ไม่ใช่แค่เขื่อนแตก แต่คือต้นทุนการพัฒนาที่พังทลาย ถอดรหัสโศกนาฏกรรมเวียดนาม ที่ธรรมชาติและมนุษย์ร่วมกันสร้าง

เขื่อนแตกในเวียดนาม

เขื่อนแตกในเวียดนาม เสียงไซเรนเตือนภัยดังก้องไปทั่วหุบเขาในจังหวัดกอนตูม ที่ราบสูงตอนกลางของเวียดนาม ก่อนที่มวลน้ำมหาศาลราวกับกำแพงยักษ์จะทะลักออกจากรอยแตกของเขื่อนไฟฟ้าพลังน้ำ “ดั๊ก บลา 3” (Dak Bla 3) กวาดกลืนทุกสิ่งที่ขวางหน้าและบีบให้ทางการต้องสั่งอพยพประชาชนหลายหมื่นชีวิตอย่างโกลาหล เหตุการณ์ เขื่อนแตกในเวียดนาม ครั้งล่าสุดนี้ ไม่ใช่แค่โศกนาฏกรรมทางธรรมชาติที่เกิดจากฝนตกหนักเพียงอย่างเดียว แต่มันคือภาพสะท้อนที่เจ็บปวดรวดร้าวของ “ต้นทุนที่มองไม่เห็น” ที่เกิดจากการพัฒนาเศรษฐกิจแบบก้าวกระโดดของประเทศ โศกนาฏกรรมครั้งนี้ได้จุดชนวนการถกเถียงครั้งสำคัญระดับชาติ เกี่ยวกับความสมดุลที่เปราะบางระหว่างความต้องการพลังงานเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจ, ความปลอดภัยเขื่อน ที่ถูกตั้งคำถาม และ ผลกระทบการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ที่รุนแรงขึ้น ซึ่งกำลังท้าทายนโยบายการพัฒนาของเวียดนามและประเทศอื่นๆ ในภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขงอย่างถึงราก

Northern Vietnam hit by severe floods as rivers surge past danger levels

เขื่อนแตกในเวียดนาม “กำแพงน้ำ” กลืนหมู่บ้าน วินาทีแห่งหายนะในที่ราบสูงตอนกลาง

เหตุการณ์หายนะเริ่มต้นขึ้นในช่วงเช้ามืดของวันที่ 9 ตุลาคม 2568 หลังจากที่พื้นที่ดังกล่าวเผชิญกับ ฝนตกหนักผิดปกติ ต่อเนื่องมานานกว่า 3 วัน ซึ่งเป็นปริมาณน้ำฝนที่มากกว่าค่าเฉลี่ยทั้งเดือนตุลาคมของปีก่อนๆ แรงดันน้ำมหาศาลได้กัดเซาะจนโครงสร้างของเขื่อนดินอัดแกนดินเหนียวของโครงการไฟฟ้าพลังน้ำขนาดกลาง “ดั๊ก บลา 3” ไม่สามารถทานทนได้อีกต่อไปและพังทลายลง

มวลน้ำหลายล้านลูกบาศก์เมตรทะลักออกมาอย่างรุนแรง สร้างคลื่นยักษ์ที่ถาโถมเข้าใส่หมู่บ้านต่างๆ ที่ตั้งอยู่ท้ายน้ำอย่างไม่ทันตั้งตัว

  • ปฏิบัติการอพยพฉุกเฉิน ทางการจังหวัดกอนตูมได้ประกาศภาวะฉุกเฉินขั้นสูงสุด ทหารและหน่วยