(วันที่ 31 ตุลาคม 2025, กาซา/วอชิงตัน/เทลอาวีฟ) – ข้อตกลงหยุดยิงในฉนวนกาซาที่เปราะบางที่สุดในรอบหลายปี กำลังแขวนอยู่บนเส้นด้ายที่บางเฉียบในวันนี้ หลังจาก อิสราเอลโจมตีกาซา ระลอกใหม่เมื่อช่วงค่ำที่ผ่านมา สังหารชาวปาเลสไตน์ไปอย่างน้อย 5 ศพ ในขณะที่ควันระเบิดยังไม่จางหาย ความขัดแย้งกลับปะทุขึ้นในเวทีทางการทูต เมื่อ สหรัฐฯ ผู้เป็นคนกลางหลัก ออกมายืนยันอย่างแข็งขันว่า “การหยุดยิงยังไม่ล่มสลาย”
การโจมตีทางอากาศของอิสราเอล (IDF) ซึ่งเกิดขึ้นที่ค่ายผู้ลี้ภัยจาบาเลีย (Jabalia) ทางตอนเหนือของกาซา ถือเป็นการละเมิด “การพักรบ” (Pause in hostilities) ครั้งร้ายแรงที่สุดนับตั้งแต่ข้อตกลงซึ่งมีสหรัฐฯ อียิปต์ และกาตาร์เป็นคนกลาง มีผลบังคับใช้เมื่อหลายสัปดาห์ก่อน
กระทรวงสาธารณสุขในกาซาที่ดำเนินการโดยกลุ่มฮามาส ยืนยันว่าผู้เสียชีวิต 5 ราย รวมถึงเด็ก 2 ราย และมีผู้บาดเจ็บอีกอย่างน้อย 12 คน
ในขณะที่กลุ่มฮามาสประณามเหตุการณ์นี้ว่าเป็นการ “สังหารหมู่อันป่าเถื่อน” และ “การละเมิดข้อตกลงหยุดยิงอย่างโจ่งแจ้ง” อิสราเอลกลับมีคำอธิบายที่แตกต่างไปอย่างสิ้นเชิง โดยอ้างว่านี่คือ “ปฏิบัติการต่อต้านการก่อการร้ายที่แม่นยำ” (Precision counter-terrorist operation)
แต่จุดที่น่าจับตามองที่สุดในวิกฤตครั้งนี้ คือปฏิกิริยาจากวอชิงตัน ทำเนียบขาวและกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ออกมาแสดงท่าทีที่พยายาม “เดินบนเส้นด้าย” อย่างเห็นได้ชัด โดยยอมรับว่ามีการสูญเสียชีวิตพลเรือนที่ “น่าสลดใจ” แต่ก็ย้ำว่าเหตุการณ์นี้ “ไม่ถือเป็นการสิ้นสุด” ของข้อตกลงหยุดยิงในภาพรวม
ท่าทีดังกล่าวได้จุดชนวนคำถามที่ใหญ่กว่า “การหยุดยิง” ที่กำลังดำเนินอยู่นี้ หมายความว่าอย่างไรกันแน่? และการที่สหรัฐฯ พยายามอย่างยิ่งยวดที่จะ “รักษาหน้า” ของข้อตกลงไว้ ทั้งที่ความเป็นจริงในพื้นที่กำลังลุกเป็นไฟ มันคือการทูตที่ชาญฉลาด หรือเป็นเพียงการซื้อเวลาที่อันตราย ก่อนที่ทุกอย่างจะระเบิดออกเป็นสงครามเต็มรูปแบบอีกครั้ง?

เปลวไฟในจาบาเลีย “ปฏิบัติการแม่นยำ” หรือ “การสังหารหมู่พลเรือน”?
เหตุการณ์ปะทุขึ้นเมื่อเวลาประมาณ 2030 น. ตามเวลาท้องถิ่น พยานในค่ายผู้ลี้ภัยจาบาเลีย ซึ่งเป็นหนึ่งในพื้นที่ที่หนาแน่นที่สุดในโลก รายงานว่าได้ยินเสียงโดรนลาดตระเวนของอิสราเอล ตามด้วยเสียงระเบิดดังสนั่นที่พุ่งเป้าไปยังรถยนต์คันหนึ่งบนถนนที่พลุกพล่าน
“มันเหมือนนรกแตก” อาเหม็ด ฮัสซัน พยานผู้เห็นเหตุการณ์ ให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวอัลจาซีรา “ผู้คนกำลังพยายามซื้ออาหารหลังจากการสู้รบหยุดไปหลายวัน จู่ๆ รถคันนั้นก็ระเบิดเป็นไฟลุกท่วม เราเห็นร่างคนกระเด็นและมีเด็กนอนจมกองเลือด”
กระทรวงสาธารณสุขกาซารายงานว่า ในบรรดา ดับ 5 ศพ นั้น มีเด็กชายวัย 8 ขวบ และเด็กหญิงวัย 12 ขวบรวมอยู่ด้วย
มุมมองของอิสราเอล (IDF) การกำจัด “ภัยคุกคามเฉพาะหน้า”
เพียงไม่กี่ชั่วโมงหลังเกิดเหตุ โฆษกกองกำลังป้องกันตนเองอิสราเอล (IDF) ได้ออกแถลงการณ์ยืนยันการโจมตี
“IDF และ ชินเบต (Shin Bet) ได้ปฏิบัติการร่วมกันในจาบาเลีย เพื่อกำจัด [ชื่อผู้บัญชาการ] ซึ่งเป็นผู้บัญชาการระดับสูงของกลุ่ม ปาเลสไตน์ อิสลามิก ญิฮาด (Palestinian Islamic Jihad – PIJ)” แถลงการณ์ระบุ
IDF อ้างว่าผู้บัญชาการคนดังกล่าว (ซึ่งยืนยันว่าเสียชีวิตในรถ) เป็นผู้อยู่เบื้องหลังการยิงจรวดโจมตีเมืองสเดร็อต (Sderot) ของอิสราเอลเมื่อ 72 ชั่วโมงก่อน ซึ่งถือเป็นการละเมิดการหยุดยิงครั้งแรกๆ (แม้จะในระดับเล็กน้อย)
“นี่คือปฏิบัติการที่มุ่งเป้าไปที่ภัยคุกคามเฉพาะหน้า” พลเรือตรี แดเนียล ฮาการี โฆษก IDF กล่าว “เราจะยังคงดำเนินการต่อต้านผู้ก่อการร้ายที่พยายามใช้การหยุดยิงเพื่อวางแผนโจมตีพลเรือนอิสราเอลต่อไป… เราเสียใจต่อการสูญเสียชีวิตพลเรือนที่น่าสลดใจ ซึ่งเป็นผลมาจากการที่กลุ่มก่อการร้ายเหล่านี้ใช้ประชากรเป็นโล่มนุษย์”
มุมมองของปาเลสไตน์ (ฮามาส) “การละเมิดที่ไม่อาจให้อภัย”
สำหรับฝ่ายปาเลสไตน์ คำอธิบายของอิสราเอลไม่เป็นที่ยอมรับโดยสิ้นเชิง กลุ่ม ฮามาส ซึ่งเป็นผู้ปกครองฉนวนกาซาและเป็นคู่เจรจาหลักในข้อตกลงหยุดยิง (แม้ว่าเป้าหมายจะเป็น PIJ) ได้ออกมาประณามอย่างรุนแรง
“ศัตรูไซออนิสต์ได้ก่ออาชญากรรมครั้งใหม่ที่จาบาเลีย นี่คือการละเมิดข้อตกลงหยุดยิงอย่างชัดเจน” ซามี อาบู ซูห์รี โฆษกฮามาสกล่าว “การอ้างว่าโจมตีกลุ่มต่อต้านเป็นเพียงข้ออ้างในการสังหารเด็กและสตรีของเรา… กองกำลังต่อต้านกำลังปรึกษาหารือถึงการตอบโต้อย่างเหมาะสม”
กลุ่ม PIJ เองก็ออกมายืนยันการเสียชีวิตของผู้บัญชาการ และประกาศว่า “การเจรจาใดๆ สิ้นสุดลงแล้ว เลือดต้องล้างด้วยเลือด”
สถานการณ์นี้สร้างความตึงเครียดอย่างมหาศาล เพราะแม้ว่าเป้าหมายของ IDF จะเป็นกลุ่ม PIJ (ซึ่งมักปฏิบัติการนอกเหนือการควบคุมของฮามาส) แต่การโจมตีที่เกิดขึ้นในดินแดนของฮามาสและสังหารพลเรือน ถือเป็นการบีบให้ฮามาสต้องตอบโต้เพื่อรักษาความน่าเชื่อถือในฐานะ “ผู้พิทักษ์ชาวปาเลสไตน์”

“หยุดยิงยังไม่ล่ม” สหรัฐฯ เดินบนเส้นด้ายทางการทูตที่อันตราย
ท่ามกลางเสียงปืนที่ดังขึ้นอีกครั้ง ทุกสายตาจับจ้องไปที่วอชิงตัน ดี.ซี. ซึ่งเป็น “สถาปนิก” หลักของข้อตกลงหยุดยิงนี้
ปฏิกิริยาจาก ทำเนียบขาว และกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ สะท้อนถึงความพยายามอย่างยิ่งยวดที่จะ “ควบคุมความเสียหาย” (Damage Control) เพื่อไม่ให้กระบวนการทั้งหมดที่แลกมาด้วยความยากลำบากต้องพังทลายลง
นายเจค ซัลลิแวน ที่ปรึกษาด้านความมั่นคงแห่งชาติสหรัฐฯ กล่าวในแถลงการณ์เร่งด่วน
“เรากำลังติดตามรายงานการโจมตีในจาบาเลียที่น่ากังวลอย่างยิ่ง… การสูญเสียชีวิตพลเรือนเป็นสิ่งที่น่าสลดใจและยอมรับไม่ได้ เราได้เรียกร้องคำชี้แจงจากพันธมิตรของเราในอิสราเอลแล้ว… อย่างไรก็ตาม เราขอย้ำว่า กรอบการทำงานของข้อตกลงหยุดยิงในภาพรวมยังคงมีผลบังคับใช้… เรากำลังทำงานอย่างไม่หยุดยั้งกับทุกฝ่ายเพื่อคลี่คลายสถานการณ์นี้ และป้องกันการบานปลาย”
คำว่า “กรอบการทำงานในภาพรวม” (Broader framework) คือกุญแจสำคัญในวาทศิลป์ทางการทูตของสหรัฐฯ
การที่ สหรัฐฯ ยืนยันว่าการหยุดยิงยังไม่ล่ม แม้จะมีการโจมตีที่คร่าชีวิตผู้คนไป 5 ศพ สะท้อนให้เห็นถึงเดิมพันที่สูงลิ่วของรัฐบาลประธานาธิบดีไบเดน
- การเจรจาตัวประกัน เป้าหมายหลักของสหรัฐฯ คือการปล่อยตัวประกันที่เหลือ (รวมถึงพลเมืองอเมริกัน) ซึ่งจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อการหยุดยิงยังดำเนินต่อไปเท่านั้น
- การป้องกันสงครามภูมิภาค สหรัฐฯ กังวลอย่างยิ่งว่าหากการหยุดยิงล่มสลาย สงครามเต็มรูปแบบในกาซาจะกลับมา และอาจดึงเฮซบอลเลาะห์ในเลบานอน หรือแม้แต่อิหร่าน เข้าสู่ความขัดแย้งโดยตรง
- ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม การหยุดยิงเป็นช่องทางเดียวที่ทำให้รถบรรทุกนับร้อยคันสามารถนำอาหาร ยา และเชื้อเพลิง เข้าสู่กาซาได้ หากการสู้รบกลับมา วิกฤตมนุษยธรรมจะเลวร้ายลงทวีคูณ
- การเมืองภายในประเทศ ประธานาธิบดีไบเดนกำลังเผชิญแรงกดดันมหาศาลจากทั้งสองฝ่าย ทั้งจากฝ่ายที่หนุนอิสราเอล และจากฝ่ายก้าวหน้าในพรรคเดโมแครตที่โกรธแค้นต่อวิกฤตมนุษยธรรมในกาซา การรักษา “การหยุดยิง” ไว้ จึงเป็นทางออกเดียวที่จะลดแรงเสียดทานทางการเมืองได้
นิยามใหม่ของ “การหยุดยิง” เมื่อ “การพักรบ” ไม่ได้หมายถึง “การหยุดยิง”
วิกฤตครั้งนี้ได้เปิดโปง “ความคลุมเครือเชิงสร้างสรรค์” (Constructive Ambiguity) ที่ถูกจงใจใส่ไว้ในข้อตกลงหยุดยิงตั้งแต่แรก
ข้อตกลงนี้ ในทางเทคนิคแล้ว คือ “การพักรบเพื่อมนุษยธรรม” (Humanitarian Pause) ไม่ใช่ “การหยุดยิงถาวร” (Permanent Ceasefire) ความแตกต่างนี้มีความสำคัญอย่างยิ่ง
- มุมมองอิสราเอล IDF ตีความว่า “การพักรบ” หมายถึงการหยุด “ปฏิบัติการทางทหารขนาดใหญ่” (เช่น การบุกภาคพื้นดิน หรือการทิ้งระเบิดปูพรม) แต่ “ไม่รวมถึง” ปฏิบัติการต่อต้านการก่อการร้ายที่มุ่งเป้าและแม่นยำ (Targeted strikes) ต่อภัยคุกคามที่เฉพาะเจาะจง อิสราเอลยืนยันว่าพวกเขามีสิทธิ์ในการป้องกันตนเอง แม้ในระหว่างการพักรบ
- มุมมองฮามาส/ปาเลสไตน์ ตีความว่า “การพักรบ” หมายถึงการยุติการสู้รบ “ทุกรูปแบบ” (Cessation of all hostilities) การโจมตีใดๆ ก็ตามจากอิสราเอล ถือเป็นการละเมิดข้อตกลงโดยตรง
พอล โรเจอร์ส ศาสตราจารย์ด้านสันติภาพศึกษา มหาวิทยาลัยแบรดฟอร์ด วิเคราะห์ว่า “สหรัฐฯ และอิสราเอลรู้ดีว่าการโจมตีลักษณะนี้อาจเกิดขึ้น พวกเขาเดิมพันว่าฮามาสจะ ‘ยอมกลืนเลือด’ เพื่อรักษาผลประโยชน์ที่ใหญ่กว่า คือการได้ตัวประกันชาวปาเลสไตน์กลับคืนมาและการได้รับความช่วยเหลือ”
“แต่การโจมตีที่จาบาเลียครั้งนี้ มันอุกอาจเกินไป” เขากล่าวต่อ “มันคร่าชีวิตพลเรือนและเด็ก การที่ฮามาสจะไม่ตอบโต้เลยก็แทบจะเป็นไปไม่ได้ นี่คือจุดที่ความคลุมเครือที่จงใจสร้างไว้ กลับมาทำลายตัวข้อตกลงเอง”
วิกฤตศรัทธาของคนกลาง อียิปต์และกาตาร์กำลังถูกกดดัน
การที่สหรัฐฯ เอนเอียงไปในทาง “ยอมรับ” คำอธิบายของอิสราเอล (ว่าเป็นปฏิบัติการต่อต้านการก่อการร้าย) ได้สร้างแรงกดดันมหาศาลไปยังคนกลางชาติอาหรับ คือ อียิปต์ และ กาตาร์
ทั้งสองประเทศนี้เป็นผู้เจรจาโดยตรงกับฝ่ายการเมืองของฮามาส และเป็นผู้ค้ำประกันว่าอิสราเอลจะปฏิบัติตามข้อตกลง
- กาตาร์ กระทรวงการต่างประเทศกาตาร์ออกแถลงการณ์ประณามการโจมตีของอิสราเอลอย่างรุนแรงที่สุด โดยเรียกว่า “การพยายามทำลายล้างความพยายามในการไกล่เกลี่ย” แหล่งข่าวในโดฮาเผยว่า กาตาร์กำลัง “โกรธ” สหรัฐฯ ที่ไม่สามารถควบคุมอิสราเอลได้
- อียิปต์ ในฐานะประเทศที่มีพรมแดนติดกับกาซาและควบคุมด่านราฟาห์ อียิปต์มองว่าการปะทุรอบใหม่คือฝันร้ายด้านความมั่นคง แหล่งข่าวความมั่นคงในไคโรกล่าวว่า อียิปต์กำลัง “ทำงานตลอด 24 ชั่วโมง” เพื่อ “กอบกู้” ข้อตกลง โดยพยายามโน้มน้าวฮามาสไม่ให้ตอบโต้ด้วยการยิงจรวด
วิกฤตศรัทธานี้มีความสำคัญ เพราะหากอียิปต์และกาตาร์ถอนตัว หรือหากฮามาสไม่เชื่อถือคนกลางเหล่านี้อีกต่อไป ก็จะไม่มีช่องทางใดเหลืออยู่สำหรับการเจรจาในอนาคต

“ไม่มีที่ไหนปลอดภัย” เสียงสะท้อนจากพลเรือนในกาซา
สำหรับชาวปาเลสไตน์ 2.3 ล้านคนใน ฉนวนกาซา การโจมตีครั้งนี้คือการตอกย้ำความจริงอันโหดร้ายว่า “ไม่มีที่ไหนปลอดภัย”
การหยุดยิงในช่วงหลายสัปดาห์ที่ผ่านมาเปรียบเสมือน “อากาศหายใจ” ครั้งแรก หลังจากการสู้รบอย่างหนักหน่วง ประชาชนเริ่มออกมาจากที่หลบภัย, ค้นหาซากปรักหักพังของบ้าน, และต่อคิวรับความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม
การโจมตีที่จาบาเลียได้ทำลายความรู้สึกปลอดภัยที่เพิ่งเริ่มก่อตัวนั้นจนหมดสิ้น
“พวกเขาบอกเราว่ามันปลอดภัยแล้วที่จะออกมา” ฟาติมา อัล-มาสรี แม่ลูกสามที่อาศัยใกล้จุดเกิดเหตุกล่าวทั้งน้ำตา “เราเชื่อพวกเขา แต่ลูกๆ ของฉันก็ยังต้องตาย… นี่คือการหยุดยิงแบบไหนกัน?”
โฆษกของ UNRWA (สำนักงานบรรเทาทุกข์และจัดหางานของสหประชาชาติสำหรับผู้ลี้ภัยปาเลสไตน์) ในกาซา กล่าวว่า “เหตุการณ์นี้ส่งผลกระทบอย่างร้ายแรงต่อการปฏิบัติงานด้านมนุษยธรรม มันสร้างความหวาดกลัวให้กับทั้งพลเรือนและเจ้าหน้าที่ของเรา การที่พลเรือนยังคงถูกสังหารในช่วงเวลาที่เรียกว่า ‘การพักรบ’ เป็นเรื่องที่ไม่อาจยอมรับได้”
มุมมองเสริม ผลกระทบต่อไทยและการจับตามองจากอาเซียน
สถานการณ์กาซาล่าสุด นี้ ส่งแรงกระเพื่อมมาถึงเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และประเทศไทยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
- ตัวประกันชาวไทย แม้ว่าตัวประกันชาวไทยส่วนใหญ่จะได้รับการปล่อยตัวแล้วในข้อตกลงรอบแรกๆ (ผ่านการเจรจาแยกต่างหากโดยอิหร่านและอียิปต์) แต่การล่มสลายของการหยุดยิงครั้งนี้ อาจส่งผลกระทบต่อความพยายามในการติดตามหรือช่วยเหลือผู้ที่อาจยังคงสูญหายหรือถูกควบคุมตัว
- เสถียรภาพแรงงาน ไทยมีแรงงานจำนวนมากที่ยังคงทำงานอยู่ในอิสราเอล (ในภาคเกษตรกรรม) และในประเทศตะวันออกกลางอื่นๆ การปะทุของสงครามเต็มรูปแบบอีกครั้ง จะเพิ่มความเสี่ยงต่อความปลอดภัยของแรงงานเหล่านี้โดยตรง
- ราคาพลังงาน ความตึงเครียดในตะวันออกกลางมีความเชื่อมโยงโดยตรงกับราคาน้ำมันในตลาดโลก หากการหยุดยิงล่มสลายและสงครามขยายวงกว้าง (โดยเฉพาะหากอิหร่านเข้ามาเกี่ยวข้อง) ราคาน้ำมันดิบจะพุ่งสูงขึ้น กระทบต่อเศรษฐกิจไทยที่พึ่งพาการนำเข้าพลังงาน
- ท่าทีทางการทูต ประเทศไทยและอาเซียน ซึ่งโดยทั่วไปยึดมั่นใน “หนทางสองรัฐ” (Two-State Solution) กำลังจับตามองท่าทีของสหรัฐฯ อย่างใกล้ชิด การที่สหรัฐฯ พยายาม “นิยามใหม่” ของการหยุดยิงเพื่อรักษาผลประโยชน์ของอิสราเอล อาจถูกมองว่าเป็นการบ่อนทำลายความน่าเชื่อถือของกฎหมายระหว่างประเทศและมติของสหประชาชาติ
บทสรุป บนปากเหวแห่งสงคราม – อนาคตที่ขึ้นอยู่กับ 48 ชั่วโมงข้างหน้า
อิสราเอลโจมตีกาซา ในครั้งนี้ ไม่ใช่แค่การปะทะกันทางทหาร แต่คือการปะทะกันของ “การตีความ” และ “เจตจำนงทางการเมือง”
อิสราเอลได้ส่งสัญญาณชัดเจนว่า “การหยุดยิง” ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาจะหยุดปฏิบัติการต่อต้านการก่อการร้าย
ฮามาสและ PIJ ถูกบีบให้ต้องเลือกระหว่างการ “อดทน” เพื่อรักษาผลประโยชน์ด้านมนุษยธรรมและการแลกเปลี่ยนตัวประกัน หรือ “ตอบโต้” เพื่อรักษาเกียรติภูมิและศักดิ์ศรีของกองกำลังต่อต้าน
และสหรัฐฯ กำลังเดิมพันทุกอย่างว่า “วาทศิลป์ทางการทูต” ของตน จะสามารถโน้มน้าวโลกได้ว่า สันติภาพที่เปื้อนเลือดยังคงดีกว่าสงครามเต็มรูปแบบ
ขณะนี้ (ณ วันที่ 31 ต.ค.) สถานการณ์ในกาซาตึงเครียดถึงขีดสุด มีรายงานการยิงจรวดตอบโต้ประปรายจากกาซา และเสียงโดรนของอิสราเอลยังคงดังกระหึ่ม
48 ชั่วโมงข้างหน้า คือช่วงเวลาชี้เป็นชี้ตาย หากฮามาสตัดสินใจยิงจรวดตอบโต้ครั้งใหญ่ ข้อตกลงหยุดยิงที่สหรัฐฯ พยายามประคับประคองก็จะ “ล่มสลาย” อย่างเป็นทางการ และ สถานการณ์กาซาล่าสุด ก็จะหวนกลับไปสู่การนองเลือดเต็มรูปแบบอีกครั้ง
แหล่งที่มาจาก : am2con