Emilia Clark เอมิเลีย อิโซเบล ยูเฟเมีย โรส คลาร์ก (เกิด 23 ตุลาคม 1986) เป็นนักแสดงชาวอังกฤษที่รู้จักกันดีในบทบาทเดเนริส ทาร์แกเรียนในซีรีส์แฟนตาซีGame of Thrones (2011–2019) ของ HBOซึ่งเธอได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลPrimetime Emmy Awards สี่รางวัล นอกจากนี้ เธอยังเป็นที่รู้จักจากบทบาทซาราห์ คอนเนอร์ในภาพยนตร์นิยายวิทยาศาสตร์เรื่อง Terminator: Genisys (2015) และQi’raในภาพยนตร์Solo: A Star Wars Story (2018) รวมถึงการแสดงนำในภาพยนตร์ดราม่าโรแมนติกเรื่องMe Before You (2016) และLast Christmas (2019)
ประวัติ Emilia Clark เอมมิเลีย คลาร์ก
คลาร์กเกิดเมื่อวันที่ 23 ตุลาคม 1986 ในลอนดอน เธอเติบโตในอ็อกซ์ฟอร์ดเชียร์ พ่อของเธอปีเตอร์โรเดอริค “ริก” คลาร์กเป็นวิศวกรเสียง ละคร จาก วูล์ฟเวอร์แฮมป์ ตัน แม่ของเธอเจนนิเฟอร์ซูซาน “เจนนี่” ด็อดด์คลาร์ก MBE เป็นนักธุรกิจและเป็นรองประธานฝ่ายการตลาดที่บริษัทที่ปรึกษาการจัดการระดับโลกในปี 2020 และผู้อำนวยการของ The Anima Foundation ซึ่งเป็นองค์กรการกุศลที่มุ่งช่วยเหลือเยาวชนในกานาเธอมีพี่ชายชื่อเบนเน็ตต์ซึ่งทำงานในอุตสาหกรรมบันเทิงและเป็นส่วนหนึ่งของแผนกกล้องสำหรับGame of Thrones
คลาร์กเป็นคนอินเดียบางส่วน โดยมี เชื้อสาย อินเดียทางแม่ ย่าของเธอเป็นลูกสาวของยายทวดของคลาร์กที่มีความสัมพันธ์ลับๆ กับชายจากอินเดียในยุคอาณานิคม และแต่งหน้าบางๆ เพื่อปกปิดผิวสีเข้มที่เธอสืบทอดมาจากพ่อ เธอให้เครดิตภูมิหลังนี้ว่าครอบครัวของเธอมี “ประวัติศาสตร์ของนักสู้” โดยกล่าวว่า “ความจริงที่ว่า [ยายของฉัน] ต้องปกปิดสีผิวของเธอ และพยายามอย่างยิ่งที่จะเข้ากับคนอื่นๆ ต้องเป็นเรื่องยากอย่างไม่น่าเชื่อ” เธอกล่าวว่ายายของเธอ “รักอินเดียมากกว่าที่เธอรักอังกฤษ” และเมื่อเธอเสียชีวิต คลาร์กซึ่งอายุได้สิบหกปีจึงเดินทางไปอินเดียเพื่อโปรยเถ้ากระดูกของเธอ คลาร์กยังเน้นย้ำถึงความสัมพันธ์ของเธอกับอินเดีย โดยระบุว่าเธอรักมรดกอินเดียของเธอและมองว่ามรดกนี้เป็นส่วนหนึ่งของตัวตนของเธอ
คลาร์กเริ่มสนใจการแสดงตั้งแต่อายุ 3 ขวบหลังจากได้ชมการแสดงละครเพลงเรื่องShow Boat เมื่อเธออายุได้ 10 ขวบ พ่อของเธอพาเธอไปอ อดิชั่น ที่เวสต์เอนด์สำหรับเรื่องThe Goodbye Girlซึ่งเป็นละครเพลงของนีล ไซมอน Clarke ได้รับการศึกษาระดับเอกชนทั้งที่โรงเรียน Rye St AntonyในHeadingtonและโรงเรียน St Edward’s ใน Oxfordซึ่งเธอออกจากโรงเรียนในปี 2005 ในการสัมภาษณ์กับTime Out เมื่อปี 2016 เธอกล่าวว่า “ฉันเคยไปโรงเรียนประจำหรูหรา แต่ฉันไม่ใช่สาวหรูหราในโรงเรียนประจำหรูหราเหล่านั้น” เธอยังระบุด้วยว่าคนส่วนใหญ่ในโรงเรียนประจำของเธอใน Oxford มาจากพื้นเพที่เป็นอนุรักษ์นิยม ซึ่งหมายความว่าเธอและเพื่อนบางคนมักรู้สึกว่าตัวเองเป็นคนนอก
Emilia Clarke เปิดใจ กลัวถูกไล่ออกจากซีรีส์ ‘Game of Thrones’ หลังเข้ารับการผ่าตัดสมอง 2 ครั้ง
