพยพครั้งใหญ่
คณะกรรมการกลางแห่งชาติเพื่อการป้องกันและควบคุมภัยพิบัติ (National Steering Committee for Natural Disaster Prevention and Control) ของเวียดนาม ยืนยันว่าบ้านเรือนกว่า 100,000 หลังถูกน้ำท่วม โดยในหลายพื้นที่ของจังหวัดเถื่อเทียนเว้ ซึ่งเป็นที่ตั้งของเมืองมรดกโลกอย่าง “เว้” ระดับน้ำท่วมสูงถึง 2-3 เมตร เทียบเท่ากับระดับหลังคาบ้านชั้นเดียว
“น้ำมาเร็วมากตอนกลางดึก” นายเหงียน วัน ตรุง ชาวบ้านในอำเภอกว่างเดียน (Quang Dien) ให้สัมภาษณ์กับ AFP “เราคว้าได้แค่เอกสารสำคัญและพาลูกๆ หนีขึ้นที่สูง ตอนนี้บ้านทั้งหลังจมหายไปแล้ว เราไม่เหลืออะไรเลย”
รัฐบาลได้สั่งอพยพประชาชนในพื้นที่เสี่ยงภัยแล้วกว่า 200,000 คน ไปยังศูนย์พักพิงชั่วคราว เช่น โรงเรียน และอาคารที่ทำการรัฐบาล ท่ามกลางความยากลำบากในการขนย้ายผู้สูงอายุและผู้ป่วยติดเตียง
“ระเบิดโคลน” 150 ครั้ง ภัยเงียบที่คร่าชีวิต
สิ่งที่ทำให้วิกฤตครั้งนี้รุนแรงกว่าอุทกภัยทั่วไป คือ ดินถล่ม เวียดนาม ที่เกิดขึ้นพร้อมกันกว่า 150 จุด ในพื้นที่ภูเขาของจังหวัดกว่างตรี และ กว่างนาม (Quang Nam)
รายงานจากสำนักข่าว AP ระบุว่า ยอดผู้เสียชีวิตส่วนใหญ่ (ประมาณ 20-25 ราย จาก 35 ราย) ไม่ได้เกิดจากการจมน้ำในที่ลุ่ม แต่เกิดจากการถูก “ฝังทั้งเป็น” ใต้กองโคลนที่ถล่มลงมาทับหมู่บ้านในหุบเขา โดยเฉพาะในเวลากลางคืน
หนึ่งในเหตุการณ์ที่น่าสลดใจที่สุด เกิดขึ้นที่ฐานทัพทหารแห่งหนึ่งในจังหวัดกว่างตรี ซึ่งถูกดินภูเขาทั้งลูกถล่มลงมาทับอาคารที่พักของทหาร ขณะที่พวกเขากำลังเตรียมพร้อมออกไปช่วยเหลือประชาชน ส่งผลให้มีทหารเสียชีวิตในคราวเดียวหลายนาย

ปฏิบัติการกู้ภัยแข่งกับเวลา กองทัพนำทัพฝ่ากระแสน้ำ
รัฐบาลเวียดนามได้ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินในหลายพื้นที่ และระดมสรรพกำลังครั้งใหญ่เพื่อรับมือกับวิกฤตการณ์นี้
กองทัพเวียดนาม (Quan Doi Nhan Dan) สู่แนวหน้า
นายกรัฐมนตรี ฝ่าม มิงห์ จิ๋ง ได้สั่งการให้ กองทัพเวียดนาม และกระทรวงความมั่นคงสาธารณะ เป็นหน่วยงานหลักในการค้นหาและกู้ภัย ทหารหลายหมื่นนายถูกส่งลงพื้นที่พร้อมเรือยาง, เฮลิคอปเตอร์ และยานยนต์สะเทินน้ำสะเทินบก เพื่อเข้าถึงหมู่บ้านที่ถูกตัดขาด
ภาพข่าวจาก VTV (โทรทัศน์แห่งชาติเวียดนาม) เผยให้เห็นทหารที่ต้องโรยตัวจากเฮลิคอปเตอร์ลงไปช่วยเหลือชาวบ้านที่ติดอยู่บนหลังคาบ้าน ท่ามกลางกระแสน้ำที่เชี่ยวกราก และฝนที่ยังคงตกลงมาอย่างหนัก
“ภารกิจของเราคือช่วยชีวิตประชาชนให้ได้มากที่สุด” โฆษกกองทัพภาคที่ 4 กล่าว “แต่อุปสรรคสำคัญคือเส้นทางคมนาคมหลัก โดยเฉพาะทางหลวงหมายเลข 1A ซึ่งเป็นเส้นเลือดใหญ่ของประเทศ ถูกตัดขาดจากน้ำท่วมและดินถล่มหลายสิบจุด”
เสียงร้องขอความช่วยเหลือ และวิกฤตมนุษยธรรมที่กำลังก่อตัว
แม้การกู้ภัยจะดำเนินไปอย่างเต็มที่ แต่ความช่วยเหลือยังคงเข้าไปไม่ถึงในหลายพื้นที่ สภากาชาดเวียดนาม ได้ออกมาเตือนถึงวิกฤตมนุษยธรรมที่กำลังจะตามมา
- อาหารและน้ำดื่ม ประชาชนหลายแสนคนขาดแคลนอาหารสะอาดและน้ำดื่มอย่างหนัก
- ยารักษาโรค มีความเสี่ยงสูงที่จะเกิดโรคระบาดที่มากับน้ำ เช่น อหิวาตกโรค และโรคฉี่หนู
- การสูญเสียที่อยู่อาศัย ประชาชนนับแสนคนกลายเป็นคนไร้บ้านในชั่วข้ามคืน และต้องเผชิญกับฤดูหนาวที่กำลังจะมาถึงในไม่ช้า
เจาะลึกต้นตอ ทำไมเวียดนามกลางถึง “เปราะบาง” กว่าที่เคย?
คำถามสำคัญที่ดังก้องไปทั่วโลกคือ สาเหตุน้ำท่วมเวียดนาม ครั้งนี้รุนแรงกว่าปกติเพราะเหตุใด? ผู้เชี่ยวชาญชี้ว่า นี่คือการผสานกำลังของ “พายุที่สมบูรณ์แบบ” ระหว่างภัยธรรมชาติที่รุนแรงขึ้น และบาดแผลที่มนุษย์สร้างไว้บนผืนดิน
“พายุฝน” หรือ “การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ”?
ในเชิงอุตุนิยมวิทยา วิกฤตครั้งนี้เกิดจากอิทธิพลของแนวร่องความกดอากาศต่ำ (Tropical Depression) ที่เคลื่อนตัวช้าๆ เข้าสู่ชายฝั่งภาคกลาง ทำให้เกิดการสะสมของปริมาณน้ำฝนที่ “หนักอย่างสุดขั้ว” (Extreme Rainfall)
อย่างไรก็ตาม นักวิทยาศาสตร์ด้านภูมิอากาศจากมหาวิทยาลัยแห่งชาติเวียดนาม (Vietnam National University) ให้ทัศนะกับ Al Jazeera ว่า นี่คือ “ลายเซ็น” ที่ชัดเจนของ การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
“ภาวะโลกร้อนทำให้อุณหภูมิผิวน้ำทะเลในทะเลจีนใต้อุ่นขึ้น อากาศจึงอุ้มไอน้ำได้มากขึ้น” ดร. ทราน ง็อก อันห์ กล่าว “ผลลัพธ์คือ เมื่อเกิดพายุหรือร่องฝน มันจึงรุนแรงกว่าในอดีตมาก ปริมาณฝนที่เคยตกในหนึ่งสัปดาห์ ตอนนี้ตกลงมาในเวลาแค่ 48 ชั่วโมง”
![]()
“แผลเป็นบนภูเขา” การตัดไม้ทำลายป่า และการพัฒนาที่ไร้การควบคุม
ปัจจัยที่อันตรายยิ่งกว่าปริมาณฝน คือสภาพของพื้นที่รับน้ำ โดยเฉพาะเหตุ ดินถล่ม เวียดนาม 150 ครั้ง ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ
ภาคกลางของเวียดนามเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงการใช้ที่ดินอย่างรุนแรงในช่วงสองทศวรรษที่ผ่านมา
- การตัดไม้ทำลายป่า (Deforestation) พื้นที่ป่าไม้บนแนวเทือกเขาอันนัม ซึ่งทำหน้าที่เป็น “ฟองน้ำธรรมชาติ” ช่วยดูดซับและชะลอน้ำฝน ถูกทำลายอย่างมหาศาล ทั้งจากการลักลอบตัดไม้ และการเปลี่ยนพื้นที่ป่าเป็นพื้นที่เกษตรกรรม (เช่น สวนยางพารา และไร่กาแฟ)
- การก่อสร้างเขื่อนไฟฟ้าพลังน้ำ (Hydropower Dams) เวียดนามลงทุนอย่างหนักในการสร้างเขื่อนไฟฟ้าพลังน้ำขนาดเล็กและขนาดกลางหลายร้อยแห่งตามแนวแม่น้ำในภาคกลาง การก่อสร้างเหล่านี้จำเป็นต้องมีการระเบิดภูเขา ตัดถนน และเคลียร์พื้นที่ป่า ซึ่งทั้งหมดนี้ทำลายความมั่นคงของชั้นดินและโครงสร้างของภูเขา
- การขยายตัวของเมืองที่ไร้การวางแผน การขยายตัวของเมืองริมชายฝั่งได้ทำลายพื้นที่ชุ่มน้ำ (Wetlands) และป่าชายเลน ซึ่งเคยเป็นแนวป้องกันน้ำท่วมตามธรรมชาติ
“เมื่อฝนตกลงมาบนภูเขาที่ ‘หัวโล้น’ และดินที่ถูกรบกวนจากการก่อสร้าง” ผู้เชี่ยวชาญด้านธรณีวิทยาจากสถาบันวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งเวียดนาม (VAST) อธิบาย “มันก็ไม่ต่างอะไรกับการเทน้ำลงบนแผ่นคอนกรีตลาดเอียง น้ำไม่ได้ซึมลงดิน แต่ไหลบ่าลงมาอย่างรวดเร็ว พร้อมพัดพาเอาดินโคลนที่ไม่มีรากไม้ยึดเหนี่ยว กลายเป็น ‘ระเบิดโคลน’ ที่เราเห็น”
ผลกระทบทางเศรษฐกิจ และอนาคตที่แขวนบนเส้นด้าย
ผลกระทบน้ำท่วมภาคกลางเวียดนาม ครั้งนี้ ไม่ได้จบแค่ชีวิตผู้คน แต่กำลังส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อเศรษฐกิจของประเทศ ซึ่งพึ่งพาภาคกลางในฐานะศูนย์กลางการเกษตรและการท่องเที่ยว
อู่ข้าวอู่น้ำจมบาดาล
- ข้าว พื้นที่ปลูกข้าวหลายแสนไร่ในที่ลุ่มแม่น้ำ ซึ่งกำลังรอการเก็บเกี่ยว ถูกน้ำท่วมเสียหายทั้งหมด
- ประมงและเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ ฟาร์มกุ้งและปลาในพื้นที่ชายฝั่ง ซึ่งเป็นสินค้าส่งออกสำคัญ ถูกกระแสน้ำพัดทำลาย
- โครงสร้างพื้นฐาน ความเสียหายต่อถนน, สะพาน, และระบบไฟฟ้า ประเมินค่าเบื้องต้นแล้วว่าสูงถึงหลายพันล้านดอลลาร์สหรัฐ
บทเรียนสำหรับเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
โศกนาฏกรรม น้ำท่วมเวียดนาม ครั้งนี้ เป็นสัญญาณเตือนภัยที่ดังที่สุดสำหรับประเทศเพื่อนบ้านในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมถึงประเทศไทย ซึ่งมีลักษณะภูมิประเทศและรูปแบบการพัฒนาที่คล้ายคลึงกัน
เวียดนามถูกจัดอันดับโดยธนาคารโลก (World Bank) และ Germanwatch ให้อยู่ในกลุ่ม 10 ประเทศแรกของโลก ที่มีความเปราะบางและได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศรุนแรงที่สุด
บทสรุป เวียดนามต้องเลือก ระหว่าง “การพัฒนา” กับ “ความอยู่รอด”
สถานการณ์น้ำท่วมเวียดนาม ล่าสุด ยังคงน่าเป็นห่วง กรมอุตุนิยมวิทยาเวียดนามยังคงเตือนภัยฝนตกหนักต่อไปอีก 24-48 ชั่วโมง ซึ่งหมายความว่าตัวเลขผู้เสียชีวิตและระดับน้ำท่วมอาจเพิ่มสูงขึ้นอีก
การสูญเสีย 35 ชีวิต, บ้านเรือนแสนหลังที่จมน้ำ และ 150 ดินถล่ม คือราคาที่เวียดนามต้องจ่ายสำหรับสมดุลที่ล้มเหลวระหว่างการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างรวดเร็ว กับการปกป้องสิ่งแวดล้อม
ในขณะที่ ความช่วยเหลือน้ำท่วมเวียดนาม ทั้งจากภายในประเทศและต่างประเทศกำลังหลั่งไหลเข้ามา คำถามที่รัฐบาลฮานอยต้องตอบในระยะยาวคือ พวกเขาจะทบทวนนโยบายการพัฒนาพื้นที่ภูเขา, การสร้างเขื่อน และการจัดการป่าไม้หรือไม่ ก่อนที่ “ระเบิดเวลาทางธรรมชาติ” ลูกต่อไป จะทำงานในฤดูมรสุมปีหน้า
แหล่งที่มาจาก : am2con