ประท้วงเนปาล วิกฤตมนุษยธรรมบนรอยเลื่อนภูมิรัฐศาสตร์ เมื่อยอดสังเวยทะลุ 50 ศพ

ประท้วงเนปาล

สถานการณ์ประท้วงเนปาลที่เริ่มต้นจากการคัดค้านร่างกฎหมายฉบับเดียว ได้แปรเปลี่ยนเป็นเปลวไฟแห่งความรุนแรงที่ลุกลามไปทั่วประเทศ ยอดผู้เสียชีวิตที่พุ่งเกิน 50 รายไม่เพียงแต่เป็นโศกนาฏกรรมที่สะท้อนความแตกแยกภายในชาติ แต่ยังเป็นสัญญาณเตือนภัยดังลั่นถึงวิกฤตด้านมนุษยธรรมที่กำลังก่อตัวขึ้นใจกลางเทือกเขาหิมาลัย ทว่าเบื้องหลังภาพความรุนแรงบนท้องถนน คือกระดานหมากรุกทางภูมิรัฐศาสตร์ที่กำลังถูกจับตามองอย่างใกล้ชิดจากสองมหาอำนาจแห่งเอเชีย ทั้งจีนและอินเดีย ต่างเฝ้าดูความสั่นคลอนของ ‘รัฐกันชน’ แห่งนี้ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อสมดุลอำนาจในเอเชียใต้ได้อย่างมีนัยสำคัญ

บทความนี้จะวิเคราะห์เชิงลึกถึง สถานการณ์เนปาลล่าสุด ตั้งแต่ชนวนเหตุของความขัดแย้ง สู่การปะทะนองเลือดที่กลายเป็นประเด็นสิทธิมนุษยชนระดับโลก พร้อมสำรวจแรงกระเพื่อมทางภูมิรัฐศาสตร์ที่ซับซ้อน ซึ่งทำให้ชะตากรรมของเนปาลไม่ได้อยู่ในมือของชาวเนปาลเพียงฝ่ายเดียว

Nepal Gen Z protests: Death toll rises to 34; Prez calls crisis meeting |  World News - Business Standard

จุดแตกหัก อะไรคือ ‘ร่างกฎหมายการศึกษา’ ฉบับเจ้าปัญหา?

ชนวนเหตุสำคัญของ ความไม่สงบในเนปาล ครั้งนี้ มีศูนย์กลางอยู่ที่ “ร่างกฎหมายการศึกษาแห่งสหพันธรัฐ” (Federal Education Act) ซึ่งรัฐบาลเนปาลภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรีพุชปา คามาล ดาฮาล (Pushpa Kamal Dahal) เป็นผู้ผลักดัน โดยให้เหตุผลว่าเพื่อปฏิรูประบบการศึกษาให้ทันสมัยและรวมศูนย์อำนาจการบริหารจัดการไว้ที่ส่วนกลาง เพื่อสร้างมาตรฐานเดียวกันทั่วประเทศ

อย่างไรก็ตาม เนื้อหาในร่างกฎหมายกลับสร้างความกังวลและโกรธแค้นให้แก่หลายฝ่าย โดยเฉพาะกลุ่มครู นักเรียน และนักปกครองส่วนท้องถิ่น ประเด็นที่เป็นข้อถกเถียงรุนแรงที่สุดประกอบด้วย

  • การลดทอนอำนาจท้องถิ่น ร่างกฎหมายดังกล่าวถูกวิจารณ์ว่าเป็นการดึงอำนาจการบริหารจัดการโรงเรียน ตั้งแต่การจ้างงานครูไปจนถึงการกำหนดหลักสูตร กลับมาจากหน่วยงานปกครองส่วนท้องถิ่นเข้าสู่ส่วนกลาง ซึ่งขัดต่อหลักการกระจายอำนาจตามรัฐธรรมนูญเนปาลปี 2015 ที่เป็นผลผลิตจากการเปลี่ยนผ่านสู่ระบอบสหพันธรัฐประชาธิปไตย
  • สถานะและความมั่นคงของครู กลุ่มครูจำนวนมาก โดยเฉพาะครูอัตราจ้างและครูในโรงเรียนชุมชน มองว่าร่างกฎหมายนี้ทำลายความมั่นคงในอาชีพ และเปิดช่องให้มีการแทรกแซงทางการเมืองในการแต่งตั้งโยกย้าย
  • การค้ากำไรทางการศึกษา นักวิจารณ์ชี้ว่าร่างกฎหมายบางมาตราอาจเอื้อประโยชน์ให้แก่สถาบันการศึกษาเอกชน และอาจนำไปสู่การแปรรูปการศึกษา ทำให้ค่าใช้จ่ายสูงขึ้น และลดโอกาสของเด็กยากจนในการเข้าถึงการศึกษาที่มีคุณภาพ

การเดินขบวนในระยะแรกเป็นไปอย่างสันติ แต่เมื่อรัฐบาลเพิกเฉยต่อข้อเรียกร้อง ความไม่พอใจจึงสะสมและปะทุขึ้นเป็นการประท้วงใหญ่ในเมืองหลวง กาฐมาณฑุ และลุกลามไปยังเมืองสำคัญอื่นๆ ทั่วประเทศ

จากท้องถนนสู่สมรภูมิ ลำดับเหตุการณ์ความรุนแรงและยอดผู้เสียชีวิตประท้วงเนปาล

สิ่งที่เริ่มต้นจากการชุมนุม ônjทวีความรุนแรงขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วง 72 ชั่วโมงที่ผ่านมา ถนนหลายสายในกรุงกาฐมาณฑุกลายสภาพเป็นสมรภูมิย่อยๆ ระหว่างผู้ประท้วงที่ส่วนใหญ่เป็นเยาวชนและครู กับเจ้าหน้าที่ตำรวจปราบจลาจล

ลำดับเหตุการณ์ความรุนแรงที่เกิดขึ้น

  1. การเผชิญหน้า กลุ่มผู้ประท้วงพยายามฝ่าแนวกั้นของตำรวจเพื่อมุ่งหน้าไปยังอาคารรัฐสภาและทำเนียบรัฐบาล
  2. การใช้กำลังเข้าสลาย ตำรวจเริ่มจากการใช้โล่และกระบองผลักดันฝูงชน ก่อนจะยกระดับไปสู่การใช้แก๊สน้ำตา, กระสุนยาง, และปืนฉีดน้ำแรงดันสูง
  3. จุดปะทะเดือด รายงานจากสื่อท้องถิ่นและสำนักข่าวต่างประเทศระบุว่า การปะทะที่รุนแรงที่สุดเกิดขึ้นเมื่อผู้ประท้วงเริ่มขว้างปาก้อนหินและระเบิดเพลิงเข้าใส่เจ้าหน้าที่ นำไปสู่การตัดสินใจใช้กระสุนจริงของฝ่ายความมั่นคงในบางพื้นที่
  4. ยอดผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บ ข้อมูลล่าสุด (ณ วันที่ 15 กันยายน 2025) ยืนยัน ผู้เสียชีวิตประท้วงเนปาล แล้วอย่างน้อย 52 ราย บาดเจ็บอีกหลายร้อยคน และมีผู้ถูกจับกุมอีกกว่าพันคน โรงพยาบาลในกาฐมาณฑุตกอยู่ในภาวะตึงเครียดจากการรองรับผู้บาดเจ็บจำนวนมาก

“เราเห็นการใช้กำลังเกินกว่าเหตุอย่างชัดเจน” นายซูนิล ชาร์มา (Sunil Sharma) ตัวแทนจากองค์กรสิทธิมนุษยชนท้องถิ่นให้สัมภาษณ์กับ Al Jazeera “ผู้เสียชีวิตส่วนใหญ่เป็นพลเรือนที่ไม่มีอาวุธ การกระทำของรัฐบาลเนปาลกำลังผลักดันประเทศไปสู่ปากเหวแห่งสงครามกลางเมือง”

