วิกฤตขาวโพลนถล่มกรุงโซล เมื่อ “หิมะตกหนักกรุงโซล” ระลอกแรก เปลี่ยนมหานครไฮเทคสู่ภาวะอัมพาต

หิมะตกหนักกรุงโซล

กรุงโซล มหานครที่ไม่เคยหลับใหล กำลังเผชิญกับความท้าทายครั้งใหญ่รับต้นฤดูหนาว เมื่อกรมอุตุนิยมวิทยาเกาหลี (KMA) ออกประกาศเตือนภัยด่วนถึงสถานการณ์ หิมะตกหนักกรุงโซล ระลอกแรกของฤดูกาล ที่คาดการณ์ว่าจะมีความรุนแรงเกินกว่าค่าเฉลี่ยปกติในรอบหลายทศวรรษ คำเตือนนี้ไม่ได้เป็นเพียงการแจ้งเตือนสภาพอากาศ แต่เป็นสัญญาณเตือนภัยถึง “ความโกลาหล” ที่กำลังจะเกิดขึ้นกับระบบคมนาคมขนส่งของเมืองหลวงที่มีประชากรหนาแน่นที่สุดแห่งหนึ่งของโลก ท่ามกลางความกังวลว่าโครงสร้างพื้นฐานของเมืองอัจฉริยะแห่งนี้ จะสามารถต้านทานพายุสีขาวที่โหมกระหน่ำได้นานเพียงใด

Heavy snowfall disrupts evening commute across Seoul, capital region - The  Korea Times

สัญญาณเตือนภัยจาก KMA รหัสแดงแห่งเหมันต์

สำนักงานอุตุนิยมวิทยาเกาหลี (KMA) ได้ยกระดับการเตือนภัยหิมะตกหนัก (Heavy Snow Watch) ครอบคลุมพื้นที่ทั่วกรุงโซล จังหวัดคยองกี และเมืองอินชอน ตั้งแต่ช่วงเช้ามืดที่ผ่านมา โดยระบุว่ามวลอากาศเย็นจัดจากไซบีเรียได้ปะทะเข้ากับความชื้นมหาศาลเหนือทะเลเหลือง (Yellow Sea) ก่อให้เกิดแนวปะทะอากาศที่ส่งผลให้มีหิมะตกลงมาอย่างหนักและต่อเนื่อง

รายงานล่าสุดระบุว่า ปริมาณหิมะสะสมอาจพุ่งสูงถึง 10-20 เซนติเมตรภายในระยะเวลาไม่ถึง 24 ชั่วโมง ซึ่งถือเป็นตัวเลขที่น่าตกใจสำหรับการตกครั้งแรกของฤดูกาล (First Snow) โดยปกติแล้ว หิมะแรกมักจะโปรยปรายเพียงเล็กน้อยเพื่อสร้างบรรยากาศ แต่ครั้งนี้ ธรรมชาติกลับเล่นตลกด้วยการเทกระหน่ำลงมาแบบไม่ทันตั้งตัว

เจ้าหน้าที่ระดับสูงของ KMA แถลงการณ์ผ่านโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจ ระบุว่า

“นี่ไม่ใช่หิมะแรกในเชิงสัญลักษณ์ที่เราคุ้นเคย แต่มันคือระบบสภาพอากาศที่มีพลังทำลายล้างสูง ความเสี่ยงไม่ได้อยู่ที่ปริมาณหิมะเพียงอย่างเดียว แต่อยู่ที่ ‘อัตราการตก’ ที่รวดเร็วเกินกว่าที่เจ้าหน้าที่กวาดหิมะจะจัดการได้ทันท่วงที เราขอแนะนำให้ประชาชนงดการใช้รถยนต์ส่วนตัวโดยเด็ดขาด”

ถนนกลายเป็นลานสเก็ต ฝันร้ายของคนทำงาน (Commuter’s Nightmare)

ผลกระทบที่เห็นได้ชัดเจนและรวดเร็วที่สุดจากเหตุการณ์ หิมะตกหนักกรุงโซล ในครั้งนี้ คือสภาวะ “จราจรอัมพาต” ที่แผ่ขยายไปทั่วทุกมุมเมือง ทันทีที่หิมะเริ่มจับตัวเป็นน้ำแข็งบนพื้นผิวถนน (Black Ice) ในช่วงชั่วโมงเร่งด่วน การจราจรบนถนนสายหลักอย่าง โอลิมปิกแดโร (Olympic-daero) และ คังบยอนบุกโร (Gangbyeonbuk-ro) ก็แทบจะหยุดนิ่ง

ภาพจากกล้องวงจรปิดเผยให้เห็นรถยนต์จำนวนมากติดขัดยาวเหยียดสุดลูกหูลูกตา รถบัสสาธารณะหลายคันเสียหลักลื่นไถลขวางช่องทางจราจร ขณะที่รถยนต์ส่วนตัวต้องจอดทิ้งไว้ข้างทางเนื่องจากไม่สามารถไต่ขึ้นเนินเขาที่มีความลาดชัน ซึ่งเป็นลักษณะภูมิประเทศทั่วไปของกรุงโซลได้

คิม มิน-จุน (Kim Min-jun) พนักงานออฟฟิศย่านกังนัม วัย 34 ปี ให้สัมภาษณ์กับผู้สื่อข่าวท้องถิ่นด้วยสีหน้าเหนื่อยล้าว่า

“ผมใช้เวลาเดินทางจากบ้านมาที่ทำงานเกือบ 4 ชั่วโมง ปกติใช้เวลาแค่ 45 นาที รถไฟฟ้าแน่นจนหายใจไม่ออก คนแย่งกันขึ้นรถเหมือนหนีภัยสงคราม หิมะแรกปีนี้ไม่ได้โรแมนติกเลย แต่มันคือนรกของการเดินทาง”

เทศบาลกรุงโซล (Seoul Metropolitan Government) ได้ระดมเจ้าหน้าที่กว่า 10,000 คน และรถกวาดหิมะนับพันคัน เพื่อเร่งโปรยสารละลายน้ำแข็ง (De-icing agents) บนถนนสายหลัก แต่ด้วยปริมาณหิมะที่ตกลงมาอย่างต่อเนื่อง ทำให้การทำงานเป็นไปอย่างยากลำบาก

Season's first snowfall throws Seoul into traffic chaos - The Korea Herald

เศรษฐกิจสะดุด เมื่อ Delivery หยุดชะงักและไซต๋ก่อสร้างต้องปิดตัว

ผลกระทบของพายุหิมะไม่ได้หยุดอยู่แค่บนท้องถนน แต่ยังลุกลามไปถึงเส้นเลือดใหญ่ทางเศรษฐกิจของเกาหลีใต้ โดยเฉพาะธุรกิจอีคอมเมิร์ซและบริการจัดส่งอาหาร (Food Delivery)

แอปพลิเคชันยอดนิยมอย่าง Baedal Minjok และ Coupang Eats ต้องประกาศระงับการให้บริการในหลายพื้นที่ชั่วคราว เพื่อความปลอดภัยของไรเดอร์ ซึ่งส่งผลกระทบต่อร้านอาหารรายย่อยที่พึ่งพายอดขายเดลิเวอรี่เป็นหลัก นอกจากนี้ การขนส่งสินค้าพัสดุแบบ “Rocket Delivery” ที่เป็นจุดขายของเกาหลีใต้ ก็ต้องประสบกับความล่าช้าอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ สร้างความเสียหายทางเศรษฐกิจมหาศาลในระดับจุลภาค

ในภาคอุตสาหกรรม ไซต์ก่อสร้างหลายแห่งต้องหยุดการดำเนินงานทันที เนื่องจากความเสี่ยงจากพื้นผิวที่ลื่นและทัศนวิสัยที่ย่ำแย่ ซึ่งอาจนำไปสู่อุบัติเหตุร้ายแรง นี่คือราคาที่ต้องจ่ายเมื่อภัยธรรมชาติเข้ามาแทรกแซงกิจกรรมทางเศรษฐกิจในเมืองใหญ่

การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ความปกติใหม่ที่ไม่ปกติ (The New Abnormal)

นักวิทยาศาสตร์และผู้เชี่ยวชาญด้านสิ่งแวดล้อมต่างชี้ว่า ปรากฏการณ์ หิมะตกหนักกรุงโซล ที่รุนแรงขึ้นและคาดเดาได้ยากนี้ ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่เป็นผลพวงโดยตรงจาก ภาวะโลกร้อน (Global Warming)

อุณหภูมิผิวน้ำทะเลที่สูงขึ้นทำให้อากาศกักเก็บความชื้นได้มากขึ้น เมื่อมวลอากาศชื้นนี้ปะทะกับความเย็น จะกลั่นตัวเป็นหิมะในปริมาณที่มหาศาลกว่าในอดีต นอกจากนี้ การอ่อนกำลังลงของกระแสลมเจ็ตสตรีม (Jet Stream) ที่ขั้วโลกเหนือ ยังเปิดทางให้มวลอากาศเย็นจัดแผ่ลงมาปกคลุมคาบสมุทรเกาหลีได้ง่ายและนานขึ้น

ดร. ลี ซัง-วู (Dr. Lee Sang-woo) ศาสตราจารย์ด้านวิทยาศาสตร์ภูมิอากาศ อธิบายว่า “เรากำลังเข้าสู่ยุคที่คำว่า ‘ค่าเฉลี่ย’ ไม่มีนัยสำคัญอีกต่อไป เราจะได้เห็นเหตุการณ์สุดขั้ว (Extreme Events) บ่อยครั้งขึ้น หิมะที่เคยตกหนักร้อยปีมีหนึ่งหน อาจเกิดขึ้นทุกๆ 2-3 ปี เกาหลีใต้จำเป็นต้องรื้อระบบโครงสร้างพื้นฐานและการรับมือภัยพิบัติใหม่ทั้งหมด เพื่อรองรับอนาคตที่ไม่แน่นอนนี้”

When it snows, it downpours in Seoul: first snow causes chaos | AJU PRESS

บทเรียนสำหรับนักท่องเที่ยวไทยและภูมิภาค

สำหรับประเทศไทย เกาหลีใต้คือจุดหมายปลายทางยอดนิยมอันดับต้นๆ โดยเฉพาะในช่วงฤดูหนาว เหตุการณ์นี้จึงส่งผลกระทบโดยตรงต่อนักท่องเที่ยวไทยจำนวนมากที่กำลังเดินทางหรือวางแผนจะเดินทางไปสัมผัสอากาศหนาว

สถานเอกอัครราชทูตฯ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ออกคำแนะนำให้นักท่องเที่ยวไทยในเกาหลีใต้

  1. ติดตามข่าวสารใกล้ชิด ตรวจสอบพยากรณ์อากาศและประกาศจาก KMA อย่างสม่ำเสมอ
  2. เผื่อเวลาเดินทาง โดยเฉพาะผู้ที่มีกำหนดการบินกลับ ควรเผื่อเวลาเดินทางไปสนามบินอินชอนอย่างน้อย 4-5 ชั่วโมง เนื่องจากบริการรถบัสลีมูซีนอาจล่าช้าหรือหยุดวิ่ง
  3. ระวังพื้นลื่น อุบัติเหตุจากการลื่นล้มเป็นสาเหตุหลักของการบาดเจ็บในช่วงหิมะตก ควรเตรียมรองเท้าที่มีดอกยางลึกหรืออุปกรณ์กันลื่น
  4. ทำประกันการเดินทาง เพื่อรองรับความเสี่ยงกรณีเที่ยวบินล่าช้าหรืออุบัติเหตุ

บทสรุป การปรับตัวคือทางรอดเดียว

เหตุการณ์ หิมะตกหนักกรุงโซล ในครั้งนี้ เป็นเครื่องเตือนใจที่ทรงพลังว่า แม้แต่มหานครที่เพียบพร้อมด้วยเทคโนโลยีอย่างโซล ก็ยังเปราะบางต่อพลังของธรรมชาติ การจัดการจราจรด้วย AI หรือระบบขนส่งที่ทันสมัย อาจไม่เพียงพอหากขาดการเตรียมพร้อมรับมือวิกฤตภูมิอากาศอย่างจริงจัง

ขณะที่เจ้าหน้าที่ยังคงเร่งกวาดหิมะออกจากถนน และประชาชนเริ่มปรับตัวกับการใช้ชีวิตท่ามกลางอุณหภูมิติดลบ สิ่งหนึ่งที่ชัดเจนคือ ฤดูหนาวปีนี้เพิ่งจะเริ่มต้นขึ้น และธรรมชาติอาจยังมี “เซอร์ไพรส์” ที่รุนแรงกว่านี้รออยู่เบื้องหน้า การเตรียมพร้อมและความตระหนักรู้จึงเป็นอาวุธเดียวที่จะช่วยให้มนุษย์อยู่รอดได้ในยุคที่สภาพอากาศแปรปรวนที่สุดในประวัติศาสตร์

แหล่งที่มาจาก : am2con