(วันที่ 31 ตุลาคม 2025, จาการ์ตา/สิงคโปร์) – สมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (ASEAN) กำลังเผชิญหน้ากับบททดสอบความน่าเชื่อถือครั้งใหญ่หลวงที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ ท่ามกลางรายงานข่าวรั่วไหลจากแหล่งข่าวทางการทูตระดับสูงหลายแหล่งที่ยืนยันตรงกันว่า อาเซียนได้ตัดสินใจครั้งสำคัญที่จะ “ไม่ส่งผู้สังเกตการณ์การเลือกตั้ง” เข้าร่วมในกระบวนการเลือกตั้งทั่วไปที่กำหนดโดย รัฐบาลทหารเมียนมา (SAC) ซึ่งคาดว่าจะจัดขึ้นภายในปี 2025
การตัดสินใจครั้งนี้ ซึ่งถือเป็นท่าทีที่แข็งกร้าวที่สุดของอาเซียนนับตั้งแต่เกิดเหตุรัฐประหารเมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2021 ไม่ได้เป็นเพียงการปฏิเสธเชิงสัญลักษณ์ แต่คือการประกาศอย่างเป็นทางการถึง “การตาย” โดยพฤตินัยของ “ฉันทามติ 5 ข้อ” (Five-Point Consensus) ที่เคยเป็นความหวังเดียวของภูมิภาค
แหล่งข่าวระดับสูงจากกระทรวงการต่างประเทศของชาติสมาชิกอาเซียนอย่างน้อย 2 ชาติ (ซึ่งไม่ประสงค์ออกนามเนื่องจากความอ่อนไหวของประเด็น) ยืนยันกับสำนักข่าวรอยเตอร์สและเอเอฟพีว่า “ไม่มีฉันทามติ” ภายในกลุ่มที่จะให้การรับรองหรือส่งคณะผู้สังเกตการณ์อย่างเป็นทางการของอาเซียนไปยังเมียนมา
“การส่ง ผู้สังเกตการณ์เลือกตั้ง เข้าไปในสภาวะที่ความรุนแรงยังคงดำเนินอยู่ และฝ่ายค้านหลักถูกยุบพรรค มันคือการมอบความชอบธรรมให้กับกระบวนการที่เราทุกคนรู้ว่าบกพร่อง” แหล่งข่าวรายหนึ่งกล่าว “อาเซียนจะไม่เป็นตรายางให้กับเรื่องนี้”
การปฏิเสธครั้งนี้เกิดขึ้นท่ามกลางการต่อต้านอย่างหนักจากรัฐบาลเอกภาพแห่งชาติ (NUG) และกลุ่มชาติพันธุ์ติดอาวุธ (EAOs) ที่เรียกการเลือกตั้งครั้งนี้ว่า “การเลือกตั้งจอมปลอม” (Sham Election) และเกิดขึ้นในขณะที่ สภาบริหารแห่งรัฐ (SAC) ที่นำโดยพลเอกอาวุโส มิน อ่อง หล่าย กำลังสูญเสียการควบคุมพื้นที่ส่วนใหญ่ของประเทศให้กับกองกำลังต่อต้าน
ท่าทีของอาเซียนครั้งนี้ จึงไม่ใช่แค่เรื่องการเลือกตั้ง แต่เป็นเดิมพันว่าด้วยจิตวิญญาณและอนาคตของหลักการ “ไม่แทรกแซง” (Non-interference) ที่กำลังถูกบีบให้ต้องเลือกระหว่าง “การรักษาเสถียรภาพ” หรือ “การสูญเสียความน่าเชื่อถือ” ในเวทีโลก

อาเซียน เลือกตั้งเมียนมา การเลือกตั้ง 2025 “แผนที่สู่ประชาธิปไตย” หรือ “ละครฉากสุดท้าย” ของ SAC?
เพื่อทำความเข้าใจว่าทำไมการตัดสินใจของอาเซียนจึงสำคัญ เราต้องย้อนกลับไปดูบริบทของ การเลือกตั้งเมียนมา 2025 ที่รัฐบาลทหาร SAC พยายามผลักดัน
นับตั้งแต่การยึดอำนาจในปี 2021 พลเอกอาวุโส มิน อ่อง หล่าย ได้ประกาศ “แผนที่ 5 ขั้นสู่ประชาธิปไตย” (Five-Point Roadmap) ของตนเอง โดยมีเป้าหมายสุดท้ายคือการจัดการเลือกตั้งทั่วไปใหม่เพื่อ “ฟื้นฟูประชาธิปไตยที่แท้จริงและมีวินัย”
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่เกิดขึ้นจริงกลับตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิง
- การยุบพรรคการเมืองฝ่ายตรงข้าม ในเดือนมีนาคม 2023 คณะกรรมการการเลือกตั้งที่แต่งตั้งโดยกองทัพ ได้ประกาศยุบพรรคสันนิบาตแห่งชาติเพื่อประชาธิปไตย (NLD) ของนางออง ซาน ซู จี พร้อมกับพรรคการเมืองอื่นๆ อีก 39 พรรค โทษฐานที่ไม่ลงทะเบียนภายใต้กฎหมายการเลือกตั้งฉบับใหม่ที่เข้มงวด
- การคุมขังผู้นำทางการเมือง นางออง ซาน ซู จี (วัย 80 ปี) และประธานาธิบดี วิน มินต์ ยังคงถูกคุมขังในข้อหาต่างๆ นานา ซึ่งประชาคมโลกมองว่ามีแรงจูงใจทางการเมือง
- กฎหมายที่ปิดกั้นการมีส่วนร่วม กฎหมายเลือกตั้งใหม่ที่ออกมา บังคับให้พรรคการเมืองต้องมีสมาชิกอย่างน้อย 100,000 คน ภายใน 90 วัน และต้องลงสมัครรับเลือกตั้งอย่างน้อยครึ่งหนึ่งของเขตเลือกตั้งทั่วประเทศ ซึ่งเป็นเงื่อนไขที่เป็นไปไม่ได้สำหรับพรรคเล็กหรือพรรคชาติพันธุ์
- สภาวะสงครามกลางเมือง สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ รัฐบาลทหารไม่สามารถควบคุมพื้นที่ส่วนใหญ่ของประเทศได้ ตามรายงานของ UN OCHA (สำนักงานเพื่อการประสานงานด้านมนุษยธรรมแห่งสหประชาชาติ) ระบุว่า ณ ปลายปี 2025 มีผู้พลัดถิ่นในประเทศ (IDPs) มากกว่า 2.6 ล้านคน และการสู้รบยังคงดุเดือดในหลายรัฐ
นายบิล เฮย์ตัน (Bill Hayton) ผู้เชี่ยวชาญด้านเอเชียตะวันออกเฉียงใต้จาก Chatham House เคยให้ทัศนะไว้ว่า “การเลือกตั้งที่ SAC วางแผนไว้ ไม่ได้มีไว้เพื่อสะท้อนเจตจำนงของประชาชน แต่มีไว้เพื่อสร้างภาพลักษณ์ของความชอบธรรมให้กับกองทัพ และเพื่อแบ่งแยกกลุ่มต่อต้านทางการเมือง”
ด้วยเหตุนี้ รัฐบาลเอกภาพแห่งชาติ (NUG) (รัฐบาลเงาที่ประกอบด้วย ส.ส. ที่ถูกปล้นชัยชนะ) และกองกำลังพิทักษ์ประชาชน (PDF) จึงประกาศกร้าวว่า การเลือกตั้งครั้งนี้คือ “การเลือกตั้งที่ผิดกฎหมาย” และใครก็ตามที่เกี่ยวข้องจะถือเป็นเป้าหมายที่ชอบธรรมในการโจมตี