Death Toll from Violent Protests in Nepal Jumps to 31 - Other Media news -  Tasnim News Agency

เสียงจากนานาชาติ ข้อกังวลด้านสิทธิมนุษยชนและเสียงเรียกร้องความรับผิดชอบ

ภาพความรุนแรงที่ปรากฏสู่สายตาชาวโลกได้จุดประกายให้องค์กร สิทธิมนุษยชน ระหว่างประเทศออกมาแสดงท่าทีอย่างแข็งกร้าว

  • สหประชาชาติ (UN) สำนักงานข้าหลวงใหญ่เพื่อสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ (OHCHR) ได้ออกแถลงการณ์เรียกร้องให้ รัฐบาลเนปาล ยับยั้งชั่งใจในการใช้กำลัง และเปิดการไต่สวนอย่างโปร่งใสต่อกรณีการเสียชีวิตของพลเรือน พร้อมทั้งเน้นย้ำถึงสิทธิในการชุมนุมโดยสันติ
  • Amnesty International และ Human Rights Watch ทั้งสององค์กรได้เผยแพร่รายงานเบื้องต้นที่ชี้ให้เห็นถึง “รูปแบบการปราบปรามที่น่ากังวล” โดยเรียกร้องให้ประชาคมระหว่างประเทศกดดันรัฐบาลเนปาลให้รับผิดชอบต่อการกระทำที่ละเมิดกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ

สถานทูตของประเทศตะวันตกหลายแห่งในกรุงกาฐมาณฑุได้ออกประกาศเตือนพลเมืองของตนให้หลีกเลี่ยงพื้นที่ชุมนุม ซึ่งเป็นสัญญาณที่ชัดเจนถึงความกังวลต่อ สถานการณ์เนปาลล่าสุด ที่อาจบานปลายจนควบคุมไม่ได้

บนกระดานหมากรุกมหาอำนาจ อินเดียและจีนเฝ้ามอง ‘รัฐกันชน’ ที่สั่นคลอน

ผลกระทบจากการประท้วงในเนปาล ไม่ได้จำกัดอยู่แค่พรมแดนของตนเอง แต่ยังส่งแรงสั่นสะเทือนไปทั่วภูมิภาค ภูมิรัฐศาสตร์เอเชียใต้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับสองประเทศเพื่อนบ้านมหาอำนาจอย่างอินเดียและจีน

เนปาลมีสถานะเป็น “รัฐกันชนทางยุทธศาสตร์” (Strategic Buffer State) มาอย่างยาวนาน การรักษาเสถียรภาพในเนปาลจึงเป็นผลประโยชน์โดยตรงของทั้งสองชาติ

  • มุมมองของอินเดีย อินเดียมีความสัมพันธ์ทางวัฒนธรรม, ศาสนา, และเศรษฐกิจที่ลึกซึ้งกับเนปาลมาแต่โบราณ และมองว่าเนปาลเป็นส่วนหนึ่งของเขตอิทธิพลตามธรรมชาติของตน รัฐบาลอินเดียกังวลว่าความไร้เสถียรภาพที่ยืดเยื้ออาจเปิดช่องให้จีนเข้ามามีบทบาทมากขึ้น หรืออาจส่งผลให้เกิดปัญหาผู้ลี้ภัยข้ามพรมแดนเปิดที่ยาวกว่า 1,700 กิโลเมตร อย่างไรก็ตาม อินเดียต้องดำเนินนโยบายอย่างระมัดระวังเพื่อหลีกเลี่ยงข้อกล่าวหาว่าแทรกแซงกิจการภายใน ซึ่งเป็นประเด็นที่ละเอียดอ่อนในความสัมพันธ์ของทั้งสองประเทศ
  • มุมมองของจีน ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา จีนได้ทุ่มเม็ดเงินลงทุนมหาศาลในเนปาลผ่านโครงการหนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง (Belt and Road Initiative – BRI) โดยเฉพาะการสร้างโครงสร้างพื้นฐาน เช่น ถนนและทางรถไฟเชื่อมต่อข้ามเทือกเขาหิมาลัย สำหรับจีน เสถียรภาพของเนปาลคือหลักประกันว่าการลงทุนจะไม่สูญเปล่า และยังเป็นประตูสู่เอเชียใต้ที่สำคัญ จีนไม่ต้องการเห็นรัฐบาลที่เป็นปฏิปักษ์กับตนขึ้นสู่อำนาจในกาฐมาณฑุ และจะใช้ทุกช่องทางทางการทูตและเศรษฐกิจเพื่อรักษาอิทธิพลของตนไว้

“สิ่งที่เกิดขึ้นในกาฐมาณฑุตอนนี้เป็นมากกว่าเรื่องร่างกฎหมาย” ดร. นิฮาร์ นายัค (Dr. Nihar Nayak) นักวิเคราะห์จากสถาบันเพื่อการศึกษาและวิเคราะห์ด้านกลาโหม (IDSA) ในกรุงนิวเดลีกล่าว “มันคือบททดสอบเสถียรภาพของระบอบประชาธิปไตยที่เปราะบางของเนปาล และเป็นตัวชี้วัดว่าสมดุลอำนาจระหว่างอินเดียกับจีนในภูมิภาคนี้จะเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร”

Protesters in Nepal surround parliament and clash with police as government  blocks social media

บทสรุป อนาคตที่แขวนบนเส้นด้ายและแนวโน้มสถานการณ์

ณ เวลานี้ สถานการณ์ล่าสุดในเนปาลเป็นอย่างไร ยังคงเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน รัฐบาลยังคงยืนกรานในจุดยืนเดิม ขณะที่กลุ่มผู้ประท้วงประกาศยกระดับการชุมนุมต่อไป ทำให้แนวโน้มของความรุนแรงยังคงอยู่ในระดับสูง

ทางออกของวิกฤตครั้งนี้ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย

  1. การเจรจา รัฐบาลเนปาลจำเป็นต้องเปิดพื้นที่สำหรับการเจรจาอย่างจริงใจกับกลุ่มผู้เห็นต่าง เพื่อหาทางออกที่ประนีประนอมและลดความตึงเครียด
  2. บทบาทของกองทัพ กองทัพเนปาลซึ่งยังคงวางตัวเป็นกลาง ถือเป็นตัวแปรสำคัญ หากความรุนแรงบานปลายจนตำรวจไม่สามารถควบคุมได้ การตัดสินใจของกองทัพจะเป็นจุดชี้ขาดอนาคตของประเทศ
  3. แรงกดดันจากนานาชาติ ท่าทีของสหประชาชาติ, สหรัฐอเมริกา, สหภาพยุโรป รวมถึงอินเดียและจีน จะเป็นแรงกดดันสำคัญที่ทำให้รัฐบาลต้องทบทวนการใช้ความรุนแรงและหันหน้าเข้าสู่โต๊ะเจรจา

วิกฤต ประท้วงเนปาล ครั้งนี้เป็นเครื่องย้ำเตือนว่า บาดแผลจากความขัดแย้งในอดีตยังไม่ได้รับการเยียวยาอย่างแท้จริง และเส้นทางสู่ประชาธิปไตยที่มั่นคงยังคงอีกยาวไกล โลกกำลังจับตามองว่าเนปาลจะก้าวข้ามหุบเหวแห่งความรุนแรงนี้ไปได้อย่างไร โดยมีอนาคตของคนทั้งชาติและเสถียรภาพของทั้งภูมิภาคเป็นเดิมพัน

แหล่งที่มาจาก : am2con

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *