ทำเนียบขาวสร้างความสั่นสะเทือนให้แก่วงการการค้าโลกและเศรษฐกิจไทยครั้งใหญ่ เมื่อประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ได้ลงนามในคำสั่งพิเศษของฝ่ายบริหาร (Executive Order) ประกาศเรียกเก็บภาษีศุลกากรในอัตรา 19% กับสินค้าทุกรายการที่นำเข้าจากประเทศไทย โดยจะมีผลในอีก 30 วันข้างหน้า การตัดสินใจที่ไม่มีสัญญาณเตือนล่วงหน้านี้ถือเป็นการจุดชนวน “สงครามการค้า” รอบใหม่ที่พุ่งเป้ามาที่ไทยโดยตรง บทความนี้จะเจาะลึกถึงเบื้องหลังคำประกาศ, วิเคราะห์ผลกระทบเศรษฐกิจไทยอย่างละเอียด, ประเมินความเสียหายภาคการส่งออก และคาดการณ์การตอบสนองจากรัฐบาลไทยที่กำลังเผชิญบททดสอบครั้งสำคัญที่สุด
เช้าวันนี้ (4 สิงหาคม 2568) ถือเป็นเช้าที่ภาคธุรกิจและรัฐบาลไทยต้องเผชิญกับข่าวร้ายที่สุดในรอบหลายปี เมื่อสำนักข่าวต่างประเทศทุกแห่งพร้อมใจกันรายงานคำประกาศจากประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ที่ได้ใช้ช่องทางโซเชียลมีเดียส่วนตัวและแถลงการณ์อย่างเป็นทางการจากทำเนียบขาว ระบุถึงการ áp đặt ภาษีสินค้านำเข้าจากไทย ในอัตราสูงถึง 19%
แถลงการณ์ให้เหตุผลว่า มาตรการดังกล่าวเป็นผลมาจากการที่ประเทศไทยมีตัวเลขเกินดุลการค้ากับสหรัฐฯ อย่างมหาศาลและต่อเนื่อง (Persistent and Large Trade Surplus), มีการดำเนินนโยบายทางการค้าที่ไม่เป็นธรรม (Unfair Trade Practices) และข้อกล่าวหาเรื่องการแทรกแซงค่าเงินเพื่อเอื้อประโยชน์ต่อการส่งออก ซึ่งเป็นตรรกะเดียวกับที่ทรัมป์เคยใช้เปิดฉาก สงครามการค้า กับประเทศจีนในวาระการดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสมัยแรก
การประกาศครั้งนี้สร้างความตื่นตระหนกไปทั่วโลก เนื่องจากสหรัฐอเมริกาคือตลาด ส่งออกไทยไปสหรัฐ ที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับต้นๆ และการขึ้นภาษีในอัตราที่สูงและครอบคลุมทุกสินค้าเช่นนี้ ย่อมส่งผลกระทบอย่างรุนแรงและหลีกเลี่ยงไม่ได้ต่อ ผลกระทบเศรษฐกิจไทย ในภาพรวม
เบื้องลึกคำสั่ง “ทรัมป์” และการใช้ Trade Act Section 301 เป็นอาวุธ
การตัดสินใจของ โดนัลด์ ทรัมป์ ในครั้งนี้ ไม่ใช่การกระทำที่ไร้ซึ่งเครื่องมือทางกฎหมายรองรับ รายงานข่าวเชิงลึกจากวอชิงตันระบุว่า ทำเนียบขาวได้อ้างอำนาจภายใต้ Trade Act Section 301 ซึ่งเป็นกฎหมายการค้าของสหรัฐฯ ที่ให้อำนาจประธานาธิบดีในการดำเนินมาตรการฝ่ายเดียวเพื่อตอบโต้ประเทศคู่ค้าที่มีพฤติกรรมทางการค้าที่ไม่เป็นธรรมและเป็นอุปสรรคต่อการค้าของสหรัฐฯ
ประเด็นที่สหรัฐฯ หยิบยกขึ้นมาเป็นข้ออ้างสำคัญ ประกอบด้วย
- การเกินดุลการค้า ในปี 2567 ที่ผ่านมา ข้อมูลจากกระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ ระบุว่าไทยเกินดุลการค้ากับสหรัฐฯ เป็นมูลค่ากว่า 4.2 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งฝ่ายบริหารของทรัมป์มองว่าเป็นตัวเลขที่ “ยอมรับไม่ได้”
- นโยบายส่งเสริมการลงทุน สหรัฐฯ มองว่านโยบายบางอย่างของไทย เช่น สิทธิประโยชน์ทางภาษีของ BOI เป็นการอุดหนุนผู้ส่งออกอย่างไม่เป็นธรรม
- ค่าเงินบาท แม้ว่าธนาคารแห่งประเทศไทยจะยืนยันมาตลอดว่าเป็นการดูแลเสถียรภาพค่าเงิน แต่สหรัฐฯ ยังคงจัดให้ไทยอยู่ในบัญชีรายชื่อประเทศที่ต้องจับตามอง (Monitoring List) ในประเด็นค่าเงิน
“นี่คือสไตล์การเจรจาต่อรองแบบฉบับของทรัมป์ คือการสร้างแรงกดดันสูงสุด (Maximum Pressure) เพื่อบีบให้คู่เจรจาต้องยอมโอนอ่อนตามข้อเรียกร้อง การประกาศเก็บภาษี 19% คือการเปิดเกมที่แรงที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพื่อดึงไทยเข้าสู่โต๊ะเจรจาในเงื่อนไขที่สหรัฐฯ เป็นผู้กำหนด” – นักวิเคราะห์จากสถาบัน Peterson Institute for International Economics ให้ทัศนะ
ผลกระทบเศรษฐกิจไทย สึนามิเศรษฐกิจที่ประเมินค่าความเสียหายได้ยาก
การประกาศเก็บ ภาษีสินค้านำเข้าจากไทย 19% ไม่ต่างจากสึนามิทางเศรษฐกิจที่จะซัดเข้าใส่ทุกภาคส่วน นักวิเคราะห์จากศูนย์วิจัยเศรษฐกิจชั้นนำหลายแห่งได้เริ่มประเมิน ผลกระทบเศรษฐกิจไทย ในเบื้องต้น ซึ่งผลลัพธ์ที่ได้น่ากังวลอย่างยิ่ง
- การส่งออกอาจหดตัวรุนแรง สหรัฐฯ เป็นตลาดส่งออกอันดับ 1 หรือ 2 ของไทยมาโดยตลอด การขึ้นภาษีแบบครอบคลุมจะทำให้สินค้าไทยสูญเสียความสามารถในการแข่งขันด้านราคาทันที คาดการณ์ว่ามูลค่าการ ส่งออกไทยไปสหรัฐ อาจหดตัวลง 30-50% ภายในหนึ่งปี คิดเป็นมูลค่าความเสียหายหลายแสนล้านบาท
- GDP ไทยเสี่ยงติดลบ ภาคการส่งออกคิดเป็นสัดส่วนมากกว่า 60% ของ GDP ไทย การหดตัวอย่างรุนแรงของตลาดสหรัฐฯ อาจฉุดให้การเติบโตของ GDP ไทยในปี 2568 และ 2569 ลดลง 1.5% – 2.5% และมีความเสี่ยงสูงที่จะเข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอย
- ตลาดทุนและค่าเงินบาทผันผวนหนัก คาดว่าดัชนีตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET Index) ในวันนี้จะเปิดตลาดดิ่งลงอย่างรุนแรง โดยเฉพาะ หุ้นกลุ่มที่ได้รับผลกระทบจากการขึ้นภาษี 19% เช่น * กลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์ ซึ่งเป็นสินค้าส่งออกอันดับหนึ่งไปสหรัฐฯ * กลุ่มชิ้นส่วนยานยนต์ ผู้ผลิต OEM หลายรายส่งชิ้นส่วนไปประกอบในโรงงานที่สหรัฐฯ * กลุ่มอาหารแปรรูปและสินค้าเกษตร เช่น ทูน่ากระป๋อง, สับปะรดกระป๋อง, ผลิตภัณฑ์ยางพารา ขณะที่ ค่าเงินบาท มีแนวโน้มอ่อนค่าลงอย่างรวดเร็วจากแรงเทขายของนักลงทุนต่างชาติและการคาดการณ์รายได้ดอลลาร์ที่จะหายไปจากระบบ
สินค้าไทยที่โดนภาษี 19% มีอะไรบ้าง? เจาะลึก 5 กลุ่มอุตสาหกรรมที่บาดเจ็บหนักที่สุด
- ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์ (HS Code 84, 85) กลุ่มที่ใหญ่ที่สุดและเสียหายหนักที่สุด สินค้าอย่างฮาร์ดดิสก์ไดรฟ์, วงจรรวม (ICs), และส่วนประกอบคอมพิวเตอร์ จะไม่สามารถแข่งขันกับผู้ผลิตในประเทศอื่นที่ไม่ได้ถูกเก็บภาษีได้
- ผลิตภัณฑ์ยางและยานยนต์ (HS Code 40, 87) ยางรถยนต์, ชิ้นส่วนยาง, และชิ้นส่วนยานยนต์ที่ไทยเป็นฐานการผลิตสำคัญจะได้รับผลกระทบโดยตรง
- อาหารแปรรูป (HS Code 16, 20) ทูน่ากระป๋อง, อาหารทะเลแช่แข็ง, ผลไม้กระป๋อง ซึ่งสหรัฐฯ เป็นตลาดหลัก จะต้องเผชิญกับต้นทุนที่สูงขึ้นมหาศาล
- อัญมณีและเครื่องประดับ (HS Code 71) แม้จะเป็นสินค้าฟุ่มเฟือย แต่การขึ้นภาษีจะทำให้ความต้องการจากผู้บริโภคชาวอเมริกันลดลงอย่างมีนัยสำคัญ
- ผลิตภัณฑ์พลาสติกและเคมีภัณฑ์ (HS Code 39) สินค้ากลุ่มนี้จะสูญเสียความสามารถในการแข่งขันเช่นเดียวกัน
รัฐบาลไทยจะตอบโต้สหรัฐอย่างไร? ทางเลือกบนเส้นด้าย
ขณะนี้ทุกสายตากำลังจับจ้องไปที่ท่าทีของรัฐบาลไทย ซึ่งคาดว่านายกรัฐมนตรีจะเรียกประชุมคณะรัฐมนตรีเศรษฐกิจนัดพิเศษในวันนี้ ทางเลือกในการรับมือมีจำกัดและล้วนมีความเสี่ยง
- แนวทางที่ 1 การเจรจาต่อรองทางการทูต กระทรวงพาณิชย์ และกระทรวงการต่างประเทศต้องเร่งเปิดช่องทางการเจรจาในระดับสูงสุดเพื่อขอให้สหรัฐฯ ทบทวนมาตรการ หรือขอยกเว้นสินค้าบางรายการ ซึ่งอาจต้องแลกมาด้วยการยอมอ่อนข้อในประเด็นอื่นๆ ที่สหรัฐฯ เรียกร้อง
- แนวทางที่ 2 การใช้เวที WTO ไทยสามารถยื่นฟ้องร้องสหรัฐฯ ต่อองค์การการค้าโลก (WTO) ว่ามาตรการดังกล่าวขัดต่อกฎการค้าระหว่างประเทศ แต่กระบวนการนี้ใช้เวลานานหลายปีและไม่สามารถระงับผลกระทบเฉพาะหน้าได้
- แนวทางที่ 3 มาตรการตอบโต้ (Retaliation) ไทยอาจพิจารณาขึ้นภาษีสินค้าที่นำเข้าจากสหรัฐฯ เช่นกัน เพื่อสร้างแรงกดดันกลับไป แต่ต้องประเมินอย่างรอบคอบ เพราะอาจทำให้ สงครามการค้า บานปลายและสร้างความเสียหายมากขึ้น เนื่องจากขนาดเศรษฐกิจของไทยเล็กกว่าสหรัฐฯ มาก
- แนวทางที่ 4 การหาตลาดใหม่และกระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศ เร่งเจรจาการค้าเสรี (FTA) กับภูมิภาคอื่น เช่น สหภาพยุโรป, ตะวันออกกลาง และออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศเพื่อชดเชยภาคการส่งออกที่หายไป
สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ได้ออกแถลงการณ์เรียกร้องให้รัฐบาลเร่งดำเนินการทางการทูตอย่างเร่งด่วนที่สุดเพื่อบรรเทาผลกระทบต่อภาคเอกชน
บทสรุปและอนาคตการส่งออกไทยหลังโดนัลด์ ทรัมป์ขึ้นภาษี
การประกาศขึ้น ภาษีสินค้านำเข้าจากไทย 19% ของ โดนัลด์ ทรัมป์ คือจุดเปลี่ยนครั้งประวัติศาสตร์ของเศรษฐกิจไทยที่ต้องพึ่งพิงการส่งออกเป็นหลัก วิกฤตครั้งนี้เป็นยิ่งกว่าการตัดสิทธิ์ GSP ในอดีต และจะสร้างแผลเป็นลึกให้กับโครงสร้างเศรษฐกิจของประเทศ
อนาคตการส่งออกไทยหลังโดนัลด์ ทรัมป์ขึ้นภาษี จะเต็มไปด้วยความท้าทายและความไม่แน่นอน ผู้ประกอบการไทยต้องปรับตัวครั้งใหญ่ ทั้งการลดต้นทุน, การหาตลาดใหม่, และการย้ายฐานการผลิตบางส่วนไปยังประเทศที่ไม่ได้รับผลกระทบ
บทเรียนสำคัญจากเหตุการณ์นี้คือ การพึ่งพาตลาดใดตลาดหนึ่งมากเกินไปมีความเสี่ยงสูงอย่างยิ่ง และการดำเนินนโยบายต่างประเทศและเศรษฐกิจของไทยนับจากนี้ จะต้องมีความสมดุลและรอบคอบมากขึ้นกว่าเดิมหลายเท่าตัว วิกฤต สงครามการค้า ครั้งนี้จะเป็นบททดสอบที่สำคัญที่สุดว่าประเทศไทยจะสามารถปรับตัวและเอาตัวรอดจากพายุเศรษฐกิจโลกครั้งนี้ไปได้อย่างไร
แหล่งที่มาจาก : am2con