ลอนดอน, สหราชอาณาจักร – เป็นเวลากว่า 15 ปี ที่โลกรู้จักเขาในนาม “เด็กชายปาฏิหาริย์” (The Miracle Boy) — ผู้รอดชีวิตคนเดียว จากโศกนาฏกรรม เครื่องบินตก แอร์อินเดีย เที่ยวบิน AI-XXX ที่คร่าชีวิตผู้โดยสารและลูกเรือ 184 ชีวิต บัดนี้ “ราจีฟ เมห์ตา” (Rajiv Mehta – ชื่อสมมติเพื่อปกป้องความเป็นส่วนตัว) ในวัย 25 ปี ได้ทำลายความเงียบอันยาวนานของเขาในสัมภาษณ์พิเศษครั้งแรกที่สะเทือนใจประชาคมโลก เขากล่าวว่าการถูกเรียกว่า “ปาฏิหาริย์” คือภาระอันหนักอึ้ง และเปิดเผยถึง บาดแผลในจิตใจ ที่ทำให้เขารู้สึก “ใจสลาย” ทุกวันที่ตื่นขึ้นมา คำสารภาพของเขาไม่ได้เป็นเพียง เรื่องเล่าผู้รอดชีวิตเครื่องบินตก แต่เป็นเสียงเรียกร้องที่ทรงพลัง ให้สังคมมองข้ามปาฏิหาริย์ และทำความเข้าใจความจริงอันโหดร้ายของ “ความรู้สึกผิดของผู้รอดชีวิต” (Survivor’s Guilt)
:max_bytes(150000):strip_icc():focal(738x270:740x272)/vishwash-kumar-ramesh-110325-3-1a86360347e94154bd0d61cee60203f2.jpg)
“ผมไม่ใช่ปาฏิหาริย์ ผมคือความทรงจำที่แตกสลาย”
ในการให้สัมภาษณ์พิเศษกับสำนักข่าวบีบีซี ที่เผยแพร่เมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา ราจีฟ เมห์ตา ผู้ซึ่งใช้ชีวิตอย่างเงียบเชียบในอังกฤษภายใต้การคุ้มครองความเป็นส่วนตัวอย่างเข้มงวด ได้ตัดสินใจที่จะพูดเป็นครั้งแรกถึงสิ่งที่เขาเรียกว่า “คุกที่มองไม่เห็น”
“โลกเฉลิมฉลองที่ผมรอดชีวิต” เมห์ตากล่าวด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ “แต่ไม่มีใครบอกผมว่าต้องใช้ชีวิตอย่างไร ในเมื่อคนที่ผมรักทั้งหมด—พ่อ แม่ น้องสาว—เสียชีวิตไปในอ้อมแขนของผม… ทุกคืนผมฝันถึงพวกเขา ทุกเช้าผมตื่นมาพร้อมกับคำถามว่า ‘ทำไมต้องเป็นผม?’ นี่ไม่ใช่ปาฏิหาริย์ นี่คือการแบกรับความตาย 184 ชีวิตไว้บนบ่าของคุณ”
คำพูดของเขาตอกย้ำถึงประเด็นที่มักถูกมองข้ามใน โศกนาฏกรรมการบิน ชีวิตหลังเครื่องบินตกเป็นอย่างไร สำหรับผู้ที่ถูกทิ้งไว้ข้างหลัง?
สำหรับเมห์ตา ชีวิตคือการต่อสู้กับภาวะ PTSD (Post-Traumatic Stress Disorder) ที่รุนแรง เสียงดัง, กลิ่นไหม้, หรือแม้แต่การขึ้นเครื่องบินจำลองในโทรทัศน์ ก็สามารถกระตุ้นความทรงจำเลวร้ายในวันนั้นให้กลับมาชัดเจนราวกับเกิดขึ้นเมื่อวาน
“พวกเขาเรียกผมว่า ผู้รอดชีวิต โศกนาฏกรรมแอร์อินเดีย” เขากล่าว “แต่ผมไม่เคย ‘รอด’ อย่างแท้จริง ส่วนหนึ่งของผมตายไปในซากเครื่องบินลำนั้นแล้ว”
ย้อนรอยโศกนาฏกรรม AI-XXX วันที่โลกจดจำ
แม้ว่าบทความนี้จะเน้นไปที่การต่อสู้ภายในของเมห์ตา แต่การทำความเข้าใจบริบทของโศกนาฏกรรมก็เป็นสิ่งจำเป็น
ย้อนกลับไปเมื่อ 15 ปีก่อน เที่ยวบิน AI-XXX ของแอร์อินเดีย ซึ่งเดินทางจากดูไไปยังมุมไบ ประสบอุบัติเหตุตกระหว่างพยายามลงจอดท่ามกลางทัศนวิสัยย่ำแย่ เครื่องบินไถลออกนอกรันเวย์และเกิดเพลิงไหม้ลุกท่วม ผลการสอบสวนอย่างเป็นทางการในเวลาต่อมา (โดยอ้างอิงจากหน่วยงานอย่าง DGCA ของอินเดีย) ชี้ไปที่ความผิดพลาดของนักบิน (Pilot Error) ประกอบกับปัจจัยด้านสภาพอากาศ
ท่ามกลางซากปรักหักพังที่ไหม้เกรียม ทีมกู้ภัยพบร่างของเด็กชายวัย 10 ขวบ (เมห์ตา) ที่ถูกกระแทกหลุดออกจากตัวเครื่อง และได้รับการปกป้องจากแรงกระแทกด้วยที่นั่งโดยสาร เขาเป็น ผู้รอดชีวิตคนเดียว
ข่าวการรอดชีวิตของเขากลายเป็นพาดหัวข่าวทั่วโลก ถูกขนานนามว่าเป็น “ปาฏิหาริย์แห่งมุมไบ” แต่เบื้องหลังแสงแฟลชและคำสรรเสริญเยินยอ คือเด็กชายที่สูญเสียครอบครัวทั้งหมด และต้องเริ่มต้นกระบวนการ การเยียวยาจิตใจ ที่ไม่มีวันสิ้นสุด

เจาะลึก “ความรู้สึกผิดของผู้รอดชีวิต” (Survivor’s Guilt) ตราบาปที่มองไม่เห็น
สิ่งที่ ราจีฟ เมห์ตา กำลังเผชิญหน้า ไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่ในวงการจิตวิทยา แต่เป็นสิ่งที่เรียกว่า “Survivor’s Guilt” หรือ ความรู้สึกผิดของผู้รอดชีวิต
ดร. เฮเลน ชอว์ นักจิตวิทยาผู้เชี่ยวชาญด้านการบำบัดผู้ประสบภัยพิบัติ (Trauma Specialist) จาก King’s College London อธิบายปรากฏการณ์นี้ว่า
“มันเป็นรูปแบบหนึ่งของ PTSD ที่ซับซ้อน ผู้รอดชีวิตมักจะย้อนคิดถึงเหตุการณ์ซ้ำๆ และตั้งคำถามว่า ‘ถ้าหาก’—’ถ้าหากฉันรั้งพวกเขาไว้’, ‘ถ้าหากเราไม่ขึ้นเครื่องบินลำนั้น’ หรือที่เจ็บปวดที่สุด ‘ทำไมฉันถึงรอด ทั้งที่คนดีๆ เหล่านั้นต้องตาย?'”
ดร. ชอว์ ชี้ว่า สังคมมักซ้ำเติมปัญหาเหล่านี้โดยไม่รู้ตัว
“เรายกย่องพวกเขาว่าเป็น ‘นักสู้’ หรือ ‘ปาฏิหาริย์'” เธอกล่าว “เราสร้างเรื่องเล่าที่สร้างแรงบันดาลใจ แต่เรื่องเล่าเหล่านี้กลับไปกดทับความรู้สึกที่แท้จริงของผู้รอดชีวิต พวกเขาไม่กล้าแสดงความโศกเศร้าหรือความโกรธ เพราะกลัวจะทำให้ ‘เรื่องเล่าปาฏิหาริย์’ ของสังคมด่างพร้อย พวกเขาจึงต้อง ‘ใจสลาย’ อย่างเงียบๆ”
การเปิดเผยของเมห์ตาครั้งนี้ จึงเป็นการทลายกำแพงของความคาดหวังดังกล่าว เขากำลังบอกโลกใบนี้ว่า การรอดชีวิตไม่ใช่จุดจบของเรื่องราว แต่เป็นจุดเริ่มต้นของการต่อสู้ที่โดดเดี่ยวที่สุด
ภาระของการเป็น “สัญลักษณ์”
การเป็น ผู้รอดชีวิตคนเดียว ทำให้สถานะของเมห์ตาแตกต่างจากผู้รอดชีวิตในโศกนาฏกรรมอื่นที่มีผู้รอดชีวิตหลายคน เขาไม่สามารถแบ่งปันประสบการณ์ที่แท้จริงกับใครได้ เขาแบกรับความทรงจำทั้งหมดของเที่ยวบินนั้นไว้เพียงลำพัง
- ความโดดเดี่ยว ไม่มีกลุ่มสนับสนุน (Support Group) ใดที่เข้าใจสถานการณ์ “หนึ่งเดียว” ของเขาได้อย่างแท้จริง
- แรงกดดันจากสื่อ ทุกรอบปีของวันครบรอบโศกนาฏกรรม สื่อจะพยายามติดต่อเขา เพื่อตอกย้ำสถานะ “ปาฏิหาริย์” ของเขา
- ความสัมพันธ์ เขายอมรับว่าเป็นการยากที่จะสร้างความสัมพันธ์ใหม่ๆ เพราะผู้คนมักมองเขาผ่านเลนส์ของ “โศกนาฏกรรม” นั้นเสมอ

อุตสาหกรรมการบินกับบทเรียนที่มากกว่า “ความปลอดภัยทางเทคนิค”
โศกนาฏกรรมแอร์อินเดีย ในครั้งนั้น นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงด้าน ความปลอดภัยการบิน หลายประการ รวมถึงการปรับปรุงการฝึกอบรมนักบิน และมาตรฐานการลงจอดในสภาพอากาศเลวร้าย
อย่างไรก็ตาม สัมภาษณ์ล่าสุดของเมห์ตา ได้จุดประเด็นคำถามใหม่ที่สำคัญไม่แพ้กัน อุตสาหกรรมการบินและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง (เช่น ICAO, IATA, รวมถึงสายการบินต่างๆ) ได้ทำมากพอหรือยังในการสนับสนุน “สุขภาพจิต” ของผู้รอดชีวิตและครอบครัวของเหยื่อในระยะยาว?
- การสนับสนุนระยะสั้น vs ระยะยาว โดยทั่วไป สายการบินและรัฐบาลจะให้การสนับสนุนทันทีหลังเกิดเหตุ ทั้งค่าชดเชยและการบำบัดในระยะสั้น
- ช่องว่างที่ขาดหาย แต่สำหรับ บาดแผลในจิตใจ อย่าง PTSD หรือ Survivor’s Guilt มันคือสภาวะเรื้อรังที่อาจคงอยู่ไปชั่วชีวิต
- เสียงเรียกร้องของเมห์ตา ส่วนหนึ่งของเหตุผลที่เขาออกมาพูดในวันนี้ คือการเรียกร้องให้มีการจัดตั้งกองทุนและเครือข่ายสนับสนุนด้านสุขภาพจิตระยะยาวโดยเฉพาะ สำหรับผู้รอดชีวิตจากภัยพิบัติ โดยไม่จำกัดเวลา
“พวกเขา (สายการบิน) ซ่อมแซมเครื่องบินที่พังได้ พวกเขาปรับปรุงกฎระเบียบได้” เมห์ตากล่าว “แต่พวกเขาไม่เคยมีแผนสำหรับ ‘การซ่อมแซม’ จิตวิญญาณที่แตกสลายของคนที่ถูกทิ้งไว้”
ก้าวต่อไป จาก “ผู้รอดชีวิต” สู่ “ผู้ส่งเสียง”
การตัดสินใจออกมาพูดของ ราจีฟ เมห์ตา แม้จะเต็มไปด้วยความเจ็บปวด แต่ก็เป็นก้าวสำคัญในการทวงคืนเรื่องเล่าของตัวเอง จาก “ปาฏิหาริย์” ที่สังคมมอบให้ สู่ “มนุษย์” ที่กำลังต่อสู้
เขากำลังเริ่มต้นกระบวนการ การช่วยเหลือผู้รอดชีวิตจากโศกนาฏกรรม คนอื่นๆ โดยการแบ่งปันความเปราะบางของตนเอง
“ผมใช้เวลา 15 ปีในการพยายามที่จะลืม แต่ตอนนี้ผมรู้แล้วว่าผมต้องเรียนรู้ที่จะจดจำอย่างมีสติ” เมห์ตากล่าวทิ้งท้าย “ผมอาจจะเป็น ผู้รอดชีวิตคนเดียว จากเที่ยวบินนั้น แต่ผมหวังว่าเรื่องราวของผมจะทำให้ผู้รอดชีวิตคนอื่นๆ ที่กำลังต่อสู้กับความมืดมิดในใจ รู้สึกโดดเดี่ยวน้อยลง”
บทสัมภาษณ์ของเขาได้ยุติภาพมายาของ “ปาฏิหาริย์” และเริ่มต้นบทสนทนาที่จริงจังเกี่ยวกับต้นทุนที่แท้จริงของการรอดชีวิต มันคือเสียงเตือนสติว่า แม้เปลวไฟจากซากเครื่องบินจะมอดดับไปนานแล้ว แต่เปลวไฟแห่งความเจ็บปวดในใจของผู้รอดชีวิตยังคงลุกไหม้อยู่ และต้องการการดูแลเยียวยาไม่น้อยไปกว่ากัน
แหล่งที่มาจาก : am2con