โดรนโจมตีซูดาน สังหารหมู่กลางโรงเรียนอนุบาล 50 ศพ โลกยืนดู “ความไร้เดียงสา” ถูกทำลายในสงครามที่ถูกลืม

โดรนโจมตีซูดาน

รัฐอัลจาซีรา, ซูดาน – เสียงหัวเราะและการท่อง ก-ฮ ของเด็กน้อยในยามเช้า ถูกแทนที่ด้วยเสียงระเบิดกึกก้องและเสียงกรีดร้องที่โหยหวนที่สุดเท่าที่มนุษย์จะจินตนาการได้ เมื่อเหตุการณ์ โดรนโจมตีซูดาน ครั้งล่าสุด ได้เปลี่ยนโรงเรียนอนุบาลเล็กๆ ในรัฐอัลจาซีรา (Al Jazirah) ให้กลายเป็นหลุมศพขนาดใหญ่ในชั่วพริบตา รายงานเบื้องต้นระบุยอดผู้เสียชีวิตทันทีอย่างน้อย 50 ศพ โดยสิ่งที่บีบหัวใจคนทั้งโลกคือ “เกินกว่าครึ่ง” ของร่างที่ไร้วิญญาณ คือเด็กอายุไม่เกิน 6 ขวบ ที่ตกเป็นเหยื่อของสงครามที่พวกเขาไม่ได้ก่อ

Deadly attack on kindergarten reported in Sudan

เช้าวันอังคารที่กลายเป็นนรกบนดิน

เหตุโศกนาฏกรรมเกิดขึ้นเมื่อเวลาประมาณ 08.30 น. ตามเวลาท้องถิ่น ขณะที่เด็กๆ กำลังเข้าแถวเคารพธงชาติและรับประทานอาหารเช้าที่โรงเรียนอนุบาลชุมชนแห่งหนึ่ง ซึ่งถูกใช้เป็นศูนย์พักพิงชั่วคราวสำหรับผู้พลัดถิ่นด้วย พยานผู้เห็นเหตุการณ์ระบุว่า ได้ยินเสียงหึ่งๆ ของอากาศยานไร้คนขับ (UAV) บินต่ำเหนือท้องฟ้า ก่อนที่จรวดลูกแรกจะพุ่งลงมากลางลานกิจกรรม

แรงระเบิดฉีกกระชากอาคารเรียนชั้นเดียวจนพังราบเป็นหน้ากลอง ฝุ่นควันตลบอบอวลผสมกับกลิ่นคาวเลือดและดินปืน นายแพทย์อาเหม็ด (สงวนนามสกุล) แพทย์อาสาในพื้นที่ที่รุดไปถึงที่เกิดเหตุเป็นคนแรกๆ เล่าด้วยน้ำเสียงสั่นเครือว่า

“ผมเคยผ่านสมรภูมิมามาก แต่ไม่มีอะไรเตรียมใจผมให้พร้อมกับภาพที่เห็น… กระเป๋านักเรียนลายการ์ตูน รองเท้าคู่เล็กๆ กระจัดกระจายไปทั่วพร้อมกับเศษเนื้อ ภาพที่ติดตาผมที่สุดคือคุณครูท่านหนึ่งที่เสียชีวิตในท่าโอบกอดนักเรียน 3 คนไว้ในอ้อมแขน พยายามปกป้องพวกเขาจนวินาทีสุดท้าย… นี่ไม่ใช่อุบัติเหตุ แต่มันคือการฆาตกรรมหมู่”

ทำไมต้องเป็นโรงเรียน? ยุทธวิธีที่ไร้มนุษยธรรม

การใช้ โดรนโจมตีซูดาน ในครั้งนี้ ไม่ใช่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างโดดเดี่ยว แต่เป็นส่วนหนึ่งของยุทธวิธี “Scorched Earth” หรือการผลาญภพที่ทั้งสองฝ่ายในสงครามกลางเมืองซูดาน (ระหว่างกองทัพซูดาน – SAF ภายใต้การนำของนายพลเบอร์ฮาน และ กองกำลัง RSF ของนายพลเฮเมดตี) นำมาใช้เพื่อทำลายขวัญและกำลังใจของฝ่ายตรงข้าม

แหล่งข่าวความมั่นคงวิเคราะห์ว่า พื้นที่เกิดเหตุอยู่ในเขตควบคุมที่เปราะบาง การโจมตีเป้าหมายพลเรือน (Soft Targets) เช่น โรงเรียนหรือโรงพยาบาล มักมีจุดประสงค์เพื่อ

  1. ข่มขวัญประชาชน บีบให้ชาวบ้านอพยพออกจากพื้นที่เพื่อเข้ายึดครองได้ง่ายขึ้น
  2. ทำลายโครงสร้างพื้นฐาน ตัดท่อน้ำเลี้ยงและการรวมกลุ่มของชุมชน
  3. ความผิดพลาดของเทคโนโลยีราคาถูก โดรนที่ใช้ในสมรภูมิซูดานส่วนใหญ่เป็นโดรนพาณิชย์ดัดแปลงติดระเบิด หรือโดรนราคาถูกที่ขาดความแม่นยำ ทำให้ “ความผิดพลาด” กลายเป็น “หายนะ”

43 children among 79 civilians killed in RSF drone attack in South Kordofan, Sudanese authorities say

วิกฤตซ้อนวิกฤต โรงพยาบาลที่ไร้ยา และหมอที่ไร้เครื่องมือ

หลังเกิดเหตุ โดรนโจมตีซูดาน ปัญหาที่ตามมาคือระบบสาธารณสุขที่ล่มสลาย โรงพยาบาลท้องถิ่นซึ่งขาดแคลนเวชภัณฑ์อย่างหนักจากการถูกปิดล้อมมานานหลายเดือน ไม่สามารถรองรับผู้บาดเจ็บจำนวนมหาศาลได้

องค์การอนามัยโลก (WHO) ระบุว่า กว่า 70% ของสถานพยาบาลในพื้นที่ขัดแย้งต้องปิดตัวลง ผู้บาดเจ็บจากเหตุการณ์นี้หลายรายต้องนอนรอความตายบนพื้นทางเดินโรงพยาบาล เพราะไม่มีแม้แต่ยาแก้ปวด เลือดสำรอง หรือด้ายเย็บแผล

เจมส์ เอลเดอร์ โฆษกองค์การยูนิเซฟ (UNICEF) ออกแถลงการณ์ประณามเหตุการณ์นี้อย่างรุนแรง

“เด็กๆ ในซูดานกำลังใช้ชีวิตอยู่ในฝันร้ายที่ไม่สิ้นสุด พวกเขาถูกพรากสิทธิในการมีชีวิต สิทธิในการเรียนรู้ และสิทธิในการเล่น นี่คือการละเมิดกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศอย่างโจ่งแจ้งที่สุด และโลกต้องไม่ยอมรับสิ่งนี้ให้เป็นเรื่องปกติ”

สงครามที่โลก (แกล้ง) ลืม

แม้ความสูญเสียจะมหาศาล แต่สงครามในซูดานกลับได้รับพื้นที่สื่อและการตอบสนองจากนานาชาติน้อยมาก เมื่อเทียบกับความขัดแย้งในยูเครนหรือฉนวนกาซา นักวิเคราะห์ด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศมองว่า สาเหตุมาจาก

  1. ความซับซ้อนของตัวละคร สงครามนี้ไม่ใช่แค่เรื่องของคนสองคน แต่มี “มือที่สาม” จากต่างชาติที่สนับสนุนอาวุธและโดรนให้กับทั้งสองฝ่าย เพื่อแลกกับผลประโยชน์ทับซ้อนในทรัพยากรทองคำและน้ำมัน
  2. ความเหนื่อยล้าทางภูมิรัฐศาสตร์ (Geopolitical Fatigue) โลกกำลังเผชิญกับวิกฤตหลายด้านพร้อมกัน ทำให้วิกฤตในแอฟริกามักถูกจัดลำดับความสำคัญไว้ท้ายสุด

Over 50 killed in Kordofan drone attack, including 33 children, Sudanese doctors group says | AP News

ผลกระทบระยะยาว Generation ที่สูญหาย

เด็กที่รอดชีวิตจากเหตุการณ์ โดรนโจมตีซูดาน ไม่เพียงแต่ต้องแบกรับบาดแผลทางกาย แต่ยังรวมถึงบาดแผลทางจิตใจ (Trauma) ที่ยากจะเยียวยา ซูดานกำลังเผชิญกับภาวะ “Lost Generation” หรือคนรุ่นที่เติบโตมากับเสียงปืน ไร้การศึกษา และเต็มไปด้วยความเคียดแค้น ซึ่งอาจกลายเป็นเชื้อไฟของความขัดแย้งระลอกใหม่ในอีก 10-20 ปีข้างหน้า

บทสรุป เมื่อไหร่ที่เลือดจะหยุดไหล?

เหตุการณ์สังหารหมู่ 50 ศพในโรงเรียนอนุบาลครั้งนี้ เป็นเพียงยอดภูเขาน้ำแข็งของวิกฤตการณ์ในซูดานที่คร่าชีวิตผู้คนไปแล้วนับหมื่นและทำให้คนนับล้านต้องพลัดถิ่น

ประชาคมโลก โดยเฉพาะคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (UNSC) และสหภาพแอฟริกา (AU) จำเป็นต้องก้าวข้ามการออกแถลงการณ์ประณาม ไปสู่การใช้มาตรการกดดันที่จับต้องได้จริง เช่น การคว่ำบาตรการขนส่งอาวุธและโดรนเข้าสู่ซูดานอย่างเด็ดขาด หรือการสร้างเขตปลอดภัย (Safe Zones) รอบโรงเรียนและโรงพยาบาล

หากโลกยังคงเพิกเฉยต่อเสียงร้องขอชีวิตของเด็กๆ ในซูดาน ประวัติศาสตร์จะจารึกไว้ว่า เราคือผู้สมรู้ร่วมคิดในโศกนาฏกรรมครั้งนี้ด้วยความเงียบงันของเราเอง

 

แหล่งที่มาจาก : am2con