นักแสดงสาวชาวอังกฤษวัย 37 ปี ที่แจ้งเกิดจากบทบาทแม่มังกร แดเนริส ทาร์แกเรียน (Daenerys Targaryen) ใน ‘Game of Thrones’ (2011–2019) ซีรีส์แฟนตาซียอดนิยมของ HBO และมีผลงานการแสดงในภาพยนตร์อีกหลายเรื่อง อาทิ ‘Solo: A Star Wars Story’ (2018), ‘Me Before You’ (2016) และ ‘Last Christmas’ (2019) และผลงานล่าสุดในมินิซีรีส์ ‘Secret Invasion’ (2023) ของ Marvel Studios
แม้ว่าฝีมือการแสดงของคลาร์กจะเป็นที่ยอมรับ แต่อย่างที่หลายคนทราบกันดีว่า เธอเองเคยมีประสบการณ์เฉียดตายจากอาการหลอดเลือดในสมองโป่งพอง จนทำให้เธอต้องเข้ารับการผ่าตัดสมองถึง 2 ครั้งในระหว่างถ่ายทำซีรีส์ ‘Game of Thrones’ ในบทสัมภาษณ์ Exclusive ของเธอกับนิตยสาร Big Issue ของประเทศอังกฤษ คลาร์กได้มีโอกาสเปิดใจครั้งแรกถึงความกลัวของโรคร้าย ที่อาจส่งผลร้ายแรงต่ออาชีพนักแสดงของเธอ
“ตอนที่ฉันได้รับบาดเจ็บที่สมอง มันเปลี่ยนความรู้สึกข้างในของตัวฉันเองในระดับที่น่ากลัวมาก ๆ ค่ะ ความกังวลที่ฉันมีในการงานมันจะเพิ่มขึ้นเป็น 4 เท่าในชั่วข้ามคืนเลยแหละ ความกลัวอย่างแรกที่ฉันเชื่อว่าทุกคนก็เคยเป็นก็คือ ‘โอ้ พระเจ้า นี่ฉันจะถูกไล่ออกหรือเปล่าเนี่ย ?’ ฉันอาจจะถูกไล่ออกเพราะพวกเขาคิดว่าฉันอาจจะไม่สามารถทำงานได้สำเร็จหรือเปล่า” am2con
ปี 2019 คลาร์กได้มีโอกาสเขียนบทความบอกเล่าประสบการณ์ความเจ็บป่วยจากอาการทางสมอง ที่ทำให้เธอเฉียดเข้าใกล้ความตาย และต้องเข้ารับการผ่าตัดสมองถึง 2 ครั้งในเว็บไซต์ The New Yorker โดยเธอได้เล่าว่า ในปี 2011 หลังจากถ่ายทำซีรีส์ ‘Game of Thrones’ ซีซันแรกเสร็จไม่นาน คลาร์กในวัย 24 ปี เกิดอาการมึนงงและปวดหัวฉับพลันในระหว่างทำท่าแพลงก์ ก่อนที่จะมีคนพบเธอหมดสติในห้องน้ำ ก่อนจะถูกนำส่งโรงพยาบาลอย่างรวดเร็ว
แพทย์วินิจฉัยว่าเธอมีอาการของภาวะเลือดออกใต้เยื่อหุ้มสมองชั้นกลาง (Subarachnoid Hemorrhage) จากอาการเส้นเลือดในสมองแตก ผลข้างเคียงของอาการหลอดเลือดโป่งพองในสมอง (Cerebral Aneurysm) ที่มีความเสี่ยงอันตรายถึงชีวิต การผ่าตัดในครั้งนั้นใช้เวลา 3 ชั่วโมง แต่สิ่งที่ตามมาก็คือ เธอต้องพบกับอาการภาวะบกพร่องทางการสื่อความ (Aphasia) ที่ทำให้มีปัญหาด้านการพูดและการสื่อความ
อาการดังกล่าวส่งผลกระทบทำให้เธอควบคุมคำพูดไม่ได้ และไม่สามารถจดจำได้แม้กระทั่งชื่อของตัวเอง จนทำให้เธอเริ่มวิตกกังวลว่า โรคร้ายนี้อาจส่งผลให้เธอไม่สามารถทำงานการแสดงที่ต้องใช้ทักษะด้านภาษาในการอ่าน ท่องจำบท และสนทนาได้อย่างปกติอีกต่อไป และนั่นอาจทำให้อนาคตในอาชีพนักแสดงต้องดับวูบลง
“ตอนนั้นฉันรู้สึกทุกข์ทรมานอย่างมาก ในช่วงเวลาที่เลวร้ายที่สุด ฉันต้องการอยากจะชักปลั๊ก และขอให้หมอปล่อยฉันตายไปดีกว่า งานและความฝันทั้งหมดในชีวิตของฉันที่ล้วนเกี่ยวข้องกับภาษาและการสื่อสารจะเป็นยังไง ถ้าหากปราศจากสิ่งนั้นแล้ว ฉันก็เหมือนกับหลงทางนั่นแหละ”