นี่คือสมรภูมิที่อาเซียนถูกบีบให้ต้องเลือกข้าง และการตัดสินใจ “ไม่ส่งผู้สังเกตการณ์” ก็คือคำตอบที่ชัดเจนว่าอาเซียนจะไม่ยอมรับ “ละครฉากนี้”
ฉันทามติ 5 ข้อ อนุสรณ์สถานแห่งความล้มเหลวทางการทูตของอาเซียน
หัวใจของวิกฤตความน่าเชื่อถือของอาเซียนในครั้งนี้ คือความล้มเหลวโดยสิ้นเชิงของ ฉันทามติ 5 ข้อ (Five-Point Consensus – 5PC)
ย้อนกลับไปในเดือนเมษายน 2021 เพียง 3 เดือนหลังรัฐประหาร ท่ามกลางแรงกดดันจากนานาชาติ ผู้นำอาเซียน (รวมถึง มิน อ่อง หล่าย เอง) ได้ตกลงร่วมกันใน “ฉันทามติ 5 ข้อ” ณ กรุงจาการ์ตา ซึ่งประกอบด้วย
- ยุติความรุนแรงในเมียนมาทันที
- เปิดการเจรจาอย่างสร้างสรรค์ระหว่างทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง
- แต่งตั้งผู้แทนพิเศษของอาเซียนเพื่ออำนวยความสะดวกในการไกล่เกลี่ย
- อาเซียนจะให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม
- ผู้แทนพิเศษจะเดินทางเยือนเมียนมาเพื่อพบปะกับทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง
เกือบ 4 ปีผ่านไป (ณ ปลายปี 2025) “ฉันทามติ 5 ข้อ” นี้กลับไม่สามารถบรรลุผลได้แม้แต่ข้อเดียว
- (ข้อ 1) ความรุนแรง ทวีความรุนแรงขึ้น กองทัพใช้การโจมตีทางอากาศอย่างหนักหน่วง ข้อมูลจาก AAPP (สมาคมช่วยเหลือนักโทษการเมือง) ระบุว่ามีผู้เสียชีวิตจากฝีมือกองทัพแล้วกว่า 4,000 ราย
- (ข้อ 2 & 5) การเจรจาและการพบปะ รัฐบาลทหาร SAC ปฏิเสธอย่างแข็งขันที่จะเจรจากับ NUG หรือ PDF ซึ่งพวกเขาเรียกว่า “ผู้ก่อการร้าย” และกีดกันผู้แทนพิเศษของอาเซียนไม่ให้พบกับนางออง ซาน ซู จี มาโดยตลอด
- (ข้อ 4) ความช่วยเหลือ แม้จะมีความพยายามส่งมอบความช่วยเหลือ แต่ก็เป็นไปอย่างยากลำบากและถูกควบคุมโดยกองทัพ ทำให้ไม่สามารถเข้าถึงพื้นที่ที่ต้องการความช่วยเหลือเร่งด่วนที่สุดได้
การที่อาเซียนต้อง “แบน” ไม่ให้ตัวแทนทางการเมืองของ SAC เข้าร่วมการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียนในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ก็คือการยอมรับกลายๆ ว่า 5PC นั้นล้มเหลว แต่การปฏิเสธไม่ส่งผู้สังเกตการณ์การเลือกตั้งครั้งนี้ คือการ “ตอกฝาโลง” อย่างเป็นทางการ
นักวิเคราะห์จากสถาบัน ISEAS-Yusof Ishak ในสิงคโปร์ มองว่า “อาเซียนตระหนักแล้วว่า 5PC ไม่ได้ผล รัฐบาลทหารเมียนมาไม่เคยมีความจริงใจที่จะปฏิบัติตาม การส่งผู้สังเกตการณ์เข้าไป ก็เท่ากับอาเซียนยอมจำนนต่อเกมของ มิน อ่อง หล่าย”

รอยร้าวภายในอาเซียน เมื่อ “หลักการไม่แทรกแซง” ถูกท้าทาย
การตัดสินใจครั้งนี้ ไม่ได้เกิดขึ้นอย่างเป็นเอกฉันท์ในชั่วข้ามคืน อาเซียน เลือกตั้งเมียนมา แต่เป็นผลลัพธ์ของการต่อสู้ทางความคิดอย่างหนักภายในกลุ่มอาเซียนเอง ซึ่งเผยให้เห็น “รอยร้าว” ที่ชัดเจนที่สุดในรอบหลายทศวรรษ
ท่าทีอาเซียน ต่อวิกฤตเมียนมา แบ่งออกเป็น 2 ขั้วอย่างชัดเจน
ขั้วที่ 1 กลุ่มยึดมั่นหลักการ (Maritime Bloc/Hard-liners)
- นำโดย อินโดนีเซีย, มาเลเซีย, ฟิลิปปินส์ และสิงคโปร์
- จุดยืน กลุ่มนี้มองว่าวิกฤตเมียนมาไม่ใช่ “กิจการภายใน” อีกต่อไป แต่เป็นภัยคุกคามต่อเสถียรภาพ, ความน่าเชื่อถือ (Centrality) และมนุษยธรรมของภูมิภาค
- แนวทาง ผลักดันให้มีการบังคับใช้ 5PC อย่างจริงจัง, ลงโทษ SAC ด้วยการ “แบน” จากการประชุม และปฏิเสธความชอบธรรมใดๆ รวมถึงการเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้น
- ทำไมจึงคิดเช่นนี้ ชาติเหล่านี้ (โดยเฉพาะอินโดนีเซียและมาเลเซีย) มีประชากรมุสลิมจำนวนมากที่อ่อนไหวต่อประเด็นมนุษยธรรม (เช่น โรฮิงญา) และมองว่าความล้มเหลวในการจัดการเมียนมาจะทำให้อาเซียนกลายเป็น “เสือกระดาษ” ในสายตาโลก
ขั้วที่ 2 กลุ่มเน้นการมีส่วนร่วม (Mainland Bloc/Engagers)
- นำโดย กัมพูชา, สปป.ลาว (ประธานอาเซียนคนปัจจุบัน) และรวมถึงไทย (โดยเฉพาะในรัฐบาลชุดก่อน)
- จุดยืน ยึดมั่นในหลักการ “ไม่แทรกแซงกิจการภายใน” อย่างเคร่งครัด
- แนวทาง เชื่อใน “การทูตแบบเงียบ” (Quiet Diplomacy) และการเปิดช่องทางการสื่อสารกับ SAC เอาไว้ โดยมองว่าการโดดเดี่ยวรัฐบาลทหารจะยิ่งผลักไสเมียนมาให้ไปพึ่งพาจีนหรือรัสเซียมากขึ้น และทำให้สถานการณ์เลวร้ายลง
- ทำไมจึงคิดเช่นนี้ ชาติบนภาคพื้นทวีปเหล่านี้มีพรมแดนติดกับเมียนมาโดยตรง (โดยเฉพาะไทยและลาว) พวกเขาต้องเผชิญกับปัญหาผู้ลี้ภัย, ยาเสพติด และความไม่สงบตามแนวชายแดน จึงต้องการ “เสถียรภาพ” มากกว่า “การเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครอง”
การที่ “แหล่งข่าว” ซึ่งมักจะมาจากขั้วที่ 1 ออกมาเปิดเผยข้อมูลว่าอาเซียนจะไม่ส่งผู้สังเกตการณ์ สะท้อนว่าในที่สุด ขั้วที่ 1 ก็สามารถผลักดันจุดยืนของตนให้กลายเป็นฉันทามติของกลุ่ม (หรืออย่างน้อยก็ทำให้ขั้วที่ 2 ไม่สามารถคัดค้านได้) ได้สำเร็จ
สปป.ลาว ในฐานะประธานอาเซียนปี 2025 ตกอยู่ในที่นั่งลำบากอย่างยิ่ง การต้องเป็นผู้ประกาศ (หรืออย่างน้อยก็ไม่คัดค้าน) การตัดสินใจที่ไม่ส่งผู้สังเกตการณ์นี้ ถือเป็นความกระอักกระอ่วนทางการทูตอย่างสูงสำหรับประเทศที่พยายาม “ประนีประนอม” กับ SAC มาโดยตลอด
อาเซียน เลือกตั้งเมียนมา ผลกระทบต่อไทย ความท้าทายบนพรมแดนที่ลุกเป็นไฟ
สำหรับประเทศไทย ซึ่งมีพรมแดนติดกับเมียนมายาวกว่า 2,400 กิโลเมตร การตัดสินใจของอาเซียนครั้งนี้ส่งผลกระทบโดยตรงและซับซ้อนอย่างยิ่ง
แม้ว่า ท่าทีอาเซียน ที่เป็นทางการจะคือการไม่รับรองการเลือกตั้ง แต่ไทยในฐานะเพื่อนบ้านที่มีพรมแดนติดกันยาวที่สุด ยังคงต้องดำเนิน “การทูตสองราง” (Two-track diplomacy)
- รางที่เป็นทางการ (Official Track) ไทยต้องปฏิบัติตามมติของอาเซียน เพื่อรักษาความเป็นเอกภาพของกลุ่ม
- รางที่ไม่เป็นทางการ (Informal Track) ไทยไม่สามารถตัดขาดการติดต่อกับ SAC ได้ทั้งหมด เนื่องจากต้องบริหารจัดการปัญหาเฉพาะหน้า เช่น
- วิกฤตผู้ลี้ภัย การสู้รบที่รุนแรงขึ้น (ซึ่งเป็นผลมาจากการที่ SAC พยายามยึดพื้นที่เพื่อจัดการเลือกตั้ง) จะผลักดันผู้ลี้ภัยทะลักเข้าสู่ไทยมากขึ้น
- ความมั่นคงชายแดน การสู้รบใกล้ชายแดนไทย เช่น ในรัฐกะเหรี่ยงและรัฐฉาน ส่งผลกระทบต่อความปลอดภัยของคนไทยโดยตรง
- อาชญากรรมข้ามชาติ ปัญหายาเสพติด, แก๊งคอลเซ็นเตอร์ และการค้ามนุษย์ ที่มีฐานที่มั่นในพื้นที่ควบคุมของกองทัพเมียนมาหรือกลุ่มติดอาวุธที่เกี่ยวข้อง
นโยบายของรัฐบาลไทยชุดปัจจุบัน (ณ ปลายปี 2025) พยายามสร้างสมดุลโดยการเปิด “พื้นที่ปลอดภัยด้านมนุษยธรรม” (Humanitarian Corridor) และพยายามพูดคุยกับ “ทุกฝ่าย” ซึ่งรวมถึงตัวแทนจาก NUG และกลุ่มชาติพันธุ์ด้วย
การที่อาเซียนปฏิเสธการเลือกตั้งครั้งนี้ อาจเพิ่มแรงกดดันให้ไทยต้องเลือกข้างชัดเจนขึ้น ซึ่งเป็นสิ่งที่รัฐบาลไทยพยายามหลีกเลี่ยงมาโดยตลอด อย่างไรก็ตาม มันก็อาจเปิดโอกาสให้ไทย (ร่วมกับชาติสมาชิกอาเซียนอื่นๆ) สามารถสร้างช่องทางการเจรจาใหม่ๆ ที่ “ข้ามหัว” SAC และหันไปพูดคุยกับกลุ่มต่อต้านต่างๆ โดยตรงมากขึ้น เพื่อหาทางออกที่ยั่งยืนกว่า “ฉันทามติ 5 ข้อ” ที่ตายไปแล้ว

ก้าวต่อไปของเมียนมา เมื่อมหาอำนาจเลือกข้าง
อาเซียน เลือกตั้งเมียนมา การที่อาเซียนถอนตัวออกจาก “ละครการเลือกตั้ง” ของ SAC เท่ากับเป็นการเปิดพื้นที่ให้มหาอำนาจภายนอกเข้ามามีบทบาทชัดเจนยิ่งขึ้น
- จีน และ รัสเซีย คาดว่าจะยังคงสนับสนุน SAC ต่อไป และมีแนวโน้มสูงที่จะส่งผู้สังเกตการณ์ของตนเองเข้าไปรับรองการเลือกตั้ง เพื่อคานอำนาจตะวันตกและรักษาผลประโยชน์ทางยุทธศาสตร์และการค้าอาวุธ
- สหรัฐอเมริกา และ สหภาพยุโรป จะยินดีกับท่าทีของอาเซียน และจะใช้เป็นเหตุผลในการเพิ่มแรงกดดันและมาตรการคว่ำบาตรต่อ SAC และบุคคลที่เกี่ยวข้องกับการเลือกตั้งครั้งนี้
สำหรับคำถามที่ว่า การเลือกตั้งเมียนมา 2025 น่าเชื่อถือหรือไม่? คำตอบจากอาเซียนในวันนี้คือ “ไม่” อย่างชัดเจน
ทำไมอาเซียนไม่ส่งผู้สังเกตการณ์? คำตอบไม่ใช่แค่เพราะกฎหมายเลือกตั้งที่ไม่เป็นธรรม แต่เพราะการส่งผู้สังเกตการณ์เข้าไปในประเทศที่กำลังลุกเป็นไฟด้วยสงครามกลางเมือง และพรรคการเมืองหลักถูกกำจัดไปแล้ว มันคือการทรยศต่อประชาชนชาวเมียนมาหลายล้านคนที่กำลังต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย
บทสรุป อาเซียนเลือก “ความน่าเชื่อถือ” แทนที่ “ความเป็นกลางจอมปลอม”
อาเซียน เลือกตั้งเมียนมา การตัดสินใจของอาเซียนที่จะไม่ส่งผู้สังเกตการณ์ไปยัง การเลือกตั้งเมียนมา คือจุดเปลี่ยนสำคัญ มันคือการยอมรับความจริงอันเจ็บปวดว่า “วิถีอาเซียน” (ASEAN Way) แบบดั้งเดิมที่เน้นการประนีประนอมและการไม่แทรกแซง ได้มาถึงทางตันแล้วในวิกฤตครั้งนี้
นี่คือชัยชนะของกลุ่มชาติสมาชิกที่ยึดมั่นในหลักการ ซึ่งตระหนักว่าความน่าเชื่อถือของอาเซียน (ASEAN Centrality) ในเวทีโลก กำลังถูกกัดกร่อนจากการที่ไม่สามารถจัดการกับ “รัฐอันธพาล” (Rogue State) ภายในกลุ่มของตนเองได้
แม้ว่าการตัดสินใจนี้จะไม่สามารถหยุดยั้งกระสุนปืนหรือการทิ้งระเบิดในเมียนมาได้ในทันที แต่มันได้ส่งสัญญาณที่ชัดเจนที่สุดไปยัง พลเอกอาวุโส มิน อ่อง หล่าย ว่า “เกม” ของเขาจบลงแล้วในสายตาของเพื่อนบ้าน
อาเซียนได้เลือกที่จะรักษา “ความน่าเชื่อถือ” ที่เหลืออยู่ แทนที่จะยึดติดกับ “ความเป็นกลางจอมปลอม” และนั่นอาจเป็นก้าวแรกที่จำเป็น แม้จะเจ็บปวด ในการเริ่มต้นค้นหาหนทางใหม่เพื่อสันติภาพที่แท้จริงในเมียนมา ที่จะต้องเกิดขึ้นโดยปราศจากการนำของ SAC
แหล่งที่มาจาก : am2con