พายุไต้ฝุ่นหะลอง อะแลสกา ปฏิบัติการอพยพครั้งประวัติศาสตร์เสร็จสิ้น แต่การต่อสู้เพิ่งเริ่มต้น ปลายพายุไต้ฝุ่น ‘หะลอง’ ไม่เพียงคร่าชีวิตผู้คนและทำลายบ้านเรือน แต่ยังฉีกกระชากวิถีชีวิตดั้งเดิมของชาวพื้นเมืองอะแลสกา ทิ้งไว้เพียงคำถามว่า พวกเขาจะมี “บ้าน” ให้กลับไปหรือไม่ ท่ามกลางอุณหภูมิที่ดิ่งลงและคำเตือนว่าการฟื้นฟูอาจใช้เวลา “หลายปี”
พายุไต้ฝุ่นหะลอง อะแลสกา แองเคอเรจ, อะแลสกา | 21 ตุลาคม 2025
ปฏิบัติการอพยพทางอากาศครั้งใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์สมัยใหม่ของรัฐอะแลสกาได้สิ้นสุดลงแล้วเมื่อวันอังคาร แต่สำหรับผู้รอดชีวิตกว่า 1,600 คน นี่คือจุดเริ่มต้นของวิกฤตด้านมนุษยธรรมที่แสนสาหัสและเยือกเย็น เมื่อพวกเขาต้องหนีตายจากอิทธิพลรุนแรงของ ปลายพายุไต้ฝุ่นหะลอง (Remnants of Typhoon Halong) ที่พัดถล่มอย่างไร้ความปรานีเมื่อสัปดาห์ก่อน
พายุลูกนี้ ซึ่งเป็น “ซูเปอร์สตอร์ม” ที่ดูดพลังงานมหาศาลจากผืนน้ำแปซิฟิกที่อุ่นขึ้นเป็นประวัติการณ์ ได้ปลดปล่อยคลื่นพายุซัดฝั่ง (Storm Surge) สูงสุดเป็นประวัติการณ์กว่า 6.6 ฟุต และลมกระโชกแรงระดับเฮอริเคนถึง 107 ไมล์ต่อชั่วโมง (172 กม./ชม.) เข้าใส่แนวชายฝั่งตะวันตกที่เปราะบางของอะแลสกา โดยเฉพาะในภูมิภาคเดลต้า ยูคอน-คุสโควิม (Yukon-Kuskokwim Delta)
ผลลัพธ์คือความพินาศย่อยยับ รายงานอย่างเป็นทางการยืนยันว่ามีผู้เสียชีวิตแล้ว 1 ราย คือ นางเอลลา แม คาชาทอค วัย 67 ปี และยังคงมีผู้สูญหายอีก 2 ราย คือ นายเชสเตอร์ คาชาทอค วัย 41 ปี และนายเวอร์นอน พาวิล วัย 71 ปี ซึ่งเจ้าหน้าที่ได้ยุติการค้นหาและเปลี่ยนเป็นปฏิบัติการกู้ร่างแล้ว
แต่ตัวเลขผู้เสียชีวิตและสูญหายเพียงอย่างเดียว ไม่สามารถสะท้อนความเสียหายทั้งหมดได้ หมู่บ้านชาวอะแลสกาพื้นเมือง (Alaska Native) สองแห่ง ได้แก่ คิปนุก (Kipnuk) และ ควิกกิลลิงกอก (Kwigillingok) แทบจะ “ถูกลบหายไปจากแผนที่”
นี่ไม่ใช่แค่ข่าวพายุ นี่คือเรื่องราวของการพลัดถิ่นครั้งใหญ่ การสูญเสียอัตลักษณ์ทางวัฒนธรรม และการต่อสู้เพื่อความอยู่รอดที่กำลังจะเริ่มต้นขึ้นพร้อมกับฤดูหนาวอาร์กติกที่กำลังคืบคลานเข้ามา
พายุไต้ฝุ่นหะลอง อะแลสกา ความพินาศที่คิปนุก “ทุกอย่างหายไปแล้ว”
ภาพความเสียหายที่ปรากฏออกมาจากหมู่บ้านคิปนุกและควิกกิลลิงกอกนั้นราวกับฉากในภาพยนตร์วันสิ้นโลก บ้านเรือนถูกคลื่นยักษ์ซัดจนหลุดจากฐานราก ลอยไปในทะเลขณะที่ผู้คนยังติดอยู่ข้างใน หรือถูกกระแทกจนพังทลายเป็นเศษไม้
“เราเห็นบ้านของเพื่อนบ้านลอยผ่านหน้าต่างไป” อเล็กซี สโตน ผู้อพยพจากคิปนุก กล่าวกับผู้สื่อข่าว AP ขณะอยู่ที่ศูนย์พักพิงชั่วคราวในเมืองแองเคอเรจ “บางหลังก็กะพริบไฟฉายโทรศัพท์เหมือนขอความช่วยเหลือ แต่เราทำอะไรไม่ได้เลย”
เจ้าหน้าที่จากกองกำลังพิทักษ์ชาติอะแลสกา (Alaska National Guard) และหน่วยยามฝั่งสหรัฐฯ (U.S. Coast Guard) ที่เข้าไปช่วยเหลือในพื้นที่ อธิบายถึงสิ่งที่พบเห็นว่าเป็น “ความพินาศอย่างสมบูรณ์”
ข้อมูลจากกองจัดการเหตุฉุกเฉินและความมั่นคงแห่งมาตุภูมิของอะแลสกา (Alaska Division of Homeland Security and Emergency Management) ระบุว่า
- ที่หมู่บ้านคิปนุก ประเมินว่าอาคาร 121 หลัง หรือ 90% ของหมู่บ้าน ถูกทำลาย
- ที่หมู่บ้านควิกกิลลิงกอก บ้านเรือนประมาณ 35% ถูกทำลายหรือเสียหายจนไม่สามารถอาศัยอยู่ได้ โดยมีบ้านหลายสิบหลังลอยหายไปในทะเล
- โครงสร้างพื้นฐานวิกฤต ระบบไฟฟ้า ประปา และสุขาภิบาลในชุมชนเหล่านี้ล่มสลายโดยสิ้นเชิง ถังเก็บน้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับทำความร้อนในฤดูหนาวรั่วไหล ก่อให้เกิดการปนเปื้อนในแหล่งน้ำจืด
- การสูญเสียอาหาร นี่คือความเสียหายที่เจ็บปวดยิ่งกว่าบ้านเรือนที่พังทลาย ชาวพื้นเมืองยูพิก (Yup’ik) ในภูมิภาคนี้พึ่งพาการล่าสัตว์และตกปลาเพื่อยังชีพ (Subsistence Lifestyle) ตู้แช่แข็งที่เต็มไปด้วยเนื้อกวางมูสและปลาแซลมอนที่สำรองไว้ตลอดฤดูหนาว ถูกน้ำท่วมและกระแสไฟตัดขาด ทำให้อาหารทั้งหมดเน่าเสีย “ทุกอย่างหายไปแล้ว” จูเลีย สโตน เจ้าหน้าที่ตำรวจหมู่บ้านคิปนุกกล่าว “เราไม่เหลืออะไรเลยสำหรับฤดูหนาว”
การ อพยพ อะแลสกา ครั้งนี้จึงไม่ใช่แค่การย้ายคน แต่เป็นการ “ถอนรากถอนโคน” ประชาชนทั้งหมดออกจากแผ่นดินเกิด โดยไม่รู้ว่าจะได้กลับมาเมื่อใด
ปฏิบัติการอพยพครั้งประวัติศาสตร์ สู่ความไม่แน่นอนในเมืองใหญ่
การตอบสนองต่อภัยพิบัติครั้งนี้ถือเป็นความท้าทายทางโลจิสติกส์อย่างสุดขีด ชุมชนเหล่านี้อยู่นอกระบบถนนของรัฐโดยสิ้นเชิง การเข้าถึงทำได้ทางอากาศหรือทางน้ำเท่านั้น
กองกำลังพิทักษ์ชาติอะแลสกา ได้ระดมเครื่องบินลำเลียง C-130 และเฮลิคอปเตอร์ Chinook เพื่อปฏิบัติการอพยพทางอากาศครั้งใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่งของรัฐ โดยลำเลียงผู้ประสบภัยกว่า 1,600 คน ไปยังศูนย์พักพิงในเมืองเบเธล (Bethel) ซึ่งเป็นศูนย์กลางภูมิภาค ก่อนที่จะส่งต่อไปยังฐานทัพร่วมเอลเมนดอร์ฟ-ริชาร์ดสัน (Joint Base Elmendorf-Richardson) และศูนย์พักพิงขนาดใหญ่ที่จัดตั้งขึ้นในอารีนาสนามกีฬา “อลาสกา แอร์ไลน์ส เซ็นเตอร์” (Alaska Airlines Center) ในเมืองแองเคอเรจ ซึ่งอยู่ห่างออกไปกว่า 800 กิโลเมตร
ณ วันที่ 21 ตุลาคม การอพยพขนาดใหญ่เสร็จสิ้นแล้ว แต่ความท้าทายใหม่เพิ่งเริ่มต้น
ผู้ว่าการรัฐอะแลสกา ไมค์ ดันลีวี (Gov. Mike Dunleavy) ได้ร้องขอให้มีการประกาศภาวะภัยพิบัติครั้งใหญ่จากรัฐบาลกลาง โดยระบุในคำร้องว่า ความเสียหายรุนแรงเกินกว่าที่รัฐจะรับมือไหว และคาดว่าผู้อพยพจำนวนมาก “จะไม่สามารถกลับไปยังชุมชนของตนได้เป็นเวลาอย่างน้อย 18 เดือน”
ขณะนี้ เด็กนักเรียนผู้พลัดถิ่น 65 คน ได้เริ่มเข้าเรียนในโรงเรียนเขตแองเคอเรจแล้ว โดยทางเขตให้คำมั่นว่าจะให้การสนับสนุนด้านสุขภาพจิตและการช่วยเหลือด้านภาษา เพื่อเยียวยา “บาดแผลทางอารมณ์และวัฒนธรรม”
แต่สำหรับผู้ใหญ่และผู้เฒ่าผู้แก่ การปรับตัวคือฝันร้าย พวกเขาถูกย้ายจากชุมชนชนบทที่พูดภาษา Yup’ik มาอยู่ในเมืองใหญ่ที่ไม่คุ้นเคย สูญเสียวิถีชีวิตที่พึ่งพาตนเอง และต้องอาศัยอยู่ในศูนย์พักพิงรวมกับคนแปลกหน้า
สาเหตุพายุไต้ฝุ่นเข้าอะแลสกา รอยนิ้วมือที่ชัดเจนของ “การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ”
คำถามสำคัญที่ดังก้องไปทั่วโลกคือ ทำไมพายุไต้ฝุ่นที่ปกติจะอยู่ในเขตร้อน จึงสามารถเดินทางข้ามมหาสมุทรมาสร้างความหายนะในอาร์กติกได้?
คำตอบจากนักวิทยาศาสตร์และ National Weather Service (NWS) ชัดเจนอย่างน่าใจหาย การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Change)
- เชื้อเพลิงจากทะเลเดือด พายุไต้ฝุ่นหะลอง แม้จะอ่อนกำลังลงในขณะที่เคลื่อนตัวขึ้นเหนือ แต่ยังคงรักษาความรุนแรงไว้ได้นานผิดปกติ เพราะมันเคลื่อนที่ผ่าน “คลื่นความร้อนทางทะเล (Marine Heat Wave)” ในมหาสมุทรแปซิฟิกเหนือ อุณหภูมิน้ำทะเลที่อุ่นกว่าค่าเฉลี่ยหลายองศาเซลเซียส ทำหน้าที่เป็น “เชื้อเพลิงชั้นดี” เติมพลังให้พายุ
- ทะเลน้ำแข็งที่หายไป ในอดีต ทะเลเบริง (Bering Sea) ในช่วงเวลานี้ของปี ควรจะเริ่มมีน้ำแข็งทะเล (Sea Ice) ก่อตัว ซึ่งทำหน้าที่เป็น “เกราะกำบัง” ธรรมชาติ ลดพลังงานของคลื่นและป้องกันชายฝั่ง แต่ในปี 2025 (และหลายปีที่ผ่านมา) น้ำแข็งทะเลแทบไม่เหลืออยู่ ทำให้ชายฝั่งที่เปราะบางเปิดโล่งรับคลื่นพายุซัดฝั่งเต็มกำลัง
- ความผิดปกติของกระแสลมกรด สภาวะโลกร้อนกำลังทำให้กระแสลมกรด (Jet Stream) อ่อนกำลังและบิดเบี้ยวมากขึ้น ทำให้นำพาระบบพายุที่รุนแรงจากเขตร้อนขึ้นไปยังละติจูดสูงอย่างอะแลสกาได้บ่อยครั้งขึ้น
เหตุการณ์ครั้งนี้ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่เป็น “สัญญาณเตือน” ที่ชัดเจน ริก โธแมน ผู้เชี่ยวชาญด้านสภาพอากาศอะแลสกาจากศูนย์ประเมินและนโยบายสภาพอากาศอะแลสกา (Alaska Center for Climate Assessment and Policy) ยืนยันว่า พายุลักษณะนี้จะรุนแรงและเกิดบ่อยขึ้น นี่คือ “อนาคตใหม่” ที่อะแลสกาต้องเผชิญ
นี่ไม่ใช่ครั้งแรก ในเดือนกันยายน 2022 ปลายพายุไต้ฝุ่นเมอร์บก (Merbok) ก็เคยสร้างความเสียหายเป็นวงกว้างในลักษณะเดียวกัน แต่พายุหะลองครั้งนี้ ถูกบันทึกว่ามีระดับน้ำท่วมสูงกว่าและสร้างความเสียหายเฉพาะจุดที่รุนแรงกว่า
อนาคตที่ถูกแช่แข็ง การฟื้นฟู วัฒนธรรม และการเมืองเรื่องงบประมาณ
พายุไต้ฝุ่นหะลอง อะแลสกา ขณะที่ผู้ประสบภัยกำลังเผชิญกับความบอบช้ำทางจิตใจ คำถามที่ใหญ่กว่าคือ “จะเกิดอะไรขึ้นต่อไป?”
วุฒิสมาชิก ลิซา เมอร์โควสกี (Sen. Lisa Murkowski) แห่งรัฐอะแลสกา ซึ่งเดินทางไปสำรวจความเสียหายที่คิปนุกด้วยตนเอง กล่าวด้วยน้ำเสียงสั่นเครือที่การประชุมสหพันธ์ชาวพื้นเมืองอะแลสกา (Alaska Federation of Natives – AFN) เมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมาว่า “การฟื้นฟูจะใช้เวลาหลายปี”
ปัญหาใหญ่คือ “เวลา” ฤดูหนาวอาร์กติกกำลังจะมาถึงในอีกไม่กี่สัปดาห์ ซึ่งหมายถึงอุณหภูมิที่จะลดต่ำกว่าจุดเยือกแข็งอย่างรุนแรง และความมืดมิดเกือบตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง
- การก่อสร้างเป็นไปไม่ได้ การขนส่งวัสดุก่อสร้างและการซ่อมแซมโครงสร้างพื้นฐานเป็นไปไม่ได้ในฤดูหนาว แม่น้ำและทะเลชายฝั่งจะจับตัวเป็นน้ำแข็ง
- วิกฤตที่อยู่อาศัยระยะยาว ผู้ประสบภัยกว่า 1,600 คน ไม่สามารถอยู่ในศูนย์พักพิงชั่วคราวได้นาน 18 เดือน รัฐกำลังเผชิญกับวิกฤตการจัดหาที่อยู่อาศัยระยะยาวครั้งใหญ่
- การเมืองเรื่องงบประมาณ โศกนาฏกรรมครั้งนี้ยังจุดชนวนการถกเถียงทางการเมืองเรื่องงบประมาณด้านการรับมือสภาพภูมิอากาศ สื่อหลายสำนัก (อ้างอิงจาก AP และ The Guardian) รายงานว่า ชุมชนเหล่านี้เคยได้รับทุนสนับสนุนจากรัฐบาลกลางสำหรับโครงการสร้างแนวป้องกันชายฝั่งและโครงสร้างพื้นฐานที่ทนทาน (Resilience Grants) แต่ทุนดังกล่าวถูกยกเลิกไปในยุคของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ (ตามที่ระบุในผลการค้นหา)
ที่ประชุม AFN ได้ผ่านมติฉุกเฉิน เรียกร้องให้รัฐบาลกลางและรัฐ “ลงทุนอย่างยั่งยืนในโครงสร้างพื้นฐานอาร์กติกถาวร” และ “เสริมสร้างความสัมพันธ์กับชนเผ่า” เพื่อให้แน่ใจว่าชุมชนห่างไกลเหล่านี้จะไม่ถูกทอดทิ้ง
บทสรุป อะแลสกา เส้นหน้าของวิกฤตโลก พายุไต้ฝุ่นหะลอง อะแลสกา
ผลกระทบพายุไต้ฝุ่นหะลองในอะแลสกา เป็นมากกว่าภัยพิบัติทางธรรมชาติ มันคือภาพสะท้อนที่โหดร้ายของ “ความอยุติธรรมทางสภาพอากาศ” (Climate Injustice) ที่ซึ่งชุมชนพื้นเมืองที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกน้อยที่สุด กลับต้องเป็นผู้รับผลกระทบที่เลวร้ายที่สุดเป็นกลุ่มแรก
ในขณะที่โลกกำลังประชุมถกเถียงเรื่องการลดคาร์บอน ชุมชนในคิปนุกและควิกกิลลิงกอกกำลังสูญเสียทุกสิ่ง ทั้งบ้านเกิด ภาษา และวิถีชีวิตที่สืบทอดมานับพันปี
การ อพยพ อะแลสกา ครั้งนี้ ไม่ใช่แค่การย้ายคน 1,600 คน แต่คือการย้าย “วัฒนธรรม” ทั้งระบบออกจากพื้นที่เสี่ยงภัย และด้วยการคาดการณ์ว่าพายุลักษณะนี้จะเกิดบ่อยขึ้น คำถามที่ชาวอะแลสกาและโลกต้องตอบก็คือ เราจะสร้าง “บ้าน” ที่ต้านทานอนาคตใหม่นี้ได้อย่างไร หรือเราจะต้องยอมรับว่า บางพื้นที่บนโลกใบนี้…ไม่สามารถอยู่อาศัยได้อีกต่อไป
แหล่งที่มาจาก : am2con