(วันที่ 31 ตุลาคม 2025, บริสเบน) – อุตสาหกรรมเหมืองแร่ถ่านหินมูลค่าหลายพันล้านดอลลาร์ของออสเตรเลีย กำลังเผชิญหน้ากับวิกฤตศรัทธาครั้งใหญ่อีกครั้ง หลังจากเหตุการณ์ เหมืองออสเตรเลียระเบิด อย่างรุนแรงใต้ดินที่ เหมือง Carborough Downs ใกล้เมืองคอปปาเบลลา (Coppabella) ในรัฐควีนส์แลนด์ เมื่อช่วงค่ำของวันพุธที่ 29 ตุลาคม 2025 ที่ผ่านมา ส่งผลให้มี คนงานเหมืองเสียชีวิต 2 ราย เป็นชายวัย 27 ปี จากอิปสวิช และหญิงวัย 57 ปี จากร็อกแฮมป์ตัน
โศกนาฏกรรมครั้งนี้ไม่เพียงแต่ส่งแรงสั่นสะเทือนไปทั่วภูมิภาค “โบเวน เบซิน” (Bowen Basin) ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของการผลิตถ่านหินสำหรับอุตสาหกรรมเหล็กกล้า (Coking Coal) ของโลก แต่ยังเป็นการตบหน้าอย่างรุนแรงต่อความพยายามปฏิรูประบบความปลอดภัยในเหมืองของรัฐควีนส์แลนด์ ที่เกิดขึ้นหลังโศกนาฏกรรมเหมืองโกรสเวเนอร์ (Grosvenor) ในปี 2020
การระเบิดครั้งนี้เกิดขึ้นในขณะที่คนงานทั้งสองกำลังปฏิบัติงานอยู่บนรถยนต์เอนกประสงค์ขนาดเล็ก (Light Utility Vehicle) ใต้ดิน และกลายเป็นบททดสอบที่โหดร้ายที่สุดของ Resources Safety and Health Queensland (RSHQ) ซึ่งเป็นหน่วยงานกำกับดูแลอิสระที่ก่อตั้งขึ้นมาเพื่อป้องกันไม่ให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอย
ขณะนี้ ปฏิบัติการในเหมืองซึ่งดำเนินการโดยบริษัท Fitzroy Australia Resources ได้ถูกระงับอย่างไม่มีกำหนด และการสืบสวนเต็มรูปแบบได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว ท่ามกลางเสียงคำรามด้วยความโกรธแค้นจาก Mining and Energy Union (MEU) (สหภาพแรงงานเหมืองและพลังงาน) ที่ชี้ว่านี่คือ “ความล้มเหลวที่ไม่อาจยอมรับได้” ของระบบที่ควรจะปกป้องชีวิตคนงาน
ลำดับเหตุการณ์โศกนาฏกรรม ปฏิบัติการกู้ภัยที่แปรเปลี่ยนเป็นภารกิจกู้ร่าง
สัญญาณเตือนภัยดังขึ้นเมื่อเวลาประมาณ 2245 น. ของคืนวันพุธ ตามเวลามีรายงานเหตุ “การปะทุ” (Ignition) หรือการระเบิดอย่างรุนแรงในส่วนลึกใต้ดินของเหมือง Carborough Downs ซึ่งเป็นเหมืองถ่านหินเมทัลเลอร์จิคัล (Coking Coal) ที่มีความสำคัญทางเศรษฐกิจสูง
ทีมกู้ภัยฉุกเฉินของเหมือง (Mines Rescue Service) ถูกส่งลงพื้นที่ทันที โดยมีความหวังริบหรี่ที่จะพบผู้รอดชีวิต ปฏิบัติการดำเนินไปอย่างตึงเครียดตลอดทั้งคืน ท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับเสถียรภาพของผนังเหมืองและระดับก๊าซพิษหลังการระเบิด ซึ่งสันนิษฐานเบื้องต้นว่าอาจเกิดจาก ก๊าซมีเทนระเบิด
อย่างไรก็ตาม ความหวังทั้งหมดก็พังทลายลงในช่วงเช้าของวันพฤหัสบดี เมื่อทีมกู้ภัยสามารถเข้าถึงจุดเกิดเหตุและพบรถยนต์เอนกประสงค์ในสภาพเสียหายยับเยิน พร้อมกับร่างของคนงานทั้งสอง
นายมิตช์ ฮิวจ์ส (Mitch Hughes) ประธานสหภาพแรงงาน MEU สาขาควีนส์แลนด์ กล่าวด้วยน้ำเสียงสั่นเครือว่า “นี่คือวันที่เลวร้ายที่สุดสำหรับชุมชนเหมืองแร่ คนงานสองคนไปทำงานเพื่อหาเลี้ยงชีพ และพวกเขาจะไม่ได้กลับบ้านไปหาครอบครัวอีก”
ด้านนายมาร์ก ดราเมจ (Mark Drümege) ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ Fitzroy Australia Resources (ซึ่งมีกลุ่มทุน AMCI Group และ Riverstone จากสหรัฐฯ เป็นเจ้าของ) ได้ออกแถลงการณ์แสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้ง
“เราหัวใจสลายกับโศกนาฏกรรมครั้งนี้ สิ่งสำคัญที่สุดของเราในตอนนี้คือการให้การสนับสนุนอย่างเต็มที่แก่ครอบครัวและเพื่อนร่วมงานของผู้เสียชีวิต… เราจะให้ความร่วมมืออย่างเต็มที่กับการสืบสวนของ RSHQ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งหมด เพื่อทำความเข้าใจถึงสาเหตุที่แท้จริงของเหตุการณ์อันน่าสลดใจนี้”
ไม่ใช่ครั้งแรก ประวัติศาสตร์อันตรายของเหมือง Carborough Downs
แม้จะเป็นโศกนาฏกรรมที่น่าตกใจ แต่สำหรับผู้ที่ติดตามอุตสาหกรรมเหมืองแร่ในควีนส์แลนด์ เหมือง Carborough Downs ไม่ใช่สถานที่แปลกหน้าสำหรับข่าวร้าย
เหมือง Carborough Downs มีประวัติศาสตร์ด้านความปลอดภัยที่น่ากังวลมาอย่างต่อเนื่อง
- ปี 2019 เกิดเหตุการณ์ดินถล่ม (Fall of ground) คร่าชีวิตคนงานเหมืองชายวัย 50 ปี
- ปี 2021 คนงานได้รับบาดเจ็บสาหัสที่ขา
- เหตุการณ์ต่อเนื่อง เหมืองแห่งนี้เผชิญกับปัญหาการจัดการระดับก๊าซมีเทนและการระบายอากาศที่ท้าทายมาโดยตลอด ซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยงหลักที่นำไปสู่การระเบิดใต้ดิน
การที่โศกนาฏกรรมครั้งเลวร้ายที่สุดเกิดขึ้นซ้ำอีกครั้งที่เหมืองเดิม ก่อให้เกิดคำถามสำคัญว่า Fitzroy Australia Resources ได้ดำเนินการเพียงพอหรือไม่ในการจัดการความเสี่ยงที่ทราบกันดีอยู่แล้วเหล่านี้ และหน่วยงานกำกับดูแลได้ติดตามตรวจสอบอย่างเข้มงวดเพียงใด
นายสก็อตต์ สจ๊วต (Scott Stewart) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรแห่งควีนส์แลนด์ ยืนยันว่าการสืบสวนครั้งนี้จะ “เจาะลึกทุกแง่มุม”
“ผมรู้สึกตกใจและเสียใจอย่างสุดซึ้งต่อการสูญเสียชีวิตในครั้งนี้” นายสจ๊วตกล่าว “ผมได้มอบหมายให้ Resources Safety and Health Queensland (RSHQ) ใช้อำนาจทั้งหมดที่มีในการสืบสวนอย่างเต็มรูปแบบและโปร่งใสที่สุด จะไม่มีการละเว้นในประเด็นใดๆ ทั้งสิ้น”

เงาอดีตของ ‘Grosvenor 2020’ บทเรียนราคาแพงที่โลกลืม?
เหมืองออสเตรเลียระเบิด ในครั้งนี้ ไม่สามารถถูกมองเป็นเหตุการณ์เดี่ยวได้ มันเกิดขึ้นภายใต้เงาของ “แผลเป็น” ที่ใหญ่ที่สุดของอุตสาหกรรมเหมืองถ่านหินควีนส์แลนด์ในรอบทศวรรษ เหตุระเบิดที่เหมือง Grosvenor ในปี 2020
ในเดือนพฤษภาคม 2020 เหมือง Grosvenor ซึ่งดำเนินการโดยบริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง Anglo American ได้เกิดการระเบิดของก๊าซมีเทนใต้ดินอย่างรุนแรง แม้จะไม่มีผู้เสียชีวิต แต่คนงาน 5 คนได้รับบาดเจ็บสาหัสจากแผลไฟไหม้ทั่วร่างกาย เหตุการณ์นั้นเลวร้ายถึงขนาดที่รัฐบาลควีนส์แลนด์ต้องจัดตั้ง “คณะกรรมการไต่สวนเหมืองถ่านหิน” (Coal Mining Board of Inquiry) ที่นำโดยผู้เชี่ยวชาญอิสระ
การไต่สวนครั้งนั้นได้เปิดโปงความล้มเหลวเชิงระบบที่น่าตกใจในอุตสาหกรรม และนำไปสู่เอกสารสำคัญที่เรียกว่า “รายงานเบรดี” (Brady Report)
‘รายงานเบรดี’ คืออะไร และมันควรจะป้องกันเหตุการณ์นี้ได้อย่างไร?
“รายงานเบรดี” (The Brady Report) ได้กลายเป็นพิมพ์เขียวสำหรับการปฏิรูปความปลอดภัยในเหมืองถ่านหินของควีนส์แลนด์ รายงานดังกล่าวชี้ให้เห็นถึงปัญหาที่หยั่งรากลึก
- ความล้มเหลวในการจัดการก๊าซมีเทน เหมืองต่างๆ (รวมถึง Grosvenor) ล้มเหลวซ้ำซากในการระบายก๊าซมีเทนที่เกิดขึ้นระหว่างการขุดเจาะ (Methane Drainage) ให้มีประสิทธิภาพ
- วัฒนธรรม ‘ผลผลิตมาก่อนความปลอดภัย’ มีแรงกดดันมหาศาลในการเร่งการผลิตเพื่อทำกำไร จนนำไปสู่การมองข้ามขั้นตอนความปลอดภัยที่สำคัญ
- การประเมินความเสี่ยงที่ผิดพลาด บริษัทต่างๆ ไม่เข้าใจหรือไม่ยอมรับความเสี่ยงที่แท้จริงของการระเบิดของมีเทนในระดับสูง
- หน่วยงานกำกับดูแลที่อ่อนแอ ในขณะนั้น หน่วยงานกำกับดูแลถูกมองว่าขาดความเป็นอิสระและทรัพยากรในการตรวจสอบอย่างเข้มงวด
ข้อค้นพบเหล่านี้ นำไปสู่การปฏิรูปครั้งประวัติศาสตร์…
การปฏิรูปครั้งใหญ่ RSHQ และกฎหมาย ‘ฆาตกรรมโดยอุตสาหกรรม’
ผลพวงโดยตรงจากรายงานเบรดี คือการ “ผ่าตัดใหญ่” ระบบกำกับดูแลความปลอดภัยในอุตสาหกรรมทรัพยากรของควีนส์แลนด์
- การก่อตั้ง RSHQ (Resources Safety and Health Queensland) รัฐบาลได้ยุบหน่วยงานเก่าและก่อตั้ง RSHQ ขึ้นในปี 2020 ให้เป็นหน่วยงานกำกับดูแล “อิสระ” (Independent Statutory Body) โดยสมบูรณ์ โดยมีเป้าหมายเดียวคือ “ความปลอดภัยและสุขภาพของคนงาน” RSHQ ได้รับอำนาจมากขึ้นในการตรวจสอบ สั่งหยุดงาน และดำเนินคดี
- กฎหมายฆาตกรรมโดยอุตสาหกรรม (Industrial Manslaughter Laws) ควีนส์แลนด์ได้ขยายกฎหมายที่เข้มงวดที่สุดฉบับหนึ่งของโลกให้ครอบคลุมอุตสาหกรรมเหมืองแร่ หากพิสูจน์ได้ว่าบริษัทหรือผู้บริหารระดับสูงละเลยต่อความปลอดภัยจนเป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิต พวกเขาอาจต้องเผชิญกับ
- สำหรับบุคคล โทษจำคุกสูงสุด 20 ปี
- สำหรับบริษัท ค่าปรับสูงถึงหลายสิบล้านดอลลาร์ออสเตรเลีย
นี่คือจุดที่ทำให้โศกนาฏกรรมที่ Carborough Downs มีความสำคัญอย่างยิ่งยวด
เหตุการณ์นี้คือ “บททดสอบ” ครั้งแรกของระบบใหม่ที่ถูกออกแบบมาเพื่อป้องกันโศกนาฏกรรม มันคือความล้มเหลวครั้งแรกและครั้งเลวร้ายที่สุดภายใต้การกำกับดูแลของ RSHQ และจะเป็นคดีแรกที่อาจมีการพิจารณาใช้กฎหมายฆาตกรรมโดยอุตสาหกรรมในภาคเหมืองแร่
สหภาพแรงงาน MEU ตั้งคำถามอย่างดุดันว่า “รายงานเบรดี และการปฏิรูปทั้งหมดนี้มีความหมายอะไร หากคนงานยังคงต้องเสียชีวิตในลักษณะที่ป้องกันได้?”
นายฮิวจ์ส จาก MEU กล่าวว่า “ระบบล้มเหลวอย่างชัดเจน กฎระเบียบมีไว้เพื่อป้องกันเหตุการณ์เช่นนี้ไม่ให้เกิดขึ้น การที่มันเกิดขึ้นแสดงว่ามีบางอย่างผิดพลาดอย่างร้ายแรง… เราต้องการคำตอบ และเราต้องการความรับผิดชอบในระดับสูงสุด”
การสืบสวนที่ซับซ้อน ‘ใคร’ คือผู้เสียชีวิต และ ‘อะไร’ คือสาเหตุที่แท้จริง
ขณะนี้ การสืบสวนมุ่งเน้นไปที่ สาเหตุเหมือง Carborough Downs ระเบิด โดยมีผู้เชี่ยวชาญด้านการระเบิดและวิศวกรเหมืองแร่จาก RSHQ เข้าควบคุมพื้นที่แล้ว
ประเด็นสำคัญที่ต้องตรวจสอบ ได้แก่
- ระดับก๊าซมีเทน เกิดอะไรขึ้นกับการระบายอากาศและการตรวจวัดก๊าซในพื้นที่เกิดเหตุ? มีสัญญาณเตือนก่อนหน้านี้หรือไม่?
- แหล่งกำเนิดประกายไฟ อะไรคือตัวจุดระเบิด? เป็นความผิดพลาดของอุปกรณ์ไฟฟ้าบนรถยนต์, การเสียดสีของหิน หรือกิจกรรมอื่นใดในพื้นที่?
- บันทึกการปฏิบัติงาน คนงานทั้งสองกำลังปฏิบัติภารกิจอะไร? มีการเปลี่ยนแปลงแผนงาน หรือการประเมินความเสี่ยงก่อนเริ่มงานหรือไม่?
- บันทึกของเหมือง บริษัท Fitzroy มีรายงานระดับมีเทนที่สูงผิดปกติในช่วงหลายสัปดาห์ก่อนเกิดเหตุหรือไม่ และได้ดำเนินการแก้ไขอย่างไร?
การระบุตัวตนของ ใครคือผู้เสียชีวิตเหมือง Carborough Downs ต่อสาธารณะอย่างเป็นทางการ (ชายวัย 27 และหญิงวัย 57) ได้เพิ่มมิติทางสังคมและมนุษยธรรมให้กับโศกนาฏกรรมครั้งนี้ สหภาพแรงงานและชุมชนกำลังเรียกร้องให้มีการเปิดเผยชื่อของพวกเขา (เมื่อครอบครัวอนุญาต) เพื่อย้ำเตือนว่าผู้เสียชีวิตไม่ใช่แค่ “สถิติ” แต่คือบุคคลอันเป็นที่รัก
มุมมองเสริม ผลกระทบต่อห่วงโซ่อุปทานเหล็กกล้าในเอเชีย
แม้ว่าประเด็นหลักจะเป็นเรื่องมนุษยธรรมและความปลอดภัย แต่การระงับปฏิบัติการของเหมือง Carborough Downs ก็ส่งผลกระทบในระดับสากล โดยเฉพาะต่อภูมิภาคเอเชีย
- แหล่งถ่านหินสำคัญ เหมือง Carborough Downs ผลิตถ่านหินเมทัลเลอร์จิคัล หรือ Coking Coal ซึ่งเป็นส่วนประกอบสำคัญที่ “ขาดไม่ได้” ในการผลิตเหล็กกล้า (Steelmaking)
- ลูกค้ารายใหญ่ในเอเชีย ผู้ซื้อถ่านหินรายใหญ่ที่สุดของออสเตรเลียคือ ญี่ปุ่น, เกาหลีใต้, อินเดีย และรวมถึงประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เช่น เวียดนาม ที่กำลังขยายอุตสาหกรรมเหล็กกล้า
- ความตึงเครียดของตลาด การสืบสวนเหตุการณ์ร้ายแรงเช่นนี้มักใช้เวลานานหลายเดือน หรืออาจเป็นปี เหมืองอาจถูกปิดทั้งหมดหรือบางส่วนเป็นเวลานาน การหายไปของอุปทานจากเหมืองนี้ (แม้จะไม่ใช่เหมืองที่ใหญ่ที่สุด) จะเพิ่มแรงกดดันต่อตลาด Coking Coal ที่ตึงตัวอยู่แล้ว และอาจส่งผลให้ราคาเหล็กกล้าในตลาดโลกและเอเชียปรับตัวสูงขึ้นในระยะสั้น
สำหรับประเทศไทย แม้จะไม่ได้นำเข้าถ่านหินจากเหมืองนี้โดยตรง แต่ความผันผวนของราคาเหล็กกล้าในตลาดโลก ย่อมส่งผลกระทบต่อต้นทุนในอุตสาหกรรมก่อสร้างและยานยนต์อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
บทสรุป ออสเตรเลียบนทางแยกแห่งความรับผิดชอบ
เหมืองออสเตรเลียระเบิด ที่ Carborough Downs ไม่ใช่ “อุบัติเหตุ” (Accident) แต่เป็น “โศกนาฏกรรม” (Tragedy) ที่เกิดขึ้นจากความล้มเหลวเชิงระบบที่เคยถูกเปิดโปงมาแล้วครั้งหนึ่ง
โศกนาฏกรรมครั้งนี้ได้ฉีกหน้ากากของความพึงพอใจในตนเอง (Complacency) ที่อาจเกิดขึ้นหลังการปฏิรูปปี 2020 และบีบบังคับให้ออสเตรเลียต้องเผชิญหน้ากับคำถามที่เจ็บปวด ระหว่างผลกำไรมหาศาลจากทรัพยากรธรรมชาติ กับชีวิตของคนงานเหมืองที่ลงไปทำงานใต้ดินทุกวัน พวกเขาเลือกที่จะให้คุณค่ากับสิ่งใดมากกว่ากัน?
การสืบสวนของ RSHQ ในครั้งนี้ จะเป็นการสืบสวนที่ถูกจับตามองมากที่สุดในประวัติศาสตร์สมัยใหม่ของอุตสาหกรรมเหมืองแร่ออสเตรเลีย ผลลัพธ์ของมันไม่เพียงแต่จะตัดสินชะตากรรมของผู้บริหารบริษัท Fitzroy แต่ยังจะตัดสินอนาคตของ “ใบอนุญาตทางสังคม” (Social License to Operate) ของอุตสาหกรรมเหมืองถ่านหินทั้งหมดในควีนส์แลนด์
สำหรับครอบครัวของคนงานชายวัย 27 และหญิงวัย 57 ปี คำถามเหล่านี้มาช้าเกินไป แต่สำหรับคนงานเหมืองอีกหลายพันคน นี่คือการต่อสู้เพื่อให้แน่ใจว่าพวกเขาจะไม่ใช่ “รายต่อไป”
แหล่งที่มาจาก : am2con