เนปาลเดือด! ม็อบเผาบ้านอดีตนายกฯ สังเวยภรรยา-ยอดตายพุ่ง 22 ศพ รัฐบาลประกาศภาวะฉุกเฉิน

ประท้วงเนปาล

กาฐมาณฑุ, เนปาล – ประเทศเนปาลดิ่งสู่ภาวะวิกฤตทางการเมืองและมนุษยธรรมครั้งเลวร้ายที่สุดในรอบทศวรรษ หลังจากเหตุการณ์ ประท้วงเนปาล ต่อต้านร่างกฎหมายฉบับใหม่ได้บานปลายกลายเป็นเหตุจลาจลรุนแรง กลุ่มผู้ประท้วงหัวรุนแรงได้บุกจุดไฟเผาบ้านพักส่วนตัวของอดีตนายกรัฐมนตรี เค.พี. ชาร์มา โอลิ ในกรุงกาฐมาณฑุ ส่งผลให้ นางราธิกา ศากยะ ภรรยาของเขา พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยและผู้พักอาศัยเสียชีวิตอย่างน่าสลดใจ ล่าสุดยอดผู้เสียชีวิตจากความรุนแรงทั่วเมืองหลวงพุ่งสูงถึง 22 ราย รัฐบาลเนปาลได้ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินในเขตหุบเขากาฐมาณฑุ พร้อมประกาศเคอร์ฟิวอย่างไม่มีกำหนด ท่ามกลางเสียงประณามจากทั่วโลกต่อโศกนาฏกรรมที่สะท้อนถึงรอยร้าวลึกของสังคมที่อาจนำพาชาติหิมาลัยแห่งนี้กลับสู่ยุคมืดอีกครั้ง

Wife of former Nepal PM succumbs to injuries after protesters set house on  fire

ลำดับเหตุการณ์โศกนาฏกรรม จากการชุมนุมสู่เปลวเพลิงกลางกรุงกาฐมาณฑุ

เหตุการณ์ความรุนแรงปะทุขึ้นในช่วงค่ำของวันที่ 9 กันยายน 2568 ตามเวลาท้องถิ่น การชุมนุมที่เริ่มต้นอย่างสงบโดยมีผู้เข้าร่วมนับหมื่นคนเพื่อคัดค้าน “ร่างกฎหมายสัญชาติ” ที่มีความขัดแย้งสูง ได้แปรเปลี่ยนเป็นความโกลาหลอย่างรวดเร็ว เมื่อผู้ประท้วงส่วนหนึ่งแยกตัวออกจากเส้นทางที่กำหนดและมุ่งหน้าไปยังย่านที่พักอาศัยของนักการเมืองระดับสูงในเขตลาลิตปูร์ (Lalitpur)

ตามรายงานจากสำนักงานตำรวจนครบาลกาฐมาณฑุและคำให้การของพยานในที่เกิดเหตุ

  • การบุกทะลวง กลุ่มผู้ประท้วงจำนวนหลายร้อยคนซึ่งมีอารมณ์โกรธแค้นได้ทำลายแนวกั้นของตำรวจและบุกเข้าไปในบริเวณบ้านพักของอดีตนายกรัฐมนตรี เค.พี. ชาร์มา โอลิ
  • การวางเพลิง ผู้ก่อเหตุได้ขว้างปาระเบิดขวดและวัตถุไวไฟเข้าไปในตัวบ้าน ทำให้เกิดเพลิงไหม้อย่างรุนแรงและลุกลามอย่างรวดเร็ว
  • โศกนาฏกรรม นางราธิกา ศากยะ ซึ่งอยู่ในบ้านพักพร้อมกับทีมงานและเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยจำนวนหนึ่ง ไม่สามารถหนีออกมาได้ทันการณ์ หน่วยดับเพลิงและกู้ภัยต้องใช้เวลานานหลายชั่วโมงจึงสามารถควบคุมเพลิงไว้ได้ และพบผู้เสียชีวิตจำนวนมากในซากปรักหักพังในเช้าวันต่อมา
  • การปะทะทั่วเมือง นอกเหนือจากเหตุวางเพลิง ยังเกิดการปะทะกันอย่างดุเดือดระหว่างผู้ประท้วงและตำรวจปราบจลาจลในหลายพื้นที่ทั่ว กาฐมาณฑุ ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

“นี่ไม่ใชการประท้วง แต่เป็นการกระทำของผู้ก่อการร้าย” นายปุษปา กมล ทาหาล นายกรัฐมนตรีคนปัจจุบันของเนปาลกล่าวในแถลงการณ์ผ่านทางโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจ “รัฐบาลขอประณามการกระทำอันป่าเถื่อนนี้ และจะดำเนินการทางกฎหมายขั้นสูงสุดกับผู้ที่อยู่เบื้องหลังทุกคน”

ชนวนเหตุความขัดแย้ง ‘ร่างกฎหมายสัญชาติ’ ที่ฉีกเนปาลเป็นสองขั้ว

ต้นตอของ ความรุนแรงทางการเมืองเนปาล ครั้งนี้ มีศูนย์กลางอยู่ที่ ร่างกฎหมายสัญชาติ ฉบับแก้ไขที่รัฐบาลผสมชุดปัจจุบันกำลังผลักดันเข้าสู่สภา กฎหมายดังกล่าวมีเป้าหมายเพื่อแก้ไขปัญหาบุคคลไร้สัญชาติหลายแสนคนในประเทศ แต่กลับมีเนื้อหาบางส่วนที่สร้างความแตกแยกอย่างรุนแรง

นักวิเคราะห์การเมืองชี้ว่าประเด็นที่เป็นปัญหามากที่สุดคือ

  • เงื่อนไขสำหรับบุตรที่เกิดจากแม่ชาวเนปาลและพ่อชาวต่างชาติ ร่างกฎหมายกำหนดเงื่อนไขที่เข้มงวดขึ้น ซึ่งนักเคลื่อนไหวเพื่อสิทธิสตรีมองว่าเป็นการเลือกปฏิบัติทางเพศอย่างชัดเจน
  • ชาวมาเธสี (Madhesi) กลุ่มชาติพันธุ์ขนาดใหญ่ที่อาศัยอยู่บริเวณที่ราบทางตอนใต้ของเนปาลติดกับอินเดีย กังวลว่ากฎหมายใหม่จะทำให้พวกเขายิ่งถูกกีดกันและได้รับสัญชาติได้ยากขึ้นไปอีก
  • การใช้เป็นเครื่องมือทางการเมือง ฝ่ายค้านซึ่งนำโดยพรรคของอดีตนายกฯ โอลิ ได้ใช้ประเด็นนี้ปลุกระดมวาทกรรมชาตินิยม โดยกล่าวหาว่ารัฐบาลกำลัง “ขายชาติ” และเปิดทางให้ “อิทธิพลจากต่างชาติ” เข้ามาแทรกแซงอธิปไตยของเนปาล

สาเหตุของการประท้วงรุนแรงในเนปาลคืออะไร คำตอบนั้นซับซ้อนกว่าแค่ตัวบทกฎหมาย ดร. มีนา อจาร์ยา นักสังคมวิทยาจากมหาวิทยาลัยตริภูวัน ให้ทัศนะกับสำนักข่าว Al Jazeera ว่า “กฎหมายสัญชาติเป็นเพียงยอดของภูเขาน้ำแข็ง ภายใต้พื้นผิวคือความคับข้องใจที่สั่งสมมานานจากปัญหาความเหลื่อมล้ำทางชาติพันธุ์ วิกฤตเศรษฐกิจหลังโควิด-19 และความไม่ไว้วางใจต่อสถาบันทางการเมืองที่ล้มเหลวในการตอบสนองความต้องการของประชาชน”

Nepal Gen Z Protests Highlights: Nepal Army Chief addresses nation amid  violent protests, appeals for peace - India Today

เสียงจากนานาชาติ ความกังวลต่อวิกฤตสิทธิมนุษยชนและประชาธิปไตยถดถอย

โศกนาฏกรรมครั้งนี้ได้ส่งคลื่นความตกใจไปทั่วโลก องค์การสหประชาชาติเป็นหน่วยงานแรกๆ ที่ออกมาแสดงปฏิกิริยา

  • สำนักงานข้าหลวงใหญ่เพื่อสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ (OHCHR) ออกแถลงการณ์เรียกร้องให้รัฐบาลเนปาลใช้ความอดทนอดกลั้นขั้นสูงสุด และเปิดการสืบสวนที่เป็นอิสระและโปร่งใสต่อเหตุการณ์สังหารทั้งหมด พร้อมทั้งเตือนว่าการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินจะต้องไม่ถูกใช้เป็นเครื่องมือในการปราบปรามผู้เห็นต่างอย่างสันติ
  • สหรัฐอเมริกาและสหภาพยุโรป ออกแถลงการณ์ร่วมแสดงความเสียใจต่อครอบครัวผู้เสียชีวิต และเรียกร้องให้ทุกฝ่ายทางการเมืองในเนปาลหันหน้าเข้าสู่การเจรจาเพื่อแก้ไขความขัดแย้งโดยสันติวิธี
  • อินเดียและจีน สองประเทศเพื่อนบ้านมหาอำนาจ ได้แสดงความกังวลต่อเสถียรภาพในเนปาล และเสนอความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมหากได้รับการร้องขอ

ประเด็น สิทธิมนุษยชนในเนปาล ซึ่งเคยมีความก้าวหน้าหลังสิ้นสุดสงครามกลางเมืองในปี 2549 กำลังถูกท้าทายอย่างหนัก นักการทูตหลายคนแสดงความกังวลว่าเหตุการณ์นี้อาจเป็นจุดเริ่มต้นของการถดถอยทางประชาธิปไตย และเปิดทางให้กองทัพกลับเข้ามามีบทบาททางการเมืองมากขึ้น

ภาพสะท้อนความเปราะบาง เมื่อการเมืองแบ่งขั้วปะทะวิกฤตเศรษฐกิจ

สถานการณ์ล่าสุดในกรุงกาฐมาณฑุเป็นอย่างไร ขณะนี้เมืองหลวงของเนปาลตกอยู่ในความเงียบสงัดภายใต้ประกาศเคอร์ฟิว ทหารและตำรวจติดอาวุธถูกส่งไปควบคุมสถานการณ์ตามแยกสำคัญต่างๆ การสัญจรแทบจะเป็นอัมพาต และประชาชนต่างกักตุนอาหารและสิ่งของจำเป็นด้วยความหวาดกลัวต่ออนาคตที่ไม่แน่นอน

วิกฤตเนปาล ครั้งนี้ไม่ได้เกิดขึ้นในสุญญากาศ แต่เป็นผลพวงของความเปราะบางหลายมิติที่สั่งสมมานาน

  1. การเมืองที่ไร้เสถียรภาพ ตลอด 15 ปีที่ผ่านมา เนปาลมีการเปลี่ยนรัฐบาลมากกว่า 10 ครั้ง ทำให้นโยบายขาดความต่อเนื่องและเปิดช่องให้เกิดการคอร์รัปชัน
  2. เศรษฐกิจที่พึ่งพาภายนอก รายได้หลักของประเทศมาจากการท่องเที่ยวและการส่งเงินกลับประเทศของแรงงานในต่างแดน ซึ่งล้วนได้รับผลกระทบอย่างหนักจากวิกฤตการณ์โควิด-19 และภาวะเศรษฐกิจโลกชะลอตัว
  3. ความแตกแยกทางสังคม ประเด็นเรื่องชาติพันธุ์และชนชั้นยังคงเป็นระเบิดเวลาที่พร้อมจะปะทุขึ้นเสมอเมื่อถูกใช้เป็นเครื่องมือทางการเมือง

Nepal Unrest: PM Quits, Ex-PM's Wife Burnt Alive | ummid.com

บทสรุป โศกนาฏกรรมที่คร่าชีวิตของนางราธิกา ศากยะ และเหยื่ออีก 21 ราย เป็นสัญญาณเตือนภัยที่ดังที่สุดสำหรับเนปาล มันคือบทพิสูจน์อันเจ็บปวดว่าวาทกรรมแห่งความเกลียดชังและการแบ่งขั้วทางการเมืองสามารถนำไปสู่ผลลัพธ์ที่เลวร้ายและแก้ไขไม่ได้ อนาคตของเนปาลในอีกไม่กี่วันข้างหน้าแขวนอยู่บนเส้นด้าย การที่ผู้นำทางการเมืองทุกฝ่ายจะสามารถก้าวข้ามความขัดแย้งส่วนตนและหันมาร่วมกันเยียวยาสังคมได้หรือไม่ จะเป็นตัวชี้วัดว่าเนปาลจะสามารถหลุดพ้นจากวงจรแห่งความรุนแรงนี้ หรือจะถลำลึกลงไปในวิกฤตที่อาจทำลายรากฐานของชาติที่สร้างมาอย่างยากลำบาก

แหล่งที่มาจาก : am2con