อุตสาหกรรมยานยนต์จีน เบื้องหลังเป้า 32 ล้านคัน คือ ‘สึนามิส่งออก’ ที่ท้าทายเศรษฐกิจโลก

อุตสาหกรรมยานยนต์จีน

เมื่อรัฐบาลปักกิ่งผ่าน กระทรวงอุตสาหกรรมและเทคโนโลยีสารสนเทศ (MIIT) ประกาศ เป้าหมายยอดขายรถยนต์ ประจำปี 2025 ไว้ที่ 32.3 ล้านคัน ตัวเลขดังกล่าวอาจดูเหมือนเป็นเพียงการตั้งเป้าเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศ แต่สำหรับผู้สังเกตการณ์ในอุตสาหกรรมยานยนต์และนักวิเคราะห์เศรษฐกิจโลก นี่คือสัญญาณเตือนภัยที่ดังกระหึ่ม เพราะเบื้องหลังตัวเลขที่ทะเยอทะยานนี้ คือยุทธศาสตร์การผลักดันการ ส่งออกรถยนต์จีน ครั้งมโหฬาร โดยมีกองทัพ รถยนต์ไฟฟ้าจีน (EV) เป็นหัวหอก เพื่อระบาย กำลังการผลิตส่วนเกิน (Overcapacity) ที่ล้นตลาดภายในประเทศ การเคลื่อนไหวครั้งนี้ได้ตั้งเวทีให้ อุตสาหกรรมยานยนต์จีน อยู่บนเส้นทางการปะทะโดยตรงกับชาติตะวันตก ซึ่งกำลังตั้งรับด้วยมาตรการปกป้องทางการค้าและกำแพงภาษีที่สูงขึ้นเรื่อยๆ

บทความนี้จะวิเคราะห์เชิงลึกถึงแผนการของจีน อะไรคือแรงผลักดันที่แท้จริงเบื้องหลังตัวเลข 32.3 ล้านคัน และเหตุการณ์นี้จะจุดชนวนสงครามการค้าครั้งใหม่ที่สั่นสะเทือนเศรษฐกิจโลกได้อย่างไร

China's demand for intelligent cars to create a US$356 billion components  industry by 2030 | South China Morning Post

อุตสาหกรรมยานยนต์จีน ถอดรหัสแผนกระตุ้นยานยนต์ เมื่อรัฐบาลปักกิ่งต้องลงมือเอง

แผนล่าสุดที่ประกาศโดย MIIT ไม่ได้มีเพียงตัวเลขเป้าหมาย แต่ยังประกอบด้วยมาตรการสนับสนุนหลายด้านที่สะท้อนถึงความพยายามของรัฐบาลในการประคับประคองเครื่องยนต์ทางเศรษฐกิจที่สำคัญที่สุดตัวหนึ่งของประเทศ ในยามที่ภาคอสังหาริมทรัพย์ยังคงซบเซาและการบริโภคภายในประเทศเติบโตอย่างเชื่องช้า

มาตรการหลักในแผนประกอบด้วย

  • รักษาเสถียรภาพการบริโภคภายใน รัฐบาลจะยังคงดำเนินนโยบายลดหย่อนภาษีและให้เงินอุดหนุนสำหรับการซื้อรถยนต์พลังงานใหม่ (New Energy Vehicles – NEVs) ต่อไป พร้อมทั้งสนับสนุนให้รัฐบาลท้องถิ่นออกมาตรการกระตุ้นการซื้อรถยนต์เพิ่มเติม
  • ส่งเสริมการส่งออกคุณภาพสูง มีการระบุอย่างชัดเจนถึงการสนับสนุนให้ผู้ผลิตรถยนต์จีนขยายตลาดไปยังต่างประเทศ โดยเน้นการสร้างแบรนด์และเครือข่ายบริการหลังการขายในตลาดหลัก
  • เร่งรัดนวัตกรรมและเทคโนโลยี อัดฉีดงบประมาณมหาศาลในการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีแบตเตอรี่, ระบบขับขี่อัตโนมัติ และซอฟต์แวร์ยานยนต์ เพื่อรักษาความเป็นผู้นำในตลาด EV
  • รับมือการแข่งขันที่ไม่เป็นระเบียบ รัฐบาลส่งสัญญาณว่าจะเข้ามาจัดระเบียบ สงครามราคารถยนต์ไฟฟ้า ภายในประเทศที่รุนแรงเกินไป เพื่อรักษาเสถียรภาพของอุตสาหกรรมโดยรวม

ปัญหา ‘กำลังการผลิตส่วนเกิน’ แรงผลักดันสู่การส่งออกที่หลีกเลี่ยงไม่ได้

อนาคตอุตสาหกรรมยานยนต์ของจีนเป็นอย่างไร? คำตอบส่วนหนึ่งอยู่ในปัญหาเชิงโครงสร้างที่เรียกว่า “กำลังการผลิตส่วนเกิน” จากการลงทุนมหาศาลในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา โรงงานผลิตรถยนต์ในจีนมีศักยภาพในการผลิตรถยนต์ได้มากกว่า 40 ล้านคันต่อปี แต่ยอดขายภายในประเทศกลับวนเวียนอยู่ที่ไม่ถึง 30 ล้านคัน ช่องว่างขนาดใหญ่เกือบ 10 ล้านคันนี้คือแรงกดดันมหาศาลที่บีบให้ผู้ผลิตจีนต้องหาทางระบายสินค้าออกสู่ตลาดโลก

“มันเป็นสมการง่ายๆ” ดร. ไมเคิล ดันน์ (Dr. Michael Dunne) CEO ของบริษัทที่ปรึกษา Dunne Insights กล่าว “เมื่อคุณสร้างโรงงานที่สามารถผลิตรถยนต์ได้ 40 ล้านคัน แต่คนในประเทศคุณซื้อแค่ 28 ล้านคัน อีก 12 ล้านคันที่เหลือจะไปไหน? คำตอบเดียวคือการส่งออก นี่ไม่ใช่ทางเลือก แต่เป็นความจำเป็นเพื่อความอยู่รอด”

สถานการณ์นี้ทำให้ ส่งออกรถยนต์จีน พุ่งทะยานอย่างก้าวกระโดด จากเพียง 1 ล้านคันในปี 2020 กลายเป็นผู้ส่งออกรถยนต์อันดับหนึ่งของโลก แซงหน้าญี่ปุ่นในปี 2023 และมีแนวโน้มจะทิ้งห่างออกไปอีก

Chinese automobile stocks soar on higher car sales by leading carmakers -  Global Times

สงครามราคารถยนต์ไฟฟ้า ทำไมรถ EV จีนถึงถูกจนน่าตกใจ?

หนึ่งในอาวุธที่ทรงพลังที่สุดของจีนคือ “ราคา” ทำไมรถยนต์ไฟฟ้าจีนถึงราคาถูก? คำตอบมาจากหลายปัจจัยรวมกัน

  • การอุดหนุนจากรัฐบาล (State Subsidies) ตลอดทศวรรษที่ผ่านมา รัฐบาลจีนได้ทุ่มเงินอุดหนุนหลายแสนล้านดอลลาร์ในทุกส่วนของห่วงโซ่อุปทาน EV ตั้งแต่เหมืองแร่ลิเธียมไปจนถึงโรงงานผลิตแบตเตอรี่
  • การครองห่วงโซ่อุปทานแบตเตอรี่ บริษัทจีนอย่าง CATL และ BYD ครองตลาดแบตเตอรี่ EV ของโลก ทำให้สามารถควบคุมต้นทุนส่วนที่แพงที่สุดของรถยนต์ไฟฟ้าได้
  • การแข่งขันภายในที่ดุเดือด มีแบรนด์รถยนต์ไฟฟ้าในจีนมากกว่า 100 แบรนด์ที่ต่อสู้กันอย่างดุเดือดใน สงครามราคารถยนต์ไฟฟ้า เพื่อแย่งชิงส่วนแบ่งตลาด ซึ่งกดดันให้ราคาลดต่ำลงอย่างต่อเนื่อง
  • ขนาดของการผลิต (Economy of Scale) กำลังการผลิตมหาศาลทำให้ต้นทุนต่อหน่วยลดต่ำลงอย่างมาก

ผลลัพธ์คือ รถยนต์ EV ที่มีคุณภาพและเทคโนโลยีทัดเทียมกับคู่แข่งจากยุโรปหรืออเมริกา แต่สามารถขายได้ในราคาที่ถูกกว่า 30-40% ซึ่งเป็นข้อได้เปรียบที่ยากจะต่อกร

‘กำแพงภาษี’ ยุโรป-สหรัฐฯ โลกตะวันตกจะรับมือ ‘มังกรติดล้อ’ อย่างไร?

การทะลักเข้ามาของรถยนต์ EV ราคาถูกจากจีนได้สร้างความกังวลอย่างหนักให้แก่ผู้ผลิตรถยนต์ดั้งเดิมในยุโรปและสหรัฐอเมริกา ซึ่งกำลังเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงสู่ยุค EV ที่ล่าช้าและมีต้นทุนสูงกว่า

ยุโรปตอบโต้การส่งออกรถยนต์จีนอย่างไร? คำตอบคือการใช้มาตรการปกป้องทางการค้า

  • สหภาพยุโรป (EU) ได้เริ่มกระบวนการไต่สวนการอุดหนุนที่ไม่เป็นธรรม (Anti-subsidy Investigation) ต่อรถยนต์ EV ที่นำเข้าจากจีน ซึ่งคาดว่าจะนำไปสู่การตั้ง กำแพงภาษี เพิ่มเติมจากเดิม 10% ภายในสิ้นปีนี้ ผู้นำยุโรปบางคนเรียกร้องให้ขึ้นภาษีสูงถึง 25-30%
  • สหรัฐอเมริกา รัฐบาลของประธานาธิบดีไบเดนได้คงกำแพงภาษี 27.5% ต่อรถยนต์ที่นำเข้าจากจีนที่เริ่มใช้ในสมัยประธานาธิบดีทรัมป์ และกำลังพิจารณามาตรการเพิ่มเติมเพื่อสกัดกั้นไม่ให้รถยนต์จีนใช้ประเทศที่สามอย่างเม็กซิโกเป็นฐานการผลิตเพื่อเลี่ยงภาษี

“นี่คือการต่อสู้เพื่ออนาคตของอุตสาหกรรมยานยนต์ของเรา” โฆษกของสมาคมผู้ผลิตรถยนต์ยุโรป (ACEA) กล่าว “เราสนับสนุนการแข่งขันที่เสรีและเป็นธรรม แต่เราไม่สามารถแข่งขันกับบริษัทที่ได้รับการสนับสนุนอย่างมหาศาลจากรัฐบาลได้”

China's BYD Sold 3 Million Electric Vehicles and Hybrids in 2023 - The New  York Times

บทสรุป เส้นทางสู่การเผชิญหน้าที่ไม่อาจเลี่ยง

อุตสาหกรรมยานยนต์จีน ได้เดินทางมาถึงจุดที่ความสำเร็จภายในประเทศกำลังจะล้นทะลักออกไปสร้างแรงกระเพื่อมทั่วโลก เป้าหมาย 32.3 ล้านคันคือการประกาศเจตนารมณ์ที่ชัดเจนว่าจีนพร้อมแล้วที่จะเป็นผู้นำในยุคยานยนต์ไฟฟ้า แต่ยุทธศาสตร์การส่งออกที่ขับเคลื่อนด้วยกำลังการผลิตส่วนเกินและราคาที่ต่ำกว่าคู่แข่ง กำลังนำพวกเขาไปสู่การเผชิญหน้าโดยตรงกับโลกตะวันตกที่กำลังก่อกำแพงภาษีสูงขึ้นทุกวัน

อนาคตของอุตสาหกรรมยานยนต์โลกในทศวรรษนี้จะถูกกำหนดโดยผลลัพธ์ของการปะทะกันระหว่าง “สึนามิการส่งออก” ของจีน และ “กำแพงแห่งการปกป้อง” ของโลกตะวันตก ซึ่งผลลัพธ์ดังกล่าวจะส่งผลกระทบต่อผู้บริโภค, คนงาน, และเศรษฐกิจของทุกประเทศอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

แหล่งที่มาจาก : am2con

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *