ไม่ใช่แค่สัตว์ร้าย ถอดรหัสวิกฤต หมีโจมตีคนในญี่ปุ่น “พายุที่สมบูรณ์แบบ” จากสังคมสูงวัย ป่าร้าง และโลกร้อน

หมีโจมตีคนในญี่ปุ่น

ความสงบในพื้นที่ชนบทของญี่ปุ่นถูกฉีกกระชากอีกครั้ง ด้วยข่าวโศกนาฏกรรมล่าสุดจากการโจมตีของหมีป่าในจังหวัดอากิตะ ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิต 1 ราย และยังคงมีผู้สูญหายอีก 1 คน เหตุการณ์สะเทือนขวัญนี้ไม่ใช่เพียงอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นอย่างโดดเดี่ยว แต่เป็นยอดของภูเขาน้ำแข็งแห่งวิกฤตการณ์ระดับชาติที่กำลังทวีความรุนแรงขึ้นอย่างน่าตกใจ ปรากฏการณ์ หมีโจมตีคนในญี่ปุ่น ที่พุ่งสูงขึ้นเป็นประวัติการณ์ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา กำลังสะท้อนภาพของ “พายุที่สมบูรณ์แบบ” ซึ่งเกิดจากการปะทะกันอย่างรุนแรงของการเปลี่ยนแปลงทางสิ่งแวดล้อม สังคมผู้สูงอายุ และภาวะประชากรลดลงในพื้นที่ชนบท กำลังท้าทายนโยบายการจัดการสัตว์ป่าและความสามารถในการอยู่ร่วมกันระหว่างมนุษย์กับธรรมชาติในศตวรรษที่ 21 อย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

One dead, one missing in Japan after bear attack

โศกนาฏกรรมซ้ำรอยที่อากิตะ เมื่อมนุษย์กลายเป็นผู้ถูกล่า

รายงานจากสำนักข่าว NHK และ Kyodo News ยืนยันว่าผู้เสียชีวิตเป็นชายสูงวัยวัย 70 ปีกว่า ถูกพบในสภาพมีบาดแผลฉกรรจ์จากการถูกทำร้ายโดยสัตว์ขนาดใหญ่ ขณะออกไปหาของป่าบริเวณเชิงเขา ขณะเดียวกัน เจ้าหน้าที่ยังคงระดมกำลังค้นหาหญิงสูงวัยอีกรายที่เดินทางเข้าไปในพื้นที่เดียวกันและขาดการติดต่อไป เหตุการณ์นี้ได้สร้างความหวาดผวาไปทั่วชุมชน และทางการท้องถิ่นได้ประกาศเตือนภัยระดับสูงสุดให้ประชาชนหลีกเลี่ยงการเข้าใกล้พื้นที่ป่าโดยเด็ดขาด

นี่คือเหตุการณ์ล่าสุดที่ตอกย้ำสถิติอันน่ากังวลจาก กระทรวงสิ่งแวดล้อมญี่ปุ่น ซึ่งระบุว่าปีงบประมาณที่ผ่านมา มีรายงานการเผชิญหน้าและเหตุ หมีโจมตีคนในญี่ปุ่น มากกว่า 219 ครั้ง ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิต 6 ราย ซึ่งเป็นตัวเลขที่สูงที่สุดนับตั้งแต่เริ่มมีการเก็บข้อมูลอย่างเป็นทางการในปี 2006 พื้นที่ที่เคยถูกมองว่าเป็น “เขตกันชน” ระหว่างป่าและชุมชน บัดนี้ได้กลายเป็น “จุดปะทะ” ที่นองเลือดขึ้นทุกวัน

“เมื่อก่อนเราเห็นหมีแค่ในป่าลึก แต่ตอนนี้พวกมันเดินอยู่หลังบ้านเรา” ยูอิจิ ซาโต้, เกษตรกรวัย 68 ปีในจังหวัดนีงาตะให้สัมภาษณ์กับ AFP “เราอยู่ในความกลัว เราไม่กล้าให้หลานๆ ออกไปเล่นข้างนอกตามลำพังอีกต่อไป”

เจาะลึกสายพันธุ์ “หมีดำเอเชีย” และ “อสูรร้ายแห่งฮอกไกโด”

เพื่อทำความเข้าใจวิกฤตการณ์นี้ จำเป็นต้องรู้จักชนิดของหมีในญี่ปุ่น ซึ่งแบ่งเป็น 2 สายพันธุ์หลัก

  1. หมีดำเอเชีย (Asiatic Black Bear) พบได้บนเกาะฮอนชูและชิโกกุ เป็นสายพันธุ์ที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์โจมตีส่วนใหญ่ทั่วประเทศ มีขนาดเล็กกว่า แต่มีความคล่องตัวสูงและปรับตัวเก่ง
  2. หมีสีน้ำตาลอุสซูริ (Ussuri Brown Bear) อาศัยอยู่บนเกาะ ฮอกไกโด เท่านั้น เป็นหนึ่งในสายพันธุ์หมีสีน้ำตาลที่ใหญ่ที่สุดในโลก อาจมีน้ำหนักได้ถึง 400 กิโลกรัม การเผชิญหน้ากับหมีชนิดนี้มักนำไปสู่ผลลัพธ์ที่รุนแรงกว่ามาก

แม้จะเป็นคนละสายพันธุ์ แต่พฤติกรรมของหมีทั้งสองชนิดกลับเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางเดียวกัน คือการรุกล้ำเข้ามาในเขตที่อยู่อาศัยของมนุษย์บ่อยครั้งและก้าวร้าวขึ้น คำถามสำคัญคือ อะไรคือต้นตอที่ผลักดันให้พวกมันออกมาจากป่า?

One dead, one missing in Japan after bear attack - The Japan Times

ถอดรหัส “พายุที่สมบูรณ์แบบ” 4 ปัจจัยเร่งที่ผลักหมีมาเจอคน

ผู้เชี่ยวชาญด้านสัตว์ป่าและนักสังคมศาสตร์ต่างเห็นพ้องต้องกันว่า วิกฤตการณ์ครั้งนี้ไม่ได้เกิดจากปัจจัยเดียว แต่เป็นผลลัพธ์ของปัญหาหลายอย่างที่เกิดขึ้นพร้อมกันราวกับ “พายุที่สมบูรณ์แบบ”

  • การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและวิกฤตอาหารในป่า การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ส่งผลให้รูปแบบของฤดูกาลแปรปรวน อุณหภูมิที่สูงขึ้นส่งผลกระทบต่อการออกดอกและติดผลของพืชอาหารหลักของหมี เช่น ต้นโอ๊ก (ลูกก่อ) และต้นบีช เมื่ออาหารตามธรรมชาติในป่าขาดแคลนอย่างหนัก สัญชาตญาณในการเอาชีวิตรอดจึงบีบให้หมีต้องเดินทางไกลขึ้นและเข้าใกล้พื้นที่ของมนุษย์เพื่อหาแหล่งอาหารใหม่ ซึ่งก็คือพืชผลทางการเกษตร ขยะในครัวเรือน หรือแม้กระทั่งตู้ขายของอัตโนมัติ
  • พื้นที่ชนบทเสื่อมโทรม “ป่าร้าง” ที่กลายเป็นทางด่วนของสัตว์ป่า ญี่ปุ่นกำลังเผชิญกับภาวะประชากรลดลงอย่างรุนแรงในพื้นที่ชนบท คนหนุ่มสาวย้ายเข้าเมืองใหญ่ ทิ้งให้พื้นที่เกษตรกรรมและหมู่บ้านหลายแห่งกลายเป็น “พื้นที่ร้าง” ที่ดินที่เคยถูกถางเป็นไร่นากลับถูกทิ้งให้รกชัฏ กลายเป็น “ทางเดินสีเขียว” ที่เชื่อมต่อผืนป่าเข้ากับเขตชุมชนอย่างแนบเนียน ทำให้ สัตว์ป่าบุกรุกเมือง ได้โดยง่าย โดยไม่มีแนวกันชนตามธรรมชาติเหมือนในอดีต
  • สังคมผู้สูงอายุญี่ปุ่น เมื่อประชากรเปราะบางและอ่อนแอลง หมู่บ้านในชนบทที่อยู่ติดกับป่าส่วนใหญ่ เหลือเพียงผู้สูงอายุอาศัยอยู่ สังคมผู้สูงอายุญี่ปุ่น ทำให้ประชากรในพื้นที่เหล่านี้มีความเปราะบางต่อการโจมตีมากขึ้น พวกเขาไม่สามารถวิ่งหนีหรือต่อสู้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และไม่สามารถดูแลจัดการพื้นที่รอบบ้านให้โล่งเตียนเพื่อป้องกันสัตว์ป่าได้เหมือนเดิม ข้อมูลผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บส่วนใหญ่จึงมักเป็นผู้สูงอายุ
  • พฤติกรรมหมีที่เปลี่ยนไป กำเนิด “หมียุคใหม่” ที่ไม่กลัวคน หมีรุ่นใหม่ๆ ที่เกิดและเติบโตขึ้นมาในยุคที่เขตแดนระหว่างป่ากับเมืองเลือนราง ได้เรียนรู้ว่าพื้นที่ของมนุษย์คือแหล่งอาหารที่หาง่ายและมีความเสี่ยงต่ำ พวกมันค่อยๆ สูญเสียความกลัวที่มีต่อมนุษย์โดยสัญชาตญาณ และเมื่อการเผชิญหน้าเกิดขึ้นบ่อยครั้ง โอกาสที่จะเกิดการโจมตีเพื่อป้องกันตัวหรือแย่งชิงอาหารก็เพิ่มสูงขึ้นตามไปด้วย

สงครามสองขั้ว เสียงจากนักอนุรักษ์ ปะทะ ความจริงของคนในพื้นที่

วิกฤตหมีได้จุดชนวนความขัดแย้งทางความคิดอย่างรุนแรงในสังคมญี่ปุ่น ฝ่ายหนึ่งคือกลุ่มนักอนุรักษ์และคนเมือง ที่มองว่าหมีคือส่วนหนึ่งของระบบนิเวศที่ต้องปกป้อง และมนุษย์คือฝ่ายที่รุกล้ำถิ่นที่อยู่ของพวกมัน พวกเขาสนับสนุนมาตรการที่ไม่รุนแรง เช่น การให้ความรู้ การใช้สเปรย์พริกไทยไล่หมี หรือการจัดการขยะที่ดีขึ้น

แต่อีกฝ่ายคือชาวบ้านในพื้นที่และกลุ่มนายพราน ที่ต้องใช้ชีวิตอยู่กับความหวาดกลัวทุกวัน พวกเขามองว่ามาตรการเชิงรับนั้นไม่เพียงพอ และทางออกเดียวที่จะปกป้องชีวิตมนุษย์ได้คือการควบคุมประชากรหมีด้วยการ “กำจัด” หรือการล่าอย่างเป็นระบบ

“นักวิชาการในโตเกียวพูดเรื่องการอยู่ร่วมกันได้ง่าย แต่พวกเขาไม่ต้องส่งลูกไปโรงเรียนโดยกลัวว่าจะเจอหมีระหว่างทาง” หัวหน้าสมาคมนายพรานท้องถิ่นกล่าว “สำหรับเรา นี่คือสงครามเพื่อความอยู่รอด”

รัฐบาลญี่ปุ่นมีมาตรการอะไรบ้าง? รัฐบาลกลางและท้องถิ่นกำลังพยายามหาจุดสมดุล โดยจัดสรรงบประมาณเพื่อสนับสนุนการติดตั้งรั้วไฟฟ้า การฝึกสุนัขไล่หมี และการวิจัยพฤติกรรม แต่ในขณะเดียวกันก็อนุญาตให้มีการล่าหมีในพื้นที่วิกฤตเพิ่มขึ้น ซึ่งสร้างความไม่พอใจให้กับทั้งสองฝ่าย

Two dead, one missing after apparent bear attacks in Japan | NHK WORLD-JAPAN  News

บทสรุป บนทางแยกของการอยู่ร่วมกันระหว่าง “คน” กับ “ป่า”

โศกนาฏกรรม หมีโจมตีคนในญี่ปุ่น ที่เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า เป็นมากกว่าข่าวอาชญากรรมสัตว์ป่า แต่มันคือสัญญาณเตือนภัยที่ดังและชัดเจนว่า รูปแบบความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับธรรมชาติที่เคยสมดุลได้พังทลายลงแล้ว

การแก้ปัญหานี้ไม่สามารถทำได้ด้วยการล่าหรือการอนุรักษ์เพียงอย่างใดอย่างหนึ่ง แต่ต้องการแนวทางแบบองค์รวมที่มองลึกไปถึงรากของปัญหา ทั้งการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอย่างจริงจัง, การฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมในพื้นที่ชนบทเพื่อแก้ปัญหา “ป่าร้าง”, และการให้ความรู้แก่ประชาชนเกี่ยวกับ วิธีป้องกันตัวจากหมีโจมตี

ญี่ปุ่นกำลังยืนอยู่บนทางแยกที่สำคัญ อนาคตของการอยู่ร่วมกันอย่างสันติระหว่างคนกับป่า ขึ้นอยู่กับว่าพวกเขาจะสามารถเรียนรู้และปรับตัวเข้ากับโลกที่กำลังเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วใบนี้ได้หรือไม่ ก่อนที่จะมีโศกนาฏกรรมครั้งต่อไปเกิดขึ้น

 

แหล่งที่มาจาก : am2con

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *