นายกฝรั่งเศสแพ้โหวตไว้วางใจ การเมืองฝรั่งเศสเข้าสู่ภาวะวิกฤตอย่างเต็มรูปแบบในวันนี้ (9 กันยายน 2025) เมื่อนายกรัฐมนตรีกาเบรียล อัตตาล (Gabriel Attal) เตรียมยื่นใบลาออกจากตำแหน่งต่อประธานาธิบดีเอ็มมานูเอล มาครง ณ พระราชวังเอลีเซ ภายหลังจากที่รัฐบาลของเขาพ่ายแพ้ในการลงมติไม่ไว้วางใจในสมัชชาแห่งชาติอย่างฉิวเฉียดเมื่อคืนที่ผ่านมา ความพ่ายแพ้ครั้งประวัติศาสตร์นี้เป็นผลโดยตรงจากการที่รัฐบาลตัดสินใจใช้ “มาตรา 49.3” ในรัฐธรรมนูญเพื่อผลักดันร่างกฎหมายงบประมาณฉบับรัดเข็มขัดโดยไม่ต้องผ่านการลงมติจากสภา อันเป็นการจุดชนวนให้พรรคฝ่ายค้านทั้งขั้วซ้ายจัดและขวาจัดผนึกกำลังกันล้มรัฐบาลได้สำเร็จ เหตุการณ์นี้ไม่เพียงแต่เป็นความล้มเหลวครั้งใหญ่ที่สุดของ รัฐบาลมาครง ในสมัยที่สอง แต่ยังส่งแรงสั่นสะเทือนไปทั่วทั้งสหภาพยุโรป ทำให้เสถียรภาพของชาติมหาอำนาจที่เป็นเสาหลักของทวีปต้องตกอยู่บนเส้นด้าย
นายกฝรั่งเศสแพ้โหวตไว้วางใจ คืนแห่งความพ่ายแพ้ “มาตรา 49.3” จุดชนวนล้มรัฐบาล
บรรยากาศในสมัชชาแห่งชาติ (National Assembly) ณ กรุงปารีสเมื่อคืนที่ผ่านมาเต็มไปด้วยความตึงเครียดอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนตลอดหลายปีหลัง การลงมติไม่ไว้วางใจ (Motion of No-Confidence) ซึ่งเสนอโดยกลุ่มพรรคฝ่ายค้าน ได้รับคะแนนเสียงสนับสนุนเกินกว่ากึ่งหนึ่งที่ต้องการคือ 289 เสียงไปอย่างหวุดหวิด ด้วยคะแนน 292 ต่อ 285 เสียง ส่งผลให้รัฐบาลของนายกฯ อัตตาลต้องสิ้นสุดลงตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ
ชนวนเหตุสำคัญที่นำไปสู่การล่มสลายครั้งนี้คือการตัดสินใจของรัฐบาลในการใช้ มาตรา 49.3 ซึ่งเป็นเครื่องมือทางรัฐธรรมนูญที่อนุญาตให้ฝ่ายบริหารผ่านกฎหมายได้โดยไม่ต้องลงมติในสภา แต่ในขณะเดียวกันก็เปิดช่องให้ฝ่ายค้านยื่นญัตติไม่ไว้วางใจเพื่อล้มรัฐบาลได้ภายใน 24 ชั่วโมง รัฐบาลมาครงได้ใช้มาตรการนี้เพื่อผ่านร่างงบประมาณประจำปี 2026 ซึ่งมีเนื้อหาที่สร้างความขัดแย้งอย่างสูง อาทิ
- การตัดลดงบประมาณด้านสวัสดิการสังคม ลดการอุดหนุนในโครงการประกันการว่างงานและบำนาญ
- การเพิ่มภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) สำหรับสินค้าและบริการบางประเภทเพื่อควบคุมการขาดดุลงบประมาณ
- การปฏิรูปกฎหมายแรงงาน เพิ่มความยืดหยุ่นให้นายจ้างในการเลิกจ้างพนักงาน
นายกฯ อัตตาลได้กล่าวปกป้องการตัดสินใจดังกล่าวในสภาก่อนการลงมติว่า “เป็นยาขมที่จำเป็นเพื่อรักษาเสถียรภาพทางการคลังของประเทศในระยะยาว” อย่างไรก็ตาม คำกล่าวนี้ไม่สามารถโน้มน้าวพรรคฝ่ายค้านได้
การลงมติครั้งนี้แสดงให้เห็นถึงการรวมตัวกันที่ไม่น่าจะเกิดขึ้นได้ระหว่างพรรคขวาจัดอย่าง พรรคแนวร่วมแห่งชาติ (National Rally – RN) ของนางมารีน เลอ เปน และพรรคซ้ายจัด La France Insoumise (LFI) ของนายฌอง-ลุค เมลองชง ซึ่งแม้จะมีอุดมการณ์แตกต่างกันสุดขั้ว แต่มีเป้าหมายร่วมกันคือการโค่นล้มรัฐบาลของประธานาธิบดีมาครง
การเมืองฝรั่งเศสในภาวะ “อัมพาต” เมื่อมาครงไร้เสียงข้างมากเด็ดขาด
วิกฤตครั้งนี้ไม่ได้เกิดขึ้นอย่างปัจจุบันทันด่วน แต่เป็นผลพวงที่สั่งสมมาจากการเลือกตั้งสมาชิกรัฐสภาในปี 2022 ซึ่งกลุ่มพันธมิตรของประธานาธิบดีมาครงสูญเสียเสียงข้างมากเด็ดขาดในสมัชชาแห่งชาติ ทำให้รัฐบาลของเขาต้องบริหารประเทศในสภาวะ “รัฐบาลเสียงข้างน้อย” มาโดยตลอด
ภาวะไร้เสถียรภาพนี้ส่งผลให้
- การผ่านกฎหมายเป็นไปอย่างยากลำบาก รัฐบาลต้องพยายามเจรจาต่อรองกับพรรคอื่นๆ เป็นรายกรณี ซึ่งมักไม่ประสบความสำเร็จ
- การใช้มาตรา 49.3 บ่อยครั้งขึ้น เมื่อไม่สามารถหาเสียงสนับสนุนได้ รัฐบาลจึงหันไปพึ่งเครื่องมือพิเศษทางรัฐธรรมนูญบ่อยขึ้น ซึ่งยิ่งสร้างความไม่พอใจให้กับฝ่ายค้านและประชาชน
- ความแตกแยกทางการเมืองที่รุนแรง การเมืองฝรั่งเศสแบ่งขั้วอย่างชัดเจนระหว่างฝ่ายสนับสนุนมาครง, ฝ่ายขวาจัด และฝ่ายซ้ายจัด โดยแทบไม่มีพื้นที่ตรงกลางสำหรับการประนีประนอม
ความพ่ายแพ้ของนายกฯ อัตตาล ผู้ซึ่งได้รับการแต่งตั้งเมื่อต้นปี 2024 ในฐานะนายกรัฐมนตรีที่อายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์และเป็นความหวังที่จะสร้างพลวัตใหม่ให้กับการเมือง จึงเป็นเครื่องยืนยันว่าวิกฤตโครงสร้างทางการเมืองของฝรั่งเศสได้เดินทางมาถึงจุดแตกหักแล้ว

ทางเลือกของมาครง แต่งตั้งนายกฯ ใหม่ หรือ เดิมพัน “ยุบสภา”?
ภายหลังการลาออกของนายกฯ อัตตาล ซึ่งคาดว่าจะเกิดขึ้นอย่างเป็นทางการภายในวันนี้ ชะตากรรมของประเทศฝรั่งเศสจะตกอยู่ในมือของประธานาธิบดีเอ็มมานูเอล มาครง แต่เพียงผู้เดียว โดยเขามีทางเลือกหลักตามรัฐธรรมนูญ 2 ทาง ซึ่งแต่ละทางล้วนมีความเสี่ยงสูง
- แต่งตั้งนายกรัฐมนตรีคนใหม่ มาครงสามารถแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีคนใหม่เพื่อพยายามจัดตั้งรัฐบาลอีกครั้ง แต่โจทย์ที่ยากที่สุดคือ จะหาบุคคลใดที่สามารถสร้างความไว้วางใจและรวบรวมเสียงสนับสนุนจากพรรคฝ่ายค้านที่เพิ่งรวมหัวกันล้มรัฐบาลเก่าได้สำเร็จ ทางเลือกนี้อาจเป็นการซื้อเวลา แต่มีความเป็นไปได้สูงที่จะจบลงด้วยภาวะติดตาย (Gridlock) ทางการเมืองเช่นเดิม
- ยุบสภาและจัดการเลือกตั้งใหม่ (Snap Election) นี่คือทางเลือกที่มีความเสี่ยงสูงสุด มาครงสามารถเดิมพันด้วยการประกาศยุบสมัชชาแห่งชาติและให้ประชาชนเป็นผู้ตัดสินอนาคตของประเทศอีกครั้ง
- ความเสี่ยง ผลสำรวจความคิดเห็นล่าสุดชี้ว่าพรรคขวาจัดของมารีน เลอ เปน มีคะแนนนิยมนำสูง และมีความเป็นไปได้ที่การเลือกตั้งใหม่จะทำให้พรรค RN ได้ที่นั่งในสภามากที่สุด ซึ่งจะบีบให้มาครงต้องแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีจากพรรคขวาจัด เกิดเป็นภาวะ “Cohabitation” หรือ “รัฐบาลผสมข้ามขั้ว” ที่ประธานาธิบดีและนายกรัฐมนตรีมาจากคนละพรรค ซึ่งจะทำให้การบริหารประเทศเป็นอัมพาตยิ่งกว่าเดิม
- โอกาส ในทางกลับกัน มาครงอาจหวังว่าประชาชนจะเลือกเสถียรภาพและลงคะแนนให้พรรคของเขาเพื่อหลีกเลี่ยงความโกลาหลจากรัฐบาลขวาจัด ซึ่งเป็นเดิมพันที่สูงมาก
การตัดสินใจของมาครงในอีกไม่กี่วันข้างหน้าจะเป็นตัวกำหนดภูมิทัศน์ทางการเมืองของฝรั่งเศสไปจนสิ้นสุดวาระของเขาในปี 2027
แรงสั่นสะเทือนสู่ยุโรป เมื่อเสาหลักของ EU สั่นคลอน
วิกฤต การเมืองฝรั่งเศส ไม่ได้ส่งผลกระทบแค่ภายในประเทศ แต่ยังเป็นข่าวร้ายสำหรับสหภาพยุโรปทั้งหมด ฝรั่งเศสในฐานะประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับสองและมีกองทัพที่แข็งแกร่งที่สุดใน EU ถือเป็น “เสาหลัก” คู่กับเยอรมนีในการขับเคลื่อนนโยบายของทวีป
ความไร้เสถียรภาพในปารีสอาจส่งผลกระทบเป็นวงกว้าง
- นโยบายเกี่ยวกับยูเครน ความเป็นผู้นำที่อ่อนแอลงของมาครงอาจกระทบต่อความมุ่งมั่นและความเป็นเอกภาพของยุโรปในการให้การสนับสนุนยูเครนเพื่อต่อสู้กับการรุกรานของรัสเซีย
- เศรษฐกิจยูโรโซน ความไม่แน่นอนทางการเมืองในฝรั่งเศสอาจสร้างความผันผวนให้กับค่าเงินยูโรและตลาดการเงินทั่วยุโรป
- การปฏิรูป EU โครงการริเริ่มต่างๆ ที่มาครงเป็นผู้ผลักดัน เช่น การสร้างกองทัพร่วมยุโรป หรือการปฏิรูปกฎระเบียบด้านการคลัง อาจต้องหยุดชะงักลง
- การผงาดขึ้นของกระแสขวาจัด หากการเลือกตั้งใหม่นำไปสู่ชัยชนะของพรรค RN จริง จะถือเป็นครั้งแรกที่พรรคขวาจัดได้จัดตั้งรัฐบาลในประเทศผู้ก่อตั้งสหภาพยุโรป ซึ่งอาจเปลี่ยนทิศทางนโยบายของ EU ในประเด็นผู้อพยพและบูรณาการไปอย่างสิ้นเชิง
โฆษกคณะกรรมาธิการยุโรปได้ออกมาแถลงอย่างระมัดระวังว่า “เราเชื่อมั่นในสถาบันประชาธิปไตยที่แข็งแกร่งของฝรั่งเศสในการจัดการกับสถานการณ์นี้” แต่เบื้องหลังแล้ว ผู้นำในกรุงบรัสเซลส์กำลังจับตามองสถานการณ์ด้วยความกังวลอย่างยิ่ง

บทสรุป (Conclusion)
การพ่ายแพ้ของ นายกฝรั่งเศสแพ้โหวตไว้วางใจ เป็นมากกว่าความล้มเหลวของรัฐบาลชุดหนึ่ง แต่คือภาพสะท้อนของภูมิทัศน์การเมืองที่แตกร้าวของฝรั่งเศส และเป็นจุดเปลี่ยนที่อาจส่งผลกระทบไปไกลเกินกว่าพรมแดนของตนเอง ขณะนี้ทุกสายตาจับจ้องไปยังพระราชวังเอลีเซ เพื่อรอการตัดสินใจครั้งสำคัญที่สุดครั้งหนึ่งในชีวิตทางการเมืองของประธานาธิบดีเอ็มมานูเอล มาครง ทางเลือกของเขาไม่เพียงแต่จะกำหนดอนาคตของฝรั่งเศส แต่ยังอาจเป็นตัวกำหนดชะตากรรมและทิศทางของทวีปยุโรปในทศวรรษนี้อีกด้วย
แหล่งที่มาจาก : am2con