(วันที่ 31 ตุลาคม 2025, อังการา) – แผ่นดินไหวรุนแรงขนาด 6.1 แมกนิจูด เขย่าพื้นที่ภาคตะวันตกของประเทศตุรกี (ทูร์เคีย) ในช่วงกลางดึกของคืนวันจันทร์ที่ 28 ตุลาคม 2025 เวลาประมาณ 2248 น. ตามเวลาท้องถิ่น แรงสั่นสะเทือนที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหันนี้ไม่เพียงปลุกประชาชนหลายล้านคนในหลายจังหวัดให้ตื่นตระหนก แต่ยังปลุก “บาดแผลเก่า” จากมหาโศกนาฏกรรมแผ่นดินไหวครั้งประวัติศาสตร์เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2023 ให้หวนกลับมาอีกครั้ง
รายงานเบื้องต้นจาก AFAD (สำนักงานจัดการภัยพิบัติและเหตุฉุกเฉินแห่งตุรกี) ยืนยันว่าศูนย์กลางแผ่นดินไหวอยู่ที่เมืองซินดีร์กี (Sindirgi) ในจังหวัดบาลิเคซีร์ (Balikesir) โดยมีความลึกเพียง 5.99 กิโลเมตร ทำให้แรงสั่นสะเทือนรับรู้ได้อย่างชัดเจนในวงกว้าง รวมถึงนครอิสตันบูล, บูร์ซา, มานิซา และอิซเมียร์
นายอาลี เยร์ลิกายา (Ali Yerlikaya) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยของตุรกี แถลงยืนยันว่ามีอาคารพังถล่มลงมา 4 แห่งในเมืองซินดีร์กี ซึ่งประกอบด้วยอาคารว่าง 3 แห่ง และร้านค้า 2 ชั้นอีก 1 แห่ง อย่างไรก็ตาม จุดที่น่าสังเกตคืออาคารเหล่านี้เป็นโครงสร้างที่ได้รับความเสียหายและอ่อนแออยู่ก่อนแล้วจากเหตุแผ่นดินไหวขนาด 6.1 ในพื้นที่เดียวกันเมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา
ขณะที่ นายอิสมาอิล อุสตาโอกลู (Ismail Ustaoglu) ผู้ว่าราชการจังหวัดบาลิเคซีร์ ยืนยันตัวเลข ผู้บาดเจ็บแผ่นดินไหว ล่าสุดที่ 22 ราย โดยย้ำว่าผู้บาดเจ็บทั้งหมดมีสาเหตุมาจาก “ความตื่นตระหนก” เช่น การหกล้มหรือกระโดดจากที่ต่ำขณะพยายามหนีออกจากอาคาร ไม่ได้เกิดจากการถูกซากอาคารทับแต่อย่างใด
แม้เหตุการณ์นี้จะไม่มีผู้เสียชีวิต แต่การพังถล่มของอาคาร 4 หลัง และจำนวนผู้บาดเจ็บ 22 รายจากความตื่นกลัว กำลังกลายเป็น “บททดสอบภาคสนาม” ครั้งสำคัญที่สุดนับตั้งแต่ตุรกีปฏิรูปกฎหมายควบคุมอาคารครั้งใหญ่ในปี 2019 และยังเป็นเครื่องพิสูจน์ว่า แม้เวลาจะผ่านมาเกือบ 2 ปี แต่ความทรงจำอันเลวร้ายจากภัยพิบัติปี 2023 ยังคงฝังแน่นอยู่ในจิตใจของคนทั้งชาติ
ปฏิบัติการฉุกเฉินกลางดึก 22 บาดเจ็บจาก “ความกลัว” ไม่ใช่ “การถล่ม”
ทันทีที่สิ้นเสียงแรงสั่นสะเทือนครั้งแรก ปฏิบัติการรับมือก็เริ่มต้นขึ้นทันที หน่วยกู้ภัย และทีมแพทย์ฉุกเฉินถูกส่งไปยังพื้นที่ประสบภัยในเมืองซินดีร์กีอย่างรวดเร็ว ภาพข่าวจากสำนักข่าวท้องถิ่นเผยให้เห็นประชาชนจำนวนมากวิ่งหนีตายออกมาจากอาคารบ้านเรือนท่ามกลางความมืดและความสับสนอลหม่าน
นายโดกูคาน โคยุนคู (Dogukan Koyuncu) ผู้บริหารเขตซินดีร์กี ให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวอนาโดลู (Anadolu) ว่า “จนถึงขณะนี้ เรายังไม่พบรายงานผู้เสียชีวิต แต่เรายังคงประเมินสถานการณ์อย่างต่อเนื่อง”
สิ่งที่แตกต่างจากเหตุการณ์ครั้งก่อนๆ คือธรรมชาติของผู้บาดเจ็บทั้ง 22 ราย ผู้ว่าฯ อุสตาโอกลู กล่าวย้ำว่า “ทั้งหมดบาดเจ็บเนื่องจากความตื่นตระหนกและการหกล้มระหว่างการอพยพ” ข้อมูลนี้สะท้อนนัยสำคัญ 2 ประการ
- ความตื่นตระหนกขั้นสูง (Heightened Panic) ประชาชนมีปฏิกิริยาตอบสนองต่อแรงสั่นสะเทือนในระดับที่รุนแรงกว่าปกติ ซึ่งเป็นผลกระทบทางจิตใจโดยตรง (PTSD) ที่หลงเหลือจากเหตุการณ์ปี 2023
- ความสมบูรณ์ของโครงสร้าง (Structural Integrity) ในเบื้องต้น บ่งชี้ว่าอาคารส่วนใหญ่ที่ผู้คนอาศัยอยู่ “ไม่ได้พังถล่มในทันที” ทำให้ผู้คนมีเวลาหลบหนี ซึ่งอาจเป็นผลบวกเบื้องต้นของมาตรฐานอาคารที่เข้มงวดขึ้น
ท่ามกลางสายฝนที่เริ่มโปรยปลาศัยลงมา และความกลัวว่าจะเกิดอาฟเตอร์ช็อกตามมา (ซึ่งเกิดขึ้นจริงหลายครั้ง) ประชาชนหลายพันคนเลือกที่จะใช้เวลายามค่ำคืนอยู่กลางแจ้ง ผู้ว่าฯ อุสตาโอกลู ได้สั่งการให้เปิดมัสยิด โรงเรียน และโรงยิมในพื้นที่ เพื่อใช้เป็นศูนย์พักพิงชั่วคราวให้กับผู้ที่ไม่กล้ากลับเข้าบ้าน สะท้อนให้เห็นถึงความเปราะบางทางจิตใจของสังคมที่เพิ่งผ่านพ้นภัยพิบัติครั้งใหญ่มาหมาดๆ
‘บาดแผลเก่า’ จากปี 2023 ทำไมแผ่นดินไหว 6.1 ถึงสร้างความหวาดกลัวขั้นสุด
เพื่อที่จะเข้าใจว่าเหตุใดแผ่นดินไหวขนาด 6.1 ซึ่งจัดอยู่ในระดับ “รุนแรง” (Strong) แต่ไม่ใช่ “หายนะ” (Catastrophic) ถึงสร้างความตื่นตระหนกได้ถึงเพียงนี้ เราจำเป็นต้องย้อนกลับไปมอง “แผลเป็น” ที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์สมัยใหม่ของตุรกี
ในวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2023 แผ่นดินไหวขนาด 7.8 และ 7.5 แมกนิจูด ได้ทำลายล้างพื้นที่ 11 จังหวัดทางภาคใต้และตะวันออกเฉียงใต้ของตุรกี รวมถึงภาคเหนือของซีเรีย
- ตัวเลขผู้เสียชีวิต มากกว่า 59,000 คน (ในตุรกีมากกว่า 53,000 คน และในซีเรียอีกกว่า 6,000 คน)
- ความเสียหายทางเศรษฐกิจ ธนาคารโลก (World Bank) ประเมินความเสียหายทางกายภาพโดยตรงในตุรกีไว้ที่ 34.2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือเทียบเท่า 4% ของ GDP ประเทศในปี 2021
- ต้นทุนการฟื้นฟู ธนาคารโลกประเมินว่าต้นทุนการฟื้นฟูและสร้างใหม่ทั้งหมด อาจสูงเป็น “สองเท่า” ของความเสียหายโดยตรง
- ผู้ไร้ที่อยู่อาศัย ประชาชน 1.25 ล้านคนต้องกลายเป็นคนไร้ที่อยู่อาศัยชั่วคราว
มหาโศกนาฏกรรมครั้งนั้นได้สั่นคลอนความเชื่อมั่นของชาติ และเปิดโปงความล้มเหลวในการบังคับใช้กฎหมายควบคุมอาคารที่มีมานานหลายทศวรรษ ภาพของ “อาคารแพนเค้ก” (Pancake Collapse) ที่ตึกทั้งหลังยุบตัวลงมาในแนวดิ่ง กลายเป็นภาพจำที่หลอกหลอนผู้คน
ดังนั้น เมื่อเกิด แผ่นดินไหว 6.1 ในครั้งนี้ แม้จะอยู่ห่างไกลจากศูนย์กลางเดิมหลายร้อยกิโลเมตร แต่สำหรับชาวตุรกี มันคือการปลุกความทรงจำเลวร้ายนั้นขึ้นมาอีกครั้ง ความกลัวไม่ได้อยู่ที่แรงสั่นสะเทือน 6.1 แต่อยู่ที่คำถามว่า “มันจะเป็นเหมือนครั้งที่แล้วหรือไม่?” นี่คือภาวะบอบช้ำทางจิตใจร่วมกันของคนทั้งชาติ (National Collective Trauma) ที่ AFAD และรัฐบาลต้องรับมือ ควบคู่ไปกับความเสียหายทางกายภาพ
![]()
บททดสอบภาคสนามของ ‘รหัสอาคาร 2019’ ตึกเก่าถล่ม ตึกใหม่ยังยืนหยัด?
ท่ามกลางความโกลาหล ข้อมูลสำคัญที่สุดที่รัฐมนตรีมหาดไทยเยร์ลิกายาเน้นย้ำคือ “อาคารถล่มตุรกี 4 แห่งในครั้งนี้ เป็นอาคารที่ได้รับความเสียหายอยู่ก่อนแล้ว” จากแผ่นดินไหวในเดือนสิงหาคม
ข้อมูลนี้คือหัวใจสำคัญของบทวิเคราะห์เชิงลึกในครั้งนี้ เพราะมันชี้ให้เห็นถึง “บททดสอบ” ที่แท้จริงของมาตรการที่ตุรกีพยายามอย่างหนักในการปฏิรูปหลังภัยพิบัติ
ตุรกี ได้ปรับปรุง “ข้อกำหนดสำหรับอาคารที่จะสร้างในเขตแผ่นดินไหว” (Specifications for Buildings to be Built in Seismic Zones) หรือที่เรียกสั้นๆ ว่า “รหัสอาคารแผ่นดินไหว” มาแล้วถึง 7 ครั้งนับตั้งแต่ปี 1947 แต่ฉบับที่สำคัญที่สุดคือฉบับแก้ไขปี 2018 ซึ่งมีผลบังคับใช้เต็มรูปแบบในวันที่ 1 มกราคม 2019
รหัสปี 2019 นี้ ถือเป็นมาตรฐานที่ทันสมัยและเข้มงวดที่สุดที่ตุรกีเคยมีมา โดยได้รับความร่วมมือจากผู้เชี่ยวชาญกว่า 300 คน และเปลี่ยนแนวคิดจากการออกแบบ “ต้านทานแผ่นดินไหว” (Earthquake-Resistant) ไปสู่การออกแบบ “ตามสมรรถนะ” (Performance-Based Design) โดยมีเป้าหมายที่ชัดเจน
- แผ่นดินไหวเบา (Low-intensity) อาคารต้องไม่เสียหายเลย
- แผ่นดินไหวปานกลาง (Medium-intensity) อาคารอาจเสียหาย (เช่น รอยร้าว) แต่ต้องซ่อมแซมได้ และไม่กระทบโครงสร้างหลัก
- แผ่นดินไหวรุนแรง (High-intensity) อาคารอาจเสียหายหนัก แต่ “ต้องไม่พังถล่ม” เพื่อรักษาชีวิตผู้อยู่อาศัย
เหตุการณ์ 6.1 แมกนิจูดในครั้งนี้ จึงเปรียบเสมือน “การทดสอบระดับปานกลาง” (Medium-intensity test) ในโลกแห่งความเป็นจริง ผลลัพธ์เบื้องต้นที่อาคารส่วนใหญ่ยังคงยืนหยัดอยู่ได้ และผู้บาดเจ็บเกิดจากความตื่นตระหนกแทนที่จะเป็นการพังทับ ถือเป็นสัญญาณบวกที่น่าจับตามองสำหรับอาคารที่สร้างหรือได้รับการปรับปรุงตามมาตรฐานใหม่
อย่างไรก็ตาม มันก็ตอกย้ำความจริงอันโหดร้ายอีกข้อหนึ่งเช่นกัน…
ภารกิจเร่งด่วน ‘การยกเครื่อง’ อาคารเก่าทั่วประเทศ
การที่อาคาร 4 หลังพังถล่ม แม้จะเป็นอาคารที่ “เสียหายอยู่ก่อน” ก็ตาม สะท้อนให้เห็นถึงปัญหาที่ใหญ่กว่ารหัสอาคารใหม่ นั่นคือ “สต็อกอาคารเก่า” (Existing Building Stock) ที่มีอยู่เดิมทั่วประเทศ
ตุรกีมีอาคารหลายล้านหลังที่สร้างขึ้นก่อนปี 2000 (ซึ่งเป็นช่วงที่เริ่มมีรหัสอาคารที่เข้มงวดขึ้นหลังแผ่นดินไหวอิซมิตปี 1999) อาคารเหล่านี้จำนวนมากไม่ได้มาตรฐานปัจจุบัน และกลายเป็น “ระเบิดเวลา” ที่รอวันเกิดแผ่นดินไหวครั้งต่อไป
ความท้าทายของรัฐบาลประธานาธิบดีแอร์โดอันในขณะนี้ ไม่ใช่แค่การสร้างเมืองใหม่ใน 11 จังหวัดที่เสียหายจากปี 2023 แต่คือการ “ยกเครื่อง” หรือ “เสริมความแข็งแกร่ง” (Retrofitting) ให้กับอาคารเก่าทั่วประเทศ โดยเฉพาะในจุดเสี่ยงสูงสุดอย่าง “นครอิสตันบูล” ซึ่งมีประชากรอาศัยอยู่กว่า 16 ล้านคน และตั้งอยู่ห่างจาก “รอยเลื่อนอนาโตเลียเหนือ” เพียง 20 กิโลเมตร
ภารกิจนี้ต้องใช้งบประมาณมหาศาล (ดังที่เห็นจากตัวเลข 34.2 พันล้านดอลลาร์ สำหรับความเสียหายโดยตรงเพียงครั้งเดียว) และต้องอาศัยเจตจำนงทางการเมืองที่แข็งแกร่งอย่างยิ่งยวด เพื่อบังคับใช้กฎหมายกับอาคารเก่าที่ผิดกฎหมายหรือไม่ได้มาตรฐาน ความเสียหายแผ่นดินไหว ในครั้งนี้ แม้จะเล็กน้อย แต่ก็เป็นเครื่องเตือนใจว่าการแข่งขันกับเวลายังไม่จบสิ้น

ตุรกีบน ‘วงแหวนไฟ’ แห่งอนาโตเลีย บริบททางธรณีวิทยาที่ไม่อาจเลี่ยง
ทำไมตุรกีถึงเผชิญแผ่นดินไหวบ่อยครั้ง? สาเหตุแผ่นดินไหวตุรกี นั้นหยั่งรากลึกในทางธรณีวิทยา ประเทศนี้ตั้งอยู่บน “แผ่นเปลือกโลกอนาโตเลีย” (Anatolian Plate) ซึ่งถูก “บีบ” อัดจากสองทิศทาง
- แผ่นอาระเบีย (Arabian Plate) กำลังเคลื่อนที่ขึ้นเหนือ ดันแผ่นอนาโตเลียไปทางตะวันตก
- แผ่นแอฟริกา (African Plate) กำลังมุดตัวลงใต้แผ่นอนาโตเลียและยูเรเชีย
การบีบอัดนี้ทำให้เกิด “รอยเลื่อน” (Fault) ขนาดมหึมาสองเส้นที่พาดผ่านประเทศ
- รอยเลื่อนอนาโตเลียเหนือ (North Anatolian Fault – NAF) เป็นรอยเลื่อนประเภท “Strike-slip” (เคลื่อนที่ในแนวราบ) ที่มีความยาว 1,500 กิโลเมตร พาดผ่านภาคเหนือของประเทศ และอยู่ใกล้นครอิสตันบูลมาก รอยเลื่อนนี้ถูกเปรียบเปรยว่าอันตรายเทียบเท่ากับรอยเลื่อนซานแอนเดรียสในแคลิฟอร์เนีย
- รอยเลื่อนอนาโตเลียตะวันออก (East Anatolian Fault – EAF) เป็นจุดที่ทำให้เกิดมหาภัยพิบัติในปี 2023
เหตุการณ์แผ่นดินไหว 6.1 ที่จังหวัดบาลิเคซีร์ในครั้งนี้ แม้จะไม่ได้อยู่บนสองรอยเลื่อนหลักโดยตรง แต่ก็อยู่ในเขตอิทธิพลของแผ่นเปลือกโลกเอเชียน (Aegean Sea Plate) ที่มีการเคลื่อนไหวสูงทางตะวันตกของประเทศ นักแผ่นดินไหววิทยาศึกษาพบว่า แผ่นดินไหวในตุรกีมักมีพฤติกรรม “ส่งต่อ” ความเครียด (Stress Triggering) กล่าวคือ เมื่อเกิดแผ่นดินไหวใหญ่ในจุดหนึ่ง มันจะเพิ่มแรงเค้นให้กับรอยเลื่อนส่วนถัดไป
นี่คือบริบททางวิทยาศาสตร์ที่ตุรกีไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ และเป็นเหตุผลว่าทำไมการเตรียมพร้อมรับมือ การบังคับใช้รหัสอาคาร และการจัดการความเสี่ยง จึงไม่ใช่ “ทางเลือก” แต่เป็น “ทางรอด” เดียวของชาติ
จาก AFAD สู่ TAMP กลไกรับมือภัยพิบัติแห่งชาติถูกปลุกใช้งาน
ปฏิกิริยาตอบสนองที่รวดเร็วในคืนที่ผ่านมา เป็นผลมาจากการปฏิรูประบบจัดการภัยพิบัติครั้งใหญ่ของตุรกี
หลังความล้มเหลวในการรับมือแผ่นดินไหวอิซมิตปี 1999 รัฐบาลตุรกีได้ก่อตั้ง AFAD (สำนักงานจัดการภัยพิบัติและเหตุฉุกเฉิน) ขึ้นในปี 2009 เพื่อรวมศูนย์การสั่งการและการประสานงานด้านภัยพิบัติทั้งหมดไว้ในที่เดียว
AFAD ได้เปลี่ยนกระบวนทัศน์ของประเทศจาก “การจัดการวิกฤต” (Crisis Management – รอให้เกิดเหตุแล้วค่อยแก้) ไปสู่ “การจัดการความเสี่ยง” (Risk Management – การป้องกันและลดผลกระทบก่อนเกิดเหตุ)
ภายใต้โมเดลนี้ แผนงานสำคัญได้ถูกร่างขึ้น
- TAMP (Türkiye’s Disaster Response Plan) แผนรับมือภัยพิบัติแห่งชาติตุรกี ซึ่งเป็นแผนแม่บทที่ยืดหยุ่นและปรับขนาดได้ (Modular) สำหรับภัยพิบัติทุกประเภท TAMP จะกำหนดบทบาทและความรับผิดชอบของทุกหน่วยงานอย่างชัดเจน (ใครทำอะไร ที่ไหน เมื่อไหร่) ทันทีที่เกิดเหตุ
- UDSEP-2023 (National Earthquake Strategy and Action Plan) แผนยุทธศาสตร์แผ่นดินไหวแห่งชาติ ซึ่งมุ่งเน้นไปที่การลดความเสี่ยงจากแผ่นดินไหวโดยเฉพาะ รวมถึงการวิจัย, การสร้างความตระหนักรู้ของประชาชน และการเสริมความแข็งแกร่งของอาคาร
การที่รัฐมนตรีมหาดไทยและผู้ว่าราชการจังหวัดสามารถออกมาให้ข้อมูลที่ชัดเจน (เช่น ตัวเลขผู้บาดเจ็บ, สาเหตุการบาดเจ็บ, สถานะของอาคารที่ถล่ม) ภายในเวลาไม่กี่ชั่วโมงหลังเกิดเหตุ สะท้อนให้เห็นว่ากลไก TAMP และ AFAD กำลังทำงานตามที่ได้ออกแบบไว้ ซึ่งเป็นพัฒนาการที่สำคัญอย่างยิ่งในการสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชน
เสียงสะท้อนจากนานาชาติ และผลกระทบต่อเอเชีย
แผ่นดินไหวตุรกีล่าสุดวันนี้ ได้รับความสนใจจากนานาชาติทันที โดยเฉพาะประเทศเพื่อนบ้านในยุโรปตะวันออกและทะเลเมดิเตอร์เรเนียน สำนักข่าว National World ของอังกฤษรายงานว่า แรงสั่นสะเทือนจากเหตุการณ์ 6.1 นี้ สามารถรับรู้ได้ไกลถึงบัลแกเรีย, ไซปรัส, กรีซ และมาซิโดเนียเหนือ
ประชาคมโลกยังคงจับตาดูตุรกีอย่างใกล้ชิด เพราะบทเรียนจากปี 2023 แสดงให้เห็นว่าภัยพิบัติในตุรกีส่งผลกระทบเป็นวงกว้าง (ในครั้งนั้น มี 105 ประเทศ และ 16 องค์กรระหว่างประเทศ ที่เสนอ ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม)
สำหรับภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และประเทศไทย แม้จะไม่มีผลกระทบโดยตรง แต่ก็มีนัยสำคัญในมิติอื่นๆ
- ด้านมนุษยธรรมและการทูต ประเทศไทยเคยส่งทีมค้นหาและกู้ภัยในเขตเมือง (USAR) หรือ “ทีม Thailand for Turkey” ไปช่วยเหลือในเหตุการณ์ปี 2023 เหตุการณ์ล่าสุดนี้ตอกย้ำถึงความจำเป็นในการรักษาความพร้อมของทีมช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมระหว่างประเทศ และเป็นโอกาสในการกระชับความสัมพันธ์ทางการทูตผ่านการแสดงความห่วงใย
- ด้านการท่องเที่ยว ตุรกี โดยเฉพาะอิสตันบูล เป็นจุดหมายปลายทางยอดนิยมของนักท่องเที่ยวชาวไทยและเอเชีย การเกิดแผ่นดินไหวซ้ำ (แม้จะในจังหวัดอื่น) อาจส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของนักท่องเที่ยวในระยะสั้น
- ความตระหนักรู้เรื่องภัยพิบัติ สำหรับคำถามยอดนิยมเช่น “แผ่นดินไหวตุรกีมีคนไทยบาดเจ็บไหม” ในขณะนี้ยังไม่มีรายงานชาวต่างชาติหรือคนไทยได้รับบาดเจ็บจากเหตุการณ์นี้ (เนื่องจากผู้บาดเจ็บทั้ง 22 รายเป็นผลจากความตื่นตระหนก) อย่างไรก็ตาม เหตุการณ์นี้กระตุ้นเตือนให้คนไทยและนักท่องเที่ยวในต่างแดนต้องศึกษาแนวทางปฏิบัติตนเมื่อเกิดแผ่นดินไหว
- ความเปราะบางของห่วงโซ่อุปทาน ตุรกีเป็นสะพานเชื่อมระหว่างเอเชียและยุโรป ภัยพิบัติขนาดใหญ่ (เช่นในปี 2023) สามารถทำลายล้างโครงสร้างพื้นฐานและท่าเรือสำคัญ ส่งผลกระทบต่อห่วงโซ่อุปทานโลก แผ่นดินไหวครั้งนี้จึงเป็นเครื่องเตือนสติถึงความเปราะบางดังกล่าว
บทสรุปและก้าวต่อไป การแข่งขันกับเวลาบนรอยเลื่อนที่ยังมีชีวิต
แผ่นดินไหวตุรกี ขนาด 6.1 ที่บาลิเคซีร์ในครั้งนี้ ไม่ใช่การหวนกลับมาของโศกนาฏกรรมปี 2023 แต่เป็น “เสียงเตือน” ที่ดังกึกก้อง
มันคือบททดสอบภาคสนามที่แสดงให้เห็นว่า “รหัสอาคารใหม่ปี 2019” อาจกำลังทำงานได้ผลในระดับหนึ่ง เห็นได้จากการที่อาคารส่วนใหญ่ยังคงยืนหยัด และไม่มีผู้เสียชีวิตหรือบาดเจ็บจากการพังทลายโดยตรง
แต่มันก็ได้เผยให้เห็น “จุดอ่อน” ที่อันตรายที่สุดสองประการที่ตุรกียังคงเผชิญอยู่ นั่นคือ
- ความเปราะบางทางจิตใจ (Psychological Vulnerability) บาดแผลจากปี 2023 ยังคงสดใหม่และลึกซึ้ง ความตื่นตระหนกเพียงอย่างเดียวสามารถทำให้มีผู้บาดเจ็บได้ถึง 22 ราย
- ความเปราะบางทางกายภาพ (Physical Vulnerability) สต็อกอาคารเก่าที่เสียหายหรือไม่ได้มาตรฐานยังคงมีอยู่ทั่วประเทศ และเป็นภัยคุกคามอันดับหนึ่ง
ภารกิจของตุรกีนับจากนี้จึงชัดเจนยิ่งขึ้น มันคือการแข่งขันกับเวลาในการ “ยกเครื่อง” เมืองเก่าให้ทนทานต่อแผ่นดินไหว ควบคู่ไปกับการ “ฟื้นฟู” จิตใจของประชาชน ก่อนที่รอยเลื่อนที่ยังมีชีวิตอยู่ใต้ผืนดินจะตัดสินใจเคลื่อนตัวครั้งใหญ่อีกครั้ง
แหล่งที่มาจาก : am2con