จาการ์ตา, อินโดนีเซีย – การประกาศเป้าหมายการผลิตน้ำมันปาล์ม (CPO) ที่ระดับ 60 ล้านตันภายในปี 2573 (ค.ศ. 2030) ของอินโดนีเซีย อาจฟังดูเป็นเพียงตัวเลขทางยุทธศาสตร์ของยักษ์ใหญ่ผู้ผลิตอันดับหนึ่งของโลก แต่เมื่อเจาะลึกถึงเบื้องหลังกลยุทธ์และนโยบายที่กำลังขับเคลื่อนอย่างเต็มกำลัง นี่คือสัญญาณเตือนที่ดังชัดเจนถึงการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของสมรภูมิน้ำมันปาล์มโลก ซึ่งส่งแรงสั่นสะเทือนโดยตรงมาถึงอุตสาหกรรมปาล์มน้ำมันของไทยอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้
บทความนี้จะพาไปสำรวจเบื้องลึกของเป้าหมายอันทะเยอทะยานนี้ โดยผสานข้อมูลเชิงลึกจากแหล่งข่าวที่น่าเชื่อถือ เพื่อวิเคราะห์ว่าอินโดนีเซียจะไปถึงจุดนั้นได้อย่างไร และที่สำคัญที่สุด ประเทศไทยในฐานะผู้ผลิตอันดับสามของโลก ควรต้องปรับตัวและวางกลยุทธ์เพื่อรับมือกับความท้าทายครั้งใหญ่นี้อย่างไร
เบื้องหลังเป้าหมาย 60 ล้านตัน ไม่ใช่แค่ส่งออก แต่คือ “ความมั่นคงทางพลังงาน”
หลายคนอาจเข้าใจว่าการเพิ่มกำลังการผลิตมหาศาลของ น้ำมันปาล์มอินโดนีเซีย มีเป้าหมายหลักเพื่อการส่งออกและครองส่วนแบ่งตลาดโลกแต่เพียงอย่างเดียว แต่ความจริงที่ซับซ้อนกว่านั้นคือ “ความต้องการภายในประเทศ” ที่กำลังเติบโตอย่างก้าวกระโดด โดยมี “ไบโอดีเซล” เป็นพระเอก
รัฐบาลอินโดนีเซียภายใต้การนำของประธานาธิบดีโจโก วิโดโด ได้ผลักดันนโยบายพลังงานทดแทนอย่างจริงจัง เพื่อลดการพึ่งพาน้ำมันฟอสซิลที่ต้องนำเข้า และสร้างเสถียรภาพด้านราคาพลังงานในประเทศ กลยุทธ์สำคัญคือการเพิ่มสัดส่วนการผสมไบโอดีเซลในน้ำมันดีเซล ซึ่งปัจจุบันอยู่ที่ B35 (ผสมไบโอดีเซล 35%) และมีแผนจะขยับไปสู่ B40 ในอนาคตอันใกล้
- โครงการ B35/B40 คือตัวเปลี่ยนเกม การเปลี่ยนผ่านจาก B35 ไปสู่ B40 หมายความว่าอินโดนีเซียจะต้องใช้ CPO เป็นวัตถุดิบในการผลิตไบโอดีเซลเพิ่มขึ้นอีกหลายล้านตันต่อปี
- การดูดซับอุปทาน (Supply Absorption) นโยบายนี้ทำหน้าที่เป็น “ฟองน้ำ” ขนาดยักษ์ คอยดูดซับผลผลิตน้ำมันปาล์มส่วนเกินในประเทศ ช่วยพยุง ราคาน้ำมันปาล์ม ในประเทศไม่ให้ตกต่ำแม้ผลผลิตจะล้นตลาดก็ตาม
- เป้าหมายระยะยาวสู่ B50 สมาคมผู้ประกอบการน้ำมันปาล์มอินโดนีเซีย (GAPKI) ได้แสดงวิสัยทัศน์ที่ไกลกว่านั้น โดยมองถึงความเป็นไปได้ในการผลักดันสู่ B50 ซึ่งจะทำให้อินโดนีเซียกลายเป็นผู้บริโภคน้ำมันปาล์มรายใหญ่ที่สุดในโลกด้วยตัวเอง
ดังนั้น เป้าหมาย 60 ล้านตัน จึงไม่ใช่แค่การผลิตเพื่อขาย แต่คือการสร้างระบบนิเวศพลังงานที่พึ่งพาตนเอง โดยมี “ปาล์มน้ำมัน” เป็นหัวใจสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและพลังงานของชาติไปพร้อมกัน
กลยุทธ์สู่เป้าหมาย เพิ่มผลผลิตต่อไร่ ไม่ใช่แค่ขยายพื้นที่
ความท้าทายที่สำคัญที่สุดของอินโดนีเซียคือ จะเพิ่ม การผลิตน้ำมันปาล์ม อีกเกือบ 20 ล้านตันจากปัจจุบันได้อย่างไร ท่ามกลางกระแสกดดันด้านสิ่งแวดล้อมและการตัดไม้ทำลายป่าจากทั่วโลก โดยเฉพาะสหภาพยุโรป (EU) คำตอบของอินโดนีเซียไม่ได้อยู่ที่การขยายพื้นที่ปลูกใหม่เป็นหลัก แต่อยู่ที่การ “เพิ่มประสิทธิภาพผลผลิตต่อไร่” (Yield Improvement) ของเกษตรกรรายย่อย ซึ่งเป็นเจ้าของสวนปาล์มกว่า 40% ของประเทศ
โครงการฟื้นฟูสวนปาล์มของเกษตรกรรายย่อย (Peremajaan Sawit Rakyat – PSR) คือหัวหอกสำคัญของกลยุทธ์นี้
- เป้าหมาย โครงการนี้มีเป้าหมายเพื่อสนับสนุนให้เกษตรกรรายย่อยโค่นต้นปาล์มเก่าที่มีอายุมากและให้ผลผลิตต่ำ แล้วปลูกใหม่ด้วยพันธุ์ปาล์มคุณภาพสูงที่ให้ผลผลิตมากกว่า 2-3 เท่า
- ความท้าทาย แม้จะเป็นโครงการที่ดี แต่การดำเนินงานยังมีความล่าช้ากว่าเป้าหมายที่วางไว้มาก เนื่องจากปัญหาด้านเอกสารสิทธิ์ที่ดินของเกษตรกร และเงินทุนสนับสนุน
- ศักยภาพที่ยังรอการปลดปล่อย ผู้เชี่ยวชาญจาก GAPKI และสถาบันวิจัยชั้นนำต่างมองว่า หากโครงการ PSR สามารถเดินหน้าได้เต็มศักยภาพ จะเป็นกุญแจสำคัญที่ทำให้อินโดนีเซียสามารถบรรลุเป้าหมาย 60 ล้านตันได้โดยไม่จำเป็นต้องบุกรุกพื้นที่ป่าเพิ่มเติมมากนัก
“การเพิ่มผลผลิตของเกษตรกรรายย่อยไม่ใช่ทางเลือก แต่เป็นทางรอดเดียวของเราที่จะบรรลุเป้าหมายการผลิต ควบคู่ไปกับการรักษาความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อม” – ตัวแทนจากกระทรวงเกษตรอินโดนีเซียกล่าว
ผลกระทบโดยตรงถึงไทย เมื่อยักษ์ใหญ่ขยับ…สมรภูมิต้องเปลี่ยน
การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างอุปทาน-อุปสงค์ของ น้ำมันปาล์มอินโดนีเซีย ย่อมส่งผลกระทบโดยตรงมายัง อุตสาหกรรมปาล์มน้ำมันไทย อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ โดยสามารถวิเคราะห์ผลกระทบได้ในหลายมิติ
สงครามราคาในตลาดส่งออกที่รุนแรงขึ้น
แม้ว่าอินโดนีเซียจะบริโภค CPO ในประเทศมากขึ้น แต่ปริมาณการผลิตที่เพิ่มขึ้นมหาศาลก็ย่อมหมายถึงปริมาณการ ส่งออกน้ำมันปาล์ม ที่จะยังคงอยู่ในระดับสูงเพื่อรักษาส่วนแบ่งในตลาดโลก เช่น จีน อินเดีย และปากีสถาน
- ความได้เปรียบด้านต้นทุน อินโดนีเซียมีความได้เปรียบด้านต้นทุนการผลิตที่ต่ำกว่าไทยอย่างมีนัยสำคัญ ทำให้สามารถแข่งขันด้านราคาได้ดีกว่า
- การแย่งชิงตลาด เมื่ออินโดนีเซียต้องการระบายสินค้าออกสู่ตลาดโลกมากขึ้น ย่อมเกิดแรงกดดันต่อ ราคาน้ำมันปาล์ม ในตลาดโลกให้ไม่สามารถปรับตัวสูงขึ้นได้มากนัก และอาจเกิดการแข่งขันตัดราคาเพื่อชิงส่วนแบ่งตลาดจากไทยและมาเลเซีย
- ผลกระทบต่อเกษตรกรไทย แรงกดดันด้านราคาในตลาดโลก จะส่งผลโดยตรงต่อราคาผลปาล์มทะลายที่เกษตรกรไทยขายได้ ทำให้รายได้ของเกษตรกรมีความผันผวนและอาจลดต่ำลง
ความท้าทายเชิงโครงสร้างที่ไทยต้องเผชิญ
ผลกระทบต่อไทย ไม่ได้จำกัดอยู่แค่เรื่องราคา แต่ยังสะท้อนให้เห็นถึงจุดอ่อนเชิงโครงสร้างที่อุตสาหกรรมปาล์มไทยต้องเร่งแก้ไข
- ผลผลิตต่อไร่ที่ต่ำกว่า ปัจจุบัน ผลผลิตปาล์มน้ำมันเฉลี่ยของไทยยังคงต่ำกว่าของอินโดนีเซียและมาเลเซียอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งเป็นต้นทุนแฝงที่ทำให้ความสามารถในการแข่งขันลดลง
- การพึ่งพิงตลาดส่งออก ไทยพึ่งพิงการส่งออกน้ำมันปาล์มดิบ (CPO) ในสัดส่วนที่สูง เมื่อตลาดโลกผันผวนจึงได้รับผลกระทบโดยตรง แตกต่างจากอินโดนีเซียที่สร้าง “กันชน” จากตลาดไบโอดีเซลในประเทศ
- ความยั่งยืนและมาตรฐานสากล มาตรฐานด้านความยั่งยืน เช่น RSPO (Roundtable on Sustainable Palm Oil) และกฎหมาย EUDR (European Union Deforestation Regulation) กำลังกลายเป็นกำแพงการค้าที่สำคัญ หากเกษตรกรและโรงงานสกัดของไทยปรับตัวไม่ทัน อาจสูญเสียตลาดส่งออกที่สำคัญในยุโรปไป
บทวิเคราะห์ ไทยต้องปรับตัวอย่างไรเพื่อความอยู่รอดและเติบโต?
เมื่อเผชิญหน้ากับความท้าทายจาก น้ำมันปาล์มอินโดนีเซีย ประเทศไทยจำเป็นต้องเปลี่ยนมุมมองจาก “ผู้ตาม” มาเป็น “ผู้เล่นเชิงรุก” ที่มีกลยุทธ์ชัดเจน นี่คือแนวทางที่ต้องพิจารณาอย่างเร่งด่วน
- ยกระดับผลผลิตต่อไร่อย่างจริงจัง
- ภาครัฐต้องเร่งผลักดันโครงการส่งเสริมการปลูกปาล์มพันธุ์ดีทดแทนสวนเก่าอย่างเป็นรูปธรรม
- นำเทคโนโลยีการเกษตรแม่นยำ (Precision Agriculture) มาใช้ในการจัดการสวนปาล์มเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ
- สร้างตลาดในประเทศให้แข็งแกร่ง
- พิจารณานโยบายส่งเสริมการใช้ไบโอดีเซลในสัดส่วนที่สูงขึ้น เช่น B10 หรือ B20 เพื่อสร้างอุปสงค์ในประเทศให้มั่นคง คล้ายกับโมเดลของอินโดนีเซีย
- ส่งเสริมอุตสาหกรรมโอเลโอเคมีคัล (Oleochemicals) ซึ่งเป็นการนำน้ำมันปาล์มไปสร้างผลิตภัณฑ์มูลค่าเพิ่มสูง เช่น เครื่องสำอาง ยา และเคมีภัณฑ์ชีวภาพ
- ชูธง “ความยั่งยืน” ให้เป็นจุดขาย
- ผลักดันให้เกษตรกรและผู้ประกอบการเข้าสู่มาตรฐาน RSPO ให้มากขึ้น เพื่อสร้างความแตกต่างและเจาะตลาดพรีเมียมที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อม
- สร้างระบบตรวจสอบย้อนกลับ (Traceability) ที่โปร่งใส เพื่อตอบสนองต่อข้อกำหนดของ EUDR และรักษาตลาดส่งออกในยุโรป
- การวิจัยและพัฒนาที่ไม่หยุดนิ่ง
- ลงทุนในการวิจัยเพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ จากปาล์มน้ำมันที่ไม่ใช่แค่น้ำมันเพื่อการบริโภคหรือพลังงาน เช่น พลาสติกชีวภาพ หรือสารสกัดเพื่อสุขภาพ
บทสรุปและแนวโน้มในอนาคต
เป้าหมาย 60 ล้านตันของอินโดนีเซียภายในปี 2573 ไม่ใช่แค่ตัวเลข แต่คือ “คำประกาศ” ถึงทิศทางใหม่ของอุตสาหกรรมน้ำมันปาล์มโลกที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานและอุปสงค์ภายในประเทศเป็นหลัก การเคลื่อนไหวครั้งนี้ได้สร้างแรงกระเพื่อมที่ท้าทายอุตสาหกรรมปาล์มน้ำมันของไทยในทุกมิติ ตั้งแต่ แนวโน้มราคาน้ำมันปาล์มในอนาคต ไปจนถึงความสามารถในการแข่งขันในระยะยาว
สำหรับประเทศไทย นี่คือช่วงเวลาสำคัญที่ต้องตัดสินใจว่าจะยอมเป็นผู้ได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลง หรือจะลุกขึ้นมาปรับโครงสร้างอุตสาหกรรมครั้งใหญ่เพื่อเปลี่ยนวิกฤตให้เป็นโอกาส การยกระดับประสิทธิภาพการผลิต การสร้างตลาดมูลค่าเพิ่มในประเทศ และการชูจุดเด่นด้านความยั่งยืน คือกุญแจสำคัญที่จะทำให้ปาล์มน้ำมันของไทยสามารถยืนหยัดและเติบโตต่อไปได้อย่างมั่นคงในสมรภูมิโลกที่กำลังเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว
แหล่งที่มาจาก : am2con