เหตุระเบิดนิวเดลี ยอดดับพุ่ง 12 ศพ รัฐบาลอินเดียชี้เป้า โยงตรงปฏิบัติการจับกุมในแคชเมียร์

เหตุระเบิดนิวเดลี

วันที่ 14 พฤศจิกายน 2025 | นิวเดลี, อินเดีย – กรุงนิวเดลีตกอยู่ภายใต้ภาวะเฝ้าระวังความมั่นคงขั้นสูงสุดในวันนี้ (14 พ.ย.) หลังจากเหตุระเบิดรุนแรงกลางย่านตลาดซาโรจินี นากา (Sarojini Nagar) ซึ่งเป็นย่านการค้าที่พลุกพล่านที่สุดแห่งหนึ่งของเมืองหลวงในช่วงค่ำวานนี้ (13 พ.ย.) ส่งผลให้ยอดผู้เสียชีวิตล่าสุดที่ได้รับการยืนยันเพิ่มขึ้นเป็น 12 ศพ และบาดเจ็บอีกอย่างน้อย 54 ราย เหตุการณ์สะเทือนขวัญครั้งนี้เกิดขึ้นเพียง 48 ชั่วโมงหลังปฏิบัติการกวาดล้างครั้งใหญ่ของหน่วยงานความมั่นคงอินเดียในแคว้นแคชเมียร์ ทำให้เกิดการคาดการณ์ในระดับสูงว่านี่คือการโจมตีเพื่อตอบโต้ ซึ่งสั่นสะเทือนเสถียรภาพที่เปราะบางของภูมิภาคเอเชียใต้ และอาจเป็นบททดสอบด้านความมั่นคงครั้งสำคัญที่สุดของรัฐบาลอินเดียในรอบหลายปี

หน่วยงานสืบสวนแห่งชาติ (NIA) และหน่วยปฏิบัติการพิเศษของตำรวจเดลี (Delhi Police Special Cell) ได้เข้าควบคุมพื้นที่เกิดเหตุทันที โดยแหล่งข่าวระดับสูงในกระทรวงมหาดไทยอินเดียระบุว่า ลักษณะของระเบิดแสวงเครื่อง (IED) และจังหวะเวลาของการโจมตี “ไม่ใช่เรื่องบังเอิญอย่างแน่นอน” และถูกตั้งธงเป็นการก่อการร้ายที่มีความเชื่อมโยงโดยตรงกับสถานการณ์ในแคชเมียร์

โศกนาฏกรรมครั้งนี้ไม่เพียงแต่ฉีกกระชากความสงบสุขในเมืองหลวงของอินเดีย แต่ยังจุดชนวนความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ครั้งใหม่ โดยมีฉากหลังเป็นความขัดแย้งที่หยั่งรากลึกในหุบเขาแคชเมียร์ ซึ่งเป็นจุดวาบไฟระหว่างสองมหาอำนาจนิวเคลียร์อย่างอินเดียและปากีสถาน

Red Fort blast: Death toll rises to 12; Delhi Police steps up vigilance at  key areas | Delhi News - The Times of India

ภาวะฉุกเฉินในเมืองหลวง สรุปเหตุการณ์ระทึกขวัญ

เหตุระเบิดเกิดขึ้นเมื่อเวลาประมาณ 1915 น. ตามเวลาท้องถิ่น ท่ามกลางช่วงเวลาเร่งด่วนที่ตลาดซาโรจินี นากา อัดแน่นไปด้วยผู้คนที่มาจับจ่ายซื้อของหลังเลิกงาน พยานผู้เห็นเหตุการณ์เล่าถึงเสียงระเบิดที่ดังสนั่นหวั่นไหว ก่อนที่กลุ่มควันและเปลวไฟจะพวยพุ่งขึ้นจากจุดจอดรถจักรยานยนต์ใกล้กับทางเข้าหลักของตลาด

“ทุกอย่างโกลาหลไปหมด” นายราเจช กุปตา เจ้าของร้านเสื้อผ้าใกล้จุดเกิดเหตุ ให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าว AP “ผมเห็นคนวิ่งหนีตาย บางคนมีเลือดอาบ เสียงกรีดร้องดังไปทั่ว นี่เป็นฝันร้ายที่เกิดขึ้นจริงกลางใจเดลี”

แรงระเบิดมีความรุนแรงสูง ทำลายร้านค้าแผงลอยในรัศมีกว่า 30 เมตร และส่งสะเก็ดระเบิดไปทั่วบริเวณ

  • ยอดผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บ หน่วยบริการฉุกเฉินยืนยันยอดผู้เสียชีวิตเมื่อเช้านี้ที่ 12 ราย โดยในจำนวนนี้มีเด็กรวมอยู่ด้วย 2 ราย ส่วนผู้บาดเจ็บกว่า 50 คน ถูกส่งไปยังโรงพยาบาลซาฟดาร์จุง และสถาบัน AIIMS โดยหลายคนยังมีอาการสาหัส
  • ลักษณะการโจมตี ผู้เชี่ยวชาญด้านวัตถุระเบิด (EOD) เชื่อว่าระเบิดที่ใช้เป็นระเบิดแสวงเครื่อง (IED) ที่มีอานุภาพทำลายล้างสูง ซึ่งอาจประกอบด้วย RDX หรือ PETN และถูกซุกซ่อนไว้ในรถจักรยานยนต์หรือสกู๊ตเตอร์ที่จอดทิ้งไว้ วิธีการนี้สอดคล้องกับรูปแบบการโจมตีของกลุ่มติดอาวุธที่ได้รับการฝึกฝนมาอย่างดี
  • การตอบสนอง รัฐบาลได้ประกาศ “ภาวะเฝ้าระวังสูงสุด” (High Alert) ทั่วกรุงนิวเดลีและเมืองใหญ่อื่นๆ เช่น มุมไบ, บังกาลอร์ และโกลกาตา โดยมีการเสริมกำลังตำรวจและทหารกึ่งกองทัพในสถานที่สำคัญ เช่น ตลาด, สถานีรถไฟใต้ดิน, สนามบิน และสถานที่ราชการ

นายอามิต ชาห์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยของอินเดีย ซึ่งรับผิดชอบด้านความมั่นคงภายในโดยตรง ได้เรียกประชุมฉุกเฉินกับผู้บัญชาการตำรวจเดลีและผู้อำนวยการ NIA ทันที

“นี่คือการกระทำที่ขี้ขลาดและน่ารังเกียจต่อมนุษยชาติ” นายชาห์กล่าวในแถลงการณ์ “เราจะไม่ละเว้นผู้กระทำผิดและผู้ที่อยู่เบื้องหลังการโจมตีครั้งนี้ พวกเขาจะต้องชดใช้อย่างสาสม”

“ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ” เส้นเชื่อมโยงสู่อุทยานสวรรค์ที่ลุกเป็นไฟ

ในขณะที่ยังไม่มีกลุ่มใดออกมาอ้างความรับผิดชอบอย่างเป็นทางการ แต่องค์กรด้านความมั่นคงของอินเดียต่างพุ่งเป้าไปที่ความเชื่อมโยงกับการจับกุมครั้งใหญ่ในแคว้นจัมมูและแคชเมียร์ (J&K) เมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายน หรือเพียง 48 ชั่วโมงก่อนเกิดเหตุระเบิด

ปฏิบัติการดังกล่าว ซึ่งนำโดย NIA และกองกำลังตำรวจสำรองกลาง (CRPF) ได้เข้าจับกุมบุคคลที่ถูกกล่าวหาว่าเป็น “ผู้นำระดับสูงของกลุ่มแบ่งแยกดินแดน” จำนวน 5 ราย ในเมืองศรีนคร เมืองเอกของแคชเมียร์

แหล่งข่าวกรองระบุว่า การจับกุมครั้งนี้เป็นส่วนหนึ่งของ “ปฏิบัติการกวาดล้างเครือข่ายสนับสนุนทางการเงินแก่การก่อการร้าย” (Terror-funding Crackdown) ซึ่งรัฐบาลอินเดียกล่าวหาว่ากลุ่มเหล่านี้ได้รับเงินทุนสนับสนุนจาก “หน่วยงานข้ามพรมแดน” (คำที่มักใช้เรียกปากีสถาน) เพื่อปลุกปั่นให้เกิดความไม่สงบในหุบเขาแคชเมียร์

“จังหวะเวลามันชัดเจนเกินไป” เจ้าหน้าที่ระดับสูงของ NIA ผู้ไม่ประสงค์ออกนาม กล่าวกับรอยเตอร์ “การจับกุมที่ศรีนครเมื่อวันอังคารถือเป็นการตัดท่อน้ำเลี้ยงสำคัญ การโจมตีในเดลีในวันพฤหัสบดี คือการตอบโต้ที่รุนแรงและชัดเจนที่สุด”

India probes link between Delhi car blast and earlier Kashmir arrests | FMT

การวิเคราะห์เชิงลึก ทำไมต้องเป็นนิวเดลี? และทำไมต้องตอนนี้?

การเลือกนิวเดลีเป็นเป้าหมาย และจังหวะเวลาในการลงมือ สะท้อนถึงการคำนวณทางยุทธศาสตร์ของผู้ก่อเหตุ มากกว่าการโจมตีแบบสุ่มสี่สุ่มห้า

  1. การส่งสารโดยตรงถึงศูนย์กลางอำนาจ การโจมตีในเมืองหลวง ซึ่งเป็นที่ตั้งของรัฐบาล รัฐสภา และสถานทูตต่างประเทศ มีความหมายเชิงสัญลักษณ์ที่รุนแรง มันเป็นการส่งสารโดยตรงไปยังรัฐบาลของนายกรัฐมนตรีนเรนทรา โมดี ว่า แม้จะมีการควบคุมความมั่นคงอย่างเข้มงวดในแคชเมียร์ แต่กลุ่มติดอาวุธก็ยังมีความสามารถในการโจมตี “ใจกลาง” ของอินเดียได้
  2. การยกระดับความขัดแย้งสู่สากล (Internationalization) การปะทะกันรายวันหรือการโจมตีขนาดเล็กในพื้นที่ห่างไกลของแคชเมียร์ มักไม่ได้รับความสนใจจากสื่อนานาชาติมากนัก แต่การระเบิดครั้งใหญ่ในนิวเดลี ที่มีผู้เสียชีวิตเป็นพลเรือนจำนวนมาก จะดึงดูดความสนใจจากทั่วโลกทันที สิ่งนี้บีบให้ประชาคมระหว่างประเทศต้องหันมาให้ความสนใจกับ “ปัญหาแคชเมียร์” อีกครั้ง ซึ่งเป็นสิ่งที่กลุ่มแบ่งแยกดินแดนต้องการ
  3. การตอบโต้การปราบปรามที่เข้มข้นขึ้น นับตั้งแต่รัฐบาลอินเดียยกเลิกมาตรา 370 ในปี 2019 ซึ่งเป็นการเพิกถอนสถานะปกครองตนเองพิเศษของแคชเมียร์ และผนวกรวมเข้าเป็นส่วนหนึ่งของอินเดียโดยตรง รัฐบาลได้ใช้มาตรการ “กำปั้นเหล็ก” ในการควบคุมพื้นที่ การจับกุมผู้นำทางการเมือง นักกิจกรรม และการปราบปรามกลุ่มติดอาวุธเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง

ดร. ซาเมียร์ ปาติล นักวิเคราะห์อาวุโสด้านความมั่นคงจากสถาบัน Observer Research Foundation (ORF) ในมุมไบ ให้ทัศนะว่า

“การโจมตีครั้งนี้ อาจเป็นสัญญาณว่ากลุ่มติดอาวุธกำลังเปลี่ยนยุทธวิธี จากการสู้รบในหุบเขา (Guerilla Warfare) กลับไปสู่การก่อการร้ายในเมืองใหญ่ (Urban Terrorism) เหมือนในอดีต พวกเขากำลังพยายามทำให้รัฐบาลอินเดียต้องจ่าย “ต้นทุนทางการเมือง” ที่สูงขึ้น สำหรับนโยบายแข็งกร้าวในแคชเมียร์”

เปลวไฟจากแคชเมียร์ บริบทความขัดแย้งที่ไม่มีวันจบสิ้น

สำหรับผู้อ่านในระดับสากล การทำความเข้าใจเหตุระเบิดครั้งนี้จำเป็นต้องเข้าใจบริบทของ “ปัญหาแคชเมียร์” ซึ่งเป็นหนึ่งในความขัดแย้งทางดินแดนที่ยาวนานและซับซ้อนที่สุดในโลก

  • จุดเริ่มต้น นับตั้งแต่การแบ่งแยกอินเดียและปากีสถานในปี 1947 ทั้งสองประเทศต่างอ้างสิทธิ์เหนือดินแดนแคชเมียร์ทั้งหมด และได้ทำสงครามกันเพื่อแย่งชิงดินแดนนี้แล้วถึง 3 ครั้ง
  • ยุคหลัง 2019 การที่อินเดียยกเลิกมาตรา 370 ได้เปลี่ยนแปลงสถานะของพื้นที่อย่างสิ้นเชิง รัฐบาลอินเดียให้เหตุผลว่าเป็นการกระทำเพื่อ “นำการพัฒนา” และ “ยุติการแบ่งแยกดินแดน”
  • มุมมองที่แตกต่าง ในขณะที่อินเดียมองว่านี่คือ “กิจการภายใน” แต่ปากีสถานประณามว่าเป็นการ “ยึดครองอย่างผิดกฎหมาย” และละเมิดสิทธิมนุษยชนของชาวแคชเมียร์ (ซึ่งส่วนใหญ่เป็นชาวมุสลิม) ประชาชนในหุบเขาแคชเมียร์เองก็มีความคิดเห็นที่แตกแยก หลายคนรู้สึกถูกกดขี่ภายใต้การปกครองโดยตรงจากนิวเดลี
  • กลุ่มติดอาวุธ ตลอดหลายทศวรรษที่ผ่านมา กลุ่มติดอาวุธหลายกลุ่ม เช่น Lashkar-e-Taiba (LeT) และ Jaish-e-Mohammed (JeM) (ซึ่งอินเดียและสหรัฐฯ ระบุว่าเป็นกลุ่มก่อการร้ายที่ได้รับการสนับสนุนจากปากีสถาน) ได้ปฏิบัติการในพื้นที่ โดยมีเป้าหมายเพื่อ “ปลดปล่อย” แคชเมียร์ หรือรวมเข้ากับปากีสถาน

การจับกุมผู้นำแบ่งแยกดินแดน 5 คนล่าสุดในศรีนคร จึงเป็นการ “เหยียบตาปลา” ของเครือข่ายที่ซับซ้อนนี้ และ เหตุระเบิดนิวเดลี 12 ศพ ก็อาจเป็นผลสะท้อนกลับที่รุนแรงที่สุด

Delhi blast Updates: Centre describes explosion in Delhi as 'terrorist  incident', promises justice - The Hindu

ปฏิกิริยาระหว่างประเทศ เมื่อนิวเดลีไอ ปากีสถานสะเทือน

เพียงไม่กี่ชั่วโมงหลังเกิดเหตุระเบิด สมรภูมิการทูตก็เริ่มเปิดฉากขึ้นทันที สะท้อนให้เห็นว่าทุกเหตุการณ์ในนิวเดลีที่เชื่อมโยงกับแคชเมียร์ จะส่งแรงกระเพื่อมไปยังอิสลามาบัดเสมอ

ท่าทีของปากีสถาน กระทรวงการต่างประเทศปากีสถานได้ออกแถลงการณ์ประณามการโจมตีพลเรือนในนิวเดลี อย่างไรก็ตาม แถลงการณ์ดังกล่าวได้แฝงนัยยะทางการเมืองไว้ด้วย

“ปากีสถานประณามการก่อการร้ายทุกรูปแบบ… เราขอแสดงความเสียใจต่อครอบครัวผู้สูญเสียในนิวเดลี อย่างไรก็ตาม ประชาคมโลกต้องไม่ละเลยรากเหง้าของความไม่มั่นคงในภูมิภาค ซึ่งเกิดจากการที่อินเดียยังคงปฏิเสธสิทธิในการกำหนดใจตนเองของชาวแคชเมียร์ และการกดขี่อย่างต่อเนื่องในดินแดนจัมมูและแคชเมียร์ที่ถูกยึดครองอย่างผิดกฎหมาย”

ท่าทีของสหรัฐอเมริกา กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ได้ออกแถลงการณ์ที่พยายามรักษาสมดุล

“สหรัฐฯ ขอประณามการโจมตีของผู้ก่อการร้ายในนิวเดลีอย่างรุนแรงที่สุด… เราขอยืนหยัดเคียงข้างอินเดียในการต่อสู้กับการก่อการร้าย และพร้อมให้ความช่วยเหลือในการสืบสวน” โฆษกกล่าว “ในขณะเดียวกัน เรายังคงกระตุ้นให้อินเดียและปากีสถานใช้ความอดทนอดกลั้น และหาทางแก้ไขความตึงเครียดผ่านการเจรจา”

ปฏิกิริยาเหล่านี้แสดงให้เห็นถึงทางแพร่งที่อันตราย อินเดียย่อมต้องการแรงสนับสนุนจากนานาชาติในการประณามผู้ก่อเหตุ แต่ในขณะเดียวกัน ก็ต้องเผชิญกับแรงกดดันไม่ให้สถานการณ์บานปลายจนควบคุมไม่อยู่

บททดสอบของรัฐบาลโมดี ความมั่นคงภายในและการทูตบนเส้นด้าย

เหตุระเบิดครั้งนี้ ถือเป็นความล้มเหลวด้านข่าวกรองครั้งสำคัญ และเป็นความท้าทายโดยตรงต่อนโยบาย “ความมั่นคงต้องมาก่อน” (Muscular Security Policy) ของรัฐบาลพรรค BJP ภายใต้การนำของนายกรองนายกรัฐมนตรีนเรนทรา โมดี

รัฐบาลโมดี ซึ่งสร้างภาพลักษณ์ที่แข็งแกร่งจากการตอบโต้การโจมตีของผู้ก่อการร้ายในอดีต (เช่น การโจมตีทางอากาศที่บาลาคอตในปากีสถาน ปี 2019) กำลังตกอยู่ภายใต้แรงกดดันมหาศาลให้ “ตอบโต้”

ขณะนี้ รัฐบาลอินเดียมีทางเลือกที่ต้องชั่งน้ำหนักอย่างรอบคอบ

  1. การตอบโต้ภายใน (Internal Response) เพิ่มการปราบปรามในแคชเมียร์ให้เข้มข้นยิ่งขึ้น จับกุมผู้ต้องสงสัยเครือข่ายสนับสนุน (Sleeper Cells) ทั่วประเทศ นี่คือสิ่งที่น่าจะเกิดขึ้นทันที แต่ก็เสี่ยงที่จะสร้างวงจรความรุนแรงรอบใหม่
  2. การตอบโต้ภายนอก (External Response) หากการสืบสวนพบ “หลักฐานที่ปฏิเสธไม่ได้” ว่าปากีสถานมีส่วนเกี่ยวข้อง รัฐบาลอาจถูกกดดันจากฐานเสียงชาตินิยมให้ตอบโต้ทางทหารข้ามพรมแดน ซึ่งเป็นทางเลือกที่อันตรายอย่างยิ่งยวดและอาจนำไปสู่สงครามเต็มรูปแบบ

ใครอยู่เบื้องหลังเหตุระเบิดนิวเดลี? คำถามนี้คือสิ่งที่ NIA และหน่วยข่าวกรอง (RAW) ต้องหาคำตอบให้ได้โดยเร็วที่สุด เพราะคำตอบนี้จะเป็นตัวกำหนดทิศทางความมั่นคงของคนกว่า 1.4 พันล้านคนในเอเชียใต้

บทสรุป อนาคตของเอเชียใต้ในม่านควันระเบิด

เหตุระเบิดนิวเดลี ที่คร่าชีวิตผู้บริสุทธิ์ 12 ราย ไม่ใช่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างโดดเดี่ยว แต่เป็นอาการล่าสุดของบาดแผลเรื้อรังที่ชื่อ “แคชเมียร์” ที่ไม่เคยได้รับการรักษาอย่างแท้จริง

ในระยะสั้น เราจะได้เห็นการยกระดับมาตรการรักษาความปลอดภัยอย่างเข้มงวดทั่วอินเดีย การเมืองภายในประเทศจะร้อนระอุขึ้นด้วยวาทกรรมชาตินิยม และบรรยากาศในหุบเขาแคชเมียร์จะยิ่งตึงเครียดจากการปราบปรามที่เพิ่มขึ้น

ในระยะยาว โศกนาฏกรรมครั้งนี้ตอกย้ำว่า แม้อินเดียจะพยายามผนวกรวมแคชเมียร์ด้วยกำลังและการเปลี่ยนแปลงทางกฎหมาย แต่ก็ยังไม่สามารถดับไฟแห่งความขัดแย้งที่พร้อมจะปะทุและลุกลามมาถึงเมืองหลวงได้ทุกเมื่อ

อนาคตอันใกล้นี้ของความสัมพันธ์อินเดีย-ปากีสถาน และเสถียรภาพของทั้งภูมิภาค ถูกแขวนไว้บนเส้นด้ายของการสืบสวนที่กำลังดำเนินอยู่ในซากปรักหักพังกลางตลาดซาโรจินี นากา

แหล่งที่มาจาก : am2con