เจาะลึกรายงานโนมูระ เมื่อสิงคโปร์ต้องแบกรับ ‘ต้นทุนที่มองไม่เห็น’ จากภาษีสหรัฐฯ กว่า 20%

ต้นทุนภาษีสหรัฐฯ สิงคโปร์

ต้นทุนภาษีสหรัฐฯ สิงคโปร์ ท่ามกลางสมรภูมิสงครามการค้าที่ทุกสายตาจับจ้องไปยังการเผชิญหน้าระหว่างสหรัฐอเมริกาและจีน รายงานเชิงลึกจาก โนมูระ (Nomura) สถาบันการเงินยักษ์ใหญ่ของญี่ปุ่น ได้ฉายภาพความเป็นจริงที่ซับซ้อนและน่าตกใจยิ่งกว่า โดยชี้ให้เห็นว่า สิงคโปร์ ในฐานะศูนย์กลางการค้าและโลจิสติกส์ระดับโลก กลับต้องเป็นผู้แบกรับต้นทุนจากกำแพงภาษีของสหรัฐฯ มากกว่า 20% อย่างเงียบเชียบ การค้นพบนี้ไม่เพียงแต่ท้าทายความเข้าใจเดิมๆ ที่ว่าประเทศคู่ขัดแย้งคือผู้รับผลกระทบโดยตรง แต่ยังเปิดโปงให้เห็นถึงความเปราะบางของห่วงโซ่อุปทานโลก (Global Supply Chain) และชะตากรรมของชาติที่พึ่งพาการค้าเสรีเป็นหัวใจสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ซึ่งบทวิเคราะห์นี้จะเจาะลึกถึงเบื้องหลังตัวเลขดังกล่าว ผลกระทบที่เกิดขึ้นในวงกว้าง และยุทธศาสตร์การปรับตัวของสิงคโปร์ในยุคที่ภูมิรัฐศาสตร์เศรษฐกิจโลกกำลังเปลี่ยนผ่านอย่างรุนแรง

Asian exporters absorbing about 20% of US tariffs, passing on remaining  costs: Nomura - The Business Times

ต้นทุนภาษีสหรัฐฯ สิงคโปร์ ถอดรหัสรายงานโนมูระ ทำไมสิงคโปร์จึงกลายเป็นผู้แบกรับต้นทุน?

รายงานจากทีมนักวิเคราะห์ของโนมูระ ซึ่งนำโดย มร. โรเบิร์ต ซับบารามาน (Robert Subbaraman) ได้สร้างแรงสั่นสะเทือนด้วยการวิเคราะห์ข้อมูลการค้าอย่างละเอียดและพบว่า แม้กำแพงภาษีจะถูกตั้งขึ้นโดยสหรัฐฯ เพื่อมุ่งเป้าไปที่สินค้านำเข้าจากจีนเป็นหลัก แต่ผลกระทบกลับไม่ได้จำกัดอยู่แค่สองประเทศมหาอำนาจ ปรากฏการณ์ “การส่งผ่านต้นทุน” (Cost Pass-through) ได้เกิดขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ และสิงคโปร์คือหนึ่งในประเทศที่ได้รับผลกระทบหนักที่สุด

เหตุผลสำคัญที่ทำให้สิงคโปร์ต้องแบกรับภาระดังกล่าว สามารถอธิบายได้ผ่านปัจจัยเชิงโครงสร้างทางเศรษฐกิจที่เป็นเอกลักษณ์ของประเทศ ดังนี้

  • บทบาทศูนย์กลางการส่งผ่านสินค้า (Transshipment Hub) ท่าเรือสิงคโปร์คือหนึ่งในท่าเรือที่พลุกพล่านที่สุดในโลก สินค้าจำนวนมหาศาลจากทั่วทั้งเอเชีย โดยเฉพาะจีน จะถูกส่งมายังสิงคโปร์เพื่อรวบรวม เปลี่ยนถ่าย หรือแม้กระทั่งแปรรูปเบื้องต้น ก่อนจะถูกส่งออกต่อไปยังจุดหมายปลายทางสุดท้าย ซึ่งรวมถึงสหรัฐอเมริกา เมื่อสินค้าเหล่านี้ (แม้จะไม่ได้มีต้นกำเนิดในสิงคโปร์ทั้งหมด) ถูกส่งไปยังสหรัฐฯ และต้องเผชิญกับกำแพงภาษี ต้นทุนที่เพิ่มขึ้นส่วนหนึ่งจึงถูกดูดซับไว้โดยบริษัทโลจิสติกส์ บริษัทนำเข้า-ส่งออก และผู้ประกอบการในสิงคโปร์ที่อยู่ในกลางของห่วงโซ่การค้านี้
  • ห่วงโซ่อุปทานที่ซับซ้อนและเชื่อมโยงกันสูง (Highly Integrated Supply Chains) สิงคโปร์เป็นฐานการผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์และส่วนประกอบที่มีมูลค่าสูงจำนวนมาก บริษัทในสิงคโปร์นำเข้าวัตถุดิบจากจีนและประเทศอื่นๆ มาผลิตเป็นสินค้าขั้นกลาง (Intermediate Goods) จากนั้นจึงส่งออกไปประกอบเป็นสินค้าสำเร็จรูปในประเทศที่สาม หรือส่งกลับไปยังจีนเพื่อประกอบขั้นสุดท้ายก่อนส่งไปสหรัฐฯ โครงสร้างที่ซับซ้อนนี้ทำให้ต้นทุนภาษีที่เกิดขึ้น ณ ปลายทาง สามารถส่งผลกระทบย้อนกลับมายังผู้ผลิตชิ้นส่วนในสิงคโปร์ได้อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
  • เศรษฐกิจแบบเปิดขนาดเล็ก (Small, Open Economy) ด้วยขนาดเศรษฐกิจที่พึ่งพาการค้าระหว่างประเทศเป็นอย่างสูง (มูลค่าการค้าสูงกว่า GDP หลายเท่า) สิงคโปร์จึงมีความอ่อนไหวต่อการเปลี่ยนแปลงของบรรยากาศการค้าโลกอย่างยิ่งยวด ผู้ประกอบการสิงคโปร์ โดยเฉพาะวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) อาจไม่มีอำนาจต่อรองมากพอที่จะผลักภาระต้นทุนภาษีทั้งหมดไปยังผู้บริโภคปลายทางหรือซัพพลายเออร์ต้นน้ำได้ ทำให้ต้องยอมลดกำไรของตนเองลงเพื่อรักษาขีดความสามารถในการแข่งขัน

ตัวเลขกว่า 20% จากรายงานของโนมูระ จึงไม่ใช่แค่ตัวเลขทางสถิติ แต่คือภาพสะท้อนของ “ต้นทุนที่มองไม่เห็น” ซึ่งกระจายตัวอยู่ในทุกองคาพยพของเศรษฐกิจสิงคโปร์ ตั้งแต่บริษัทชิปปิ้งยักษ์ใหญ่ ไปจนถึงโรงงานผลิตชิ้นส่วนขนาดเล็ก

ผลกระทบระลอกคลื่น จากท่าเรือสู่ภาคธุรกิจและประชาชน

การที่สิงคโปร์ต้องแบกรับต้นทุนภาษีสหรัฐในสัดส่วนที่สูง ได้ก่อให้เกิดผลกระทบเป็นระลอกคลื่นที่แผ่ขยายวงกว้างเกินกว่าแค่ในภาคการส่งออก แต่ยังส่งผลต่อระบบเศรษฐกิจโดยรวมและความเป็นอยู่ของประชาชน

ผลกระทบต่อภาคธุรกิจและอุตสาหกรรม

  • ภาคการผลิตและอิเล็กทรอนิกส์ อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งเป็นเส้นเลือดหลักของภาคการผลิตในสิงคโปร์ ได้รับผลกระทบโดยตรง บริษัทที่ผลิตเซมิคอนดักเตอร์ ฮาร์ดไดรฟ์ และชิ้นส่วนที่มีความซับซ้อนต่างๆ ต้องเผชิญกับแรงกดดันด้านต้นทุนและความไม่แน่นอนของคำสั่งซื้อจากลูกค้าในจีนและสหรัฐฯ
  • ภาคโลจิสติกส์และการขนส่ง แม้ปริมาณการขนส่งผ่านท่าเรือจะยังคงสูง แต่กำไรต่อหน่วยกลับลดลง บริษัทขนส่งและโลจิสติกส์ต้องเผชิญกับการแข่งขันที่รุนแรงขึ้น และต้องแบกรับความเสี่ยงจากความผันผวนของนโยบายการค้า
  • แรงกดดันต่อ SMEs ธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อมที่อยู่ในห่วงโซ่อุปทานมีความเปราะบางมากที่สุด เนื่องจากมีสายป่านที่สั้นกว่าและมีอำนาจต่อรองน้อยกว่าบริษัทข้ามชาติขนาดใหญ่ หลายบริษัทต้องเผชิญกับภาวะกำไรหดตัว และบางรายอาจต้องพิจารณาถึงการย้ายฐานการผลิตหรือหาตลาดใหม่

US tariffs to hit textiles, gems, MSMEs hard; GDP growth forecast cut to  6%: Nomura - The Economic Times

ผลกระทบต่อเศรษฐกิจมหภาคและประชาชน

แม้ว่ารัฐบาลสิงคโปร์จะมีมาตรการทางการคลังเพื่อช่วยเหลือภาคธุรกิจ แต่ผลกระทบในระยะยาวอาจปรากฏในรูปแบบของ การชะลอตัวของการลงทุน จากความไม่แน่นอนของทิศทางการค้าโลก นอกจากนี้ การที่บริษัทต่างๆ ต้องดูดซับต้นทุนที่สูงขึ้น อาจนำไปสู่การ ชะลอการจ้างงาน และ การปรับขึ้นค่าจ้าง ในภาคส่วนที่ได้รับผลกระทบ ในทางกลับกัน หากผู้ประกอบการบางส่วนสามารถผลักภาระไปยังผู้บริโภคได้สำเร็จ ก็อาจสร้างแรงกดดันต่อ อัตราเงินเฟ้อ ในประเทศได้เช่นกัน

นี่คือสถานการณ์ที่กระทรวงการค้าและอุตสาหกรรมสิงคโปร์ (MTI) เฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด โดยมีการออกรายงานและปรับประมาณการการเติบโตทางเศรษฐกิจ (GDP) อยู่เสมอ เพื่อสะท้อนถึงความท้าทายจากปัจจัยภายนอกเหล่านี้

สิงคโปร์ในสมรภูมิภูมิรัฐศาสตร์เศรษฐกิจ ยุทธศาสตร์การปรับตัวท่ามกลางมหาอำนาจ

ในฐานะ “รัฐขนาดเล็ก” (Small State) ที่ต้องดำเนินนโยบายต่างประเทศและการค้าท่ามกลางการแข่งขันของมหาอำนาจ สิงคโปร์ไม่ได้นิ่งเฉยต่อสถานการณ์ที่เกิดขึ้น แต่ได้วางยุทธศาสตร์การปรับตัวที่รอบด้านและชาญฉลาด เพื่อลดความเสี่ยงและแสวงหาโอกาสใหม่ๆ

กลยุทธ์สำคัญของสิงคโปร์ประกอบด้วย

  1. การกระจายความเสี่ยงทางการค้า (Trade Diversification) สิงคโปร์เร่งผลักดันการเจรจาและบังคับใช้ข้อตกลงการค้าเสรี (FTA) กับประเทศและกลุ่มเศรษฐกิจใหม่ๆ ทั่วโลก เช่น สหภาพยุโรป และกลุ่มความตกลงที่ครอบคลุมและก้าวหน้าสำหรับหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจภาคพื้นแปซิฟิก (CPTPP) เพื่อลดการพึ่งพาตลาดใดตลาดหนึ่งมากจนเกินไป
  2. การกระชับความสัมพันธ์ในอาเซียน (Strengthening ASEAN Integration) การส่งเสริมความร่วมมือทางเศรษฐกิจในกลุ่มประเทศอาเซียนให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น ถือเป็นกันชนสำคัญที่ช่วยสร้างตลาดภายในที่ใหญ่และมีเสถียรภาพ ลดผลกระทบจากความผันผวนของเศรษฐกิจโลก
  3. การยกระดับห่วงโซ่อุปทาน (Upgrading the Value Chain) รัฐบาลสิงคโปร์สนับสนุนให้ภาคธุรกิจเปลี่ยนผ่านจากการผลิตที่เน้นปริมาณ ไปสู่การผลิตสินค้าและบริการที่มีมูลค่าสูง นวัตกรรม และใช้เทคโนโลยีขั้นสูง เช่น เทคโนโลยีชีวภาพ, ปัญญาประดิษฐ์ (AI), และเศรษฐกิจดิจิทัล ซึ่งเป็นกลุ่มที่ได้รับผลกระทบจากสงครามการค้าน้อยกว่า
  4. การวางตำแหน่งเป็น “Safe Harbor” ทางธุรกิจ ท่ามกลางความขัดแย้ง สิงคโปร์พยายามวางตัวเองเป็นพื้นที่ที่เป็นกลาง มีเสถียรภาพทางการเมือง มีกฎหมายที่น่าเชื่อถือ และเป็นที่ตั้งสำนักงานใหญ่ของบริษัทข้ามชาติที่ต้องการบริหารจัดการความเสี่ยงในภูมิภาคเอเชีย

ยุทธศาสตร์เหล่านี้สะท้อนให้เห็นถึงแนวทางการทูตเชิงเศรษฐกิจที่เน้นความ прагматиズム (Pragmatism) หรือ “สัจนิยม” ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของสิงคโปร์มาโดยตลอด คือการยอมรับความเป็นจริงของภูมิทัศน์โลกที่เปลี่ยนแปลงไป และปรับตัวเพื่อความอยู่รอดและความเจริญรุ่งเรืองในระยะยาว

มองไปข้างหน้า อนาคตของห่วงโซ่อุปทานโลกและบทบาทใหม่ของสิงคโปร์

รายงานของโนมูระไม่เพียงแต่เปิดเผยต้นทุนที่สิงคโปร์ต้องแบกรับ แต่ยังเป็นสัญญาณเตือนถึงการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างของ Global Supply Chain ที่กำลังจะเกิดขึ้นในอนาคต แนวคิดเรื่อง “ประสิทธิภาพสูงสุด” (Maximum Efficiency) ที่เคยขับเคลื่อนโลกาภิวัตน์กำลังถูกท้าทายด้วยแนวคิดเรื่อง “ความยืดหยุ่นและความมั่นคง” (Resilience and Security)

  • การย้ายฐานการผลิต (Supply Chain Relocation) บริษัทข้ามชาติจำนวนมากกำลังทบทวนการพึ่งพาจีนในฐานะ “โรงงานของโลก” และเริ่มมองหาฐานการผลิตแห่งที่สองหรือสามในภูมิภาคอื่น โดยมีอาเซียนเป็นหนึ่งในตัวเลือกที่น่าสนใจที่สุด ปรากฏการณ์นี้อาจสร้างทั้งโอกาสและความท้าทายให้กับสิงคโปร์
  • “Friend-shoring” และการแบ่งขั้วทางเทคโนโลยี แนวโน้มที่สหรัฐฯ และพันธมิตรจะสร้างห่วงโซ่อุปทานในกลุ่มประเทศที่มีแนวคิดทางการเมืองคล้ายกัน อาจนำไปสู่การแบ่งขั้วของมาตรฐานทางเทคโนโลยีและกฎระเบียบทางการค้า ซึ่งสิงคโปร์จะต้องหาทางวางตัวและเชื่อมต่อกับทั้งสองขั้วอย่างสมดุล
  • ความสำคัญของเศรษฐกิจดิจิทัล (The Rise of the Digital Economy) การค้าบริการและการค้าดิจิทัล ซึ่งไม่ได้รับผลกระทบโดยตรงจากภาษีศุลกากร จะทวีความสำคัญมากยิ่งขึ้น สิงคโปร์ซึ่งมีความพร้อมด้านโครงสร้างพื้นฐานทางดิจิทัลและมีกรอบกฎหมายที่ทันสมัย อยู่ในตำแหน่งที่ดีเยี่ยมที่จะคว้าโอกาสในส่วนนี้

สำหรับอนาคต บทบาทของสิงคโปร์อาจจะต้องวิวัฒนาการจากการเป็นเพียง “ศูนย์กลางการส่งผ่านสินค้า” ไปสู่การเป็น “ศูนย์กลางการบริหารจัดการห่วงโซ่อุปทานอัจฉริยะ” (Smart Supply Chain Management Hub) ที่ให้บริการด้านการเงิน กฎหมาย เทคโนโลยี และการวิเคราะห์ข้อมูล เพื่อช่วยให้บริษัทต่างๆ สามารถรับมือกับโลกที่ซับซ้อนและแตกแยกมากขึ้นได้

Americans are paying for Trump's tariffs, not foreign companies - The  Business Times

บทสรุป (Conclusion)

ตัวเลขกว่า 20% ที่โนมูระนำเสนอ คือหลักฐานเชิงประจักษ์ว่าในสงครามการค้า ไม่มีผู้ชนะที่แท้จริง ผลกระทบที่เกิดขึ้นนั้นซับซ้อนและกระจายตัวในลักษณะที่คาดไม่ถึง ชะตากรรมของสิงคโปร์ได้แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า ประเทศที่เปิดเสรีและเชื่อมโยงกับเศรษฐกิจโลกอย่างลึกซึ้งที่สุด อาจกลายเป็นผู้ที่ต้องแบกรับภาระหนักที่สุดได้อย่างไร ต้นทุนภาษีสหรัฐฯ สิงคโปร์ ไม่ใช่แค่เรื่องราวของตัวเลข แต่คือบทเรียนสำคัญสำหรับทุกประเทศที่พึ่งพาการค้าในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ

แม้ความท้าทายข้างหน้าจะใหญ่หลวง แต่ด้วยยุทธศาสตร์การปรับตัวที่มองการณ์ไกลและการลงทุนในขีดความสามารถใหม่ๆ สิงคโปร์ยังคงมุ่งมั่นที่จะรักษาตำแหน่งของตนในฐานะจุดเชื่อมต่อที่สำคัญของเศรษฐกิจโลกต่อไป แต่เส้นทางข้างหน้าย่อมไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ และการตัดสินใจในวันนี้จะเป็นตัวกำหนดอนาคตของชาติในอีกหลายทศวรรษข้างหน้า ท่ามกลางคลื่นลมแห่งความเปลี่ยนแปลงของระเบียบโลกใหม่

แหล่งที่มาจาก : am2con

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *