ความโกลาหลและความสูญเสียได้เข้าปกคลุมกรุงจาการ์ตา เมืองหลวงของอินโดนีเซียอีกครั้ง เมื่อเกิดเหตุ ไฟไหม้จาการ์ตา ครั้งรุนแรงที่สุดในรอบปี ณ อาคารพาณิชย์ความสูง 7 ชั้น ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตที่ยืนยันแล้วอย่างน้อย 22 ศพ เหตุการณ์นี้ไม่ได้เป็นเพียงอุบัติเหตุเพลิงไหม้ทั่วไป แต่กำลังถูกจับตามองจากนานาชาติในฐานะ “สัญญาณเตือนภัย” ถึงความหละหลวมของมาตรฐานความปลอดภัยในอาคารสูง และระบบการจัดการภัยพิบัติในมหานครที่มีความหนาแน่นที่สุดแห่งหนึ่งของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ท่ามกลางเสียงวิพากษ์วิจารณ์ถึงความล่าช้าในการเข้าถึงพื้นที่และการขาดแคลนอุปกรณ์กู้ภัยที่มีประสิทธิภาพ

นาทีวิปโยค ลำดับเหตุการณ์เพลิงนรก
เหตุการณ์ระทึกขวัญเริ่มต้นขึ้นในช่วงเช้าตรู่ ตามเวลาท้องถิ่น พยานผู้เห็นเหตุการณ์ระบุว่ากลุ่มควันสีดำทึบเริ่มพวยพุ่งออกมาจากชั้นล่างของอาคารพาณิชย์กึ่งที่พักอาศัยความสูง 7 ชั้น ซึ่งตั้งอยู่ในย่านชุมชนหนาแน่นของจาการ์ตา ก่อนที่เปลวเพลิงจะลุกลามขึ้นสู่ชั้นบนอย่างรวดเร็วผ่านช่องลิฟต์และบันไดหนีไฟที่ไม่ได้มาตรฐาน เปลี่ยนอาคารทั้งหลังให้กลายเป็นปล่องไฟมรณะภายในเวลาไม่ถึง 20 นาที
เจ้าหน้าที่ดับเพลิงกว่า 150 นาย พร้อมรถฉีดน้ำกว่า 30 คัน ถูกระดมเข้าสู่พื้นที่ แต่ด้วยสภาพการจราจรที่ติดขัดและซอยที่แคบตามลักษณะผังเมืองของจาการ์ตา ทำให้การเข้าถึงจุดเกิดเหตุเป็นไปอย่างยากลำบาก ภาพที่ปรากฏต่อสายตาชาวโลกคือผู้คนที่ติดอยู่บนระเบียงชั้นบน พยายามส่งสัญญาณขอความช่วยเหลือ ท่ามกลางความร้อนระอุและควันพิษที่คละคลุ้ง
จากการรายงานล่าสุดของสำนักงานค้นหาและกู้ภัยแห่งชาติอินโดนีเซีย (Basarnas) ยืนยันตัวเลขผู้เสียชีวิตอยู่ที่ 22 ราย โดยส่วนใหญ่เสียชีวิตจากการสำลักควันพิษ (Asphyxiation) ก่อนที่ไฟจะลามไปถึงร่าง ขณะที่มีผู้ได้รับบาดเจ็บสาหัสอีกจำนวนมากถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลตำรวจและโรงพยาบาลใกล้เคียง
กับดักมรณะ ทำไมความสูญเสียจึงมากมายมหาศาล?
ประเด็นที่น่าสนใจและเป็นคำถามใหญ่สำหรับเหตุการณ์ ไฟไหม้จาการ์ตา ครั้งนี้ คือสาเหตุที่ทำให้มีผู้เสียชีวิตจำนวนมากในอาคารที่มีความสูงเพียง 7 ชั้น จากการลงพื้นที่และสัมภาษณ์ผู้เชี่ยวชาญด้านวิศวกรรมความปลอดภัย พบปัจจัยบ่งชี้สำคัญ 3 ประการ
- ทางหนีไฟที่ถูกปิดตาย รายงานเบื้องต้นระบุว่า ประตูหนีไฟบางชั้นถูกล็อคจากภายนอก หรือมีสิ่งกีดขวางวางระเกะระกะ ซึ่งเป็นพฤติกรรมความมักง่ายที่พบบ่อยในอาคารพาณิชย์ดัดแปลง
- ระบบเตือนภัยล้มเหลว ผู้รอดชีวิตหลายรายให้การตรงกันว่า ไม่ได้ยินเสียงสัญญาณเตือนภัย (Fire Alarm) หรือระบบสปริงเกอร์ไม่ทำงานเมื่อเกิดเหตุ ทำให้กว่าจะรู้ตัว เพลิงก็ได้ล้อมกรอบอาคารไว้หมดแล้ว
- วัสดุตกแต่งไวไฟ ภายในอาคารมีการใช้วัสดุตกแต่งผนังและฝ้าเพดานที่เป็นเชื้อเพลิงอย่างดี ทำให้ไฟลุกลามเร็วกว่าที่โครงสร้างอาคารจะต้านทานได้
เสียงสะท้อนจากผู้รอดชีวิตและครอบครัว
“มันเหมือนกับอยู่ในเตาอบ เรามองไม่เห็นทางออก มีแต่ควันสีดำ ทุกคนต่างตะโกนและผลักดันกันเพื่อเอาชีวิตรอด” หนึ่งในผู้รอดชีวิตที่หนีตายออกมาทางหน้าต่างชั้น 3 กล่าวด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ
บรรยากาศที่โรงพยาบาลตำรวจเต็มไปด้วยความโศกเศร้า ญาติผู้เสียชีวิตต่างมารอพิสูจน์อัตลักษณ์บุคคล ท่ามกลางความโกรธแค้นที่เริ่มปะทุขึ้นต่อเจ้าของอาคารและหน่วยงานตรวจสอบความปลอดภัย “นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เกิดเรื่องแบบนี้ในจาการ์ตา รัฐบาลสัญญาทุกครั้งว่าจะแก้ไข แต่ลูกหลานเราก็ยังต้องตายในตึกที่ไม่ได้มาตรฐาน” ญาติของผู้เสียชีวิตรายหนึ่งกล่าวกับผู้สื่อข่าว
มุมมองเชิงโครงสร้าง วิกฤตความปลอดภัยในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
เหตุการณ์ ไฟไหม้จาการ์ตา ครั้งนี้ ไม่ใช่กรณีศึกษาเดียว แต่สะท้อนภาพรวมของปัญหาการพัฒนาเมือง (Urbanization) ที่รวดเร็วเกินกว่าการควบคุมในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
ดร. อันดี ซูริยันโต ผู้เชี่ยวชาญด้านผังเมืองจากมหาวิทยาลัยอินโดนีเซีย ให้ความเห็นว่า “ปัญหาไม่ได้อยู่ที่เราไม่มีกฎหมาย กฎหมายอาคารของอินโดนีเซียมีความเข้มงวดในระดับสากล แต่ปัญหาอยู่ที่ ‘การบังคับใช้’ (Enforcement) และการคอร์รัปชันในระดับปฏิบัติการ การอนุญาตให้อาคารเก่าดัดแปลงการใช้งานโดยไม่ปรับปรุงระบบความปลอดภัย คือระเบิดเวลาที่รอวันปะทุ”
นอกจากนี้ ความหนาแน่นของประชากรในจาการ์ตาและการจัดโซนนิ่ง (Zoning) ที่ไม่ชัดเจน ทำให้โรงงานขนาดเล็ก โกดังเก็บสินค้า และที่พักอาศัย อยู่ปะปนกัน เพิ่มความเสี่ยงในการเกิดอัคคีภัยร้ายแรง
ผลกระทบต่อเศรษฐกิจและภาพลักษณ์การลงทุน
ในมิติของเศรษฐกิจ เหตุการณ์นี้อาจส่งผลกระทบทางจิตวิทยาต่อนักลงทุนต่างชาติ โดยเฉพาะในภาคอสังหาริมทรัพย์และการท่องเที่ยว ความกังวลเรื่องมาตรฐานความปลอดภัย (Safety Standards) เป็นปัจจัยสำคัญในการตัดสินใจตั้งสำนักงานหรือฐานการผลิต
หากรัฐบาลอินโดนีเซียไม่สามารถแสดงความจริงใจในการปฏิรูปและตรวจสอบความปลอดภัยของอาคารทั่วกรุงจาการ์ตาอย่างเป็นรูปธรรม ความเชื่อมั่นในระบบโครงสร้างพื้นฐานของประเทศอาจสั่นคลอน ซึ่งสวนทางกับนโยบายดึงดูดการลงทุนของประธานาธิบดีที่ต้องการผลักดันให้อินโดนีเซียเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจใหม่ของโลก

บทสรุปและก้าวต่อไป
โศกนาฏกรรม ไฟไหม้จาการ์ตา ที่คร่าชีวิตผู้คนไปถึง 22 ศพ เป็นบทเรียนราคาแพงที่แลกมาด้วยเลือดเนื้อของผู้บริสุทธิ์ รัฐบาลอินโดนีเซียได้ประกาศตั้งคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงโดยเร่งด่วน พร้อมขู่ออกบทลงโทษขั้นสูงสุดแก่ผู้เกี่ยวข้องที่ละเลยมาตรฐานความปลอดภัย
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่สังคมต้องการไม่ใช่เพียงการหาคนผิด แต่คือการ “ปฏิรูประบบ” เพื่อให้มั่นใจว่าการเดินเข้าสู่อาคารสูงในเมืองหลวงจะไม่ใช่การเดินเข้าสู่กับดักมรณะอีกต่อไป เหตุการณ์นี้ยังเป็นเครื่องเตือนใจมาถึงประเทศไทยและประเทศเพื่อนบ้าน ให้หันกลับมาตรวจสอบความเข้มงวดของมาตรการป้องกันอัคคีภัยในบ้านเรา ก่อนที่ประวัติศาสตร์จะซ้ำรอยในลักษณะเดียวกัน
แหล่งที่มาจาก : am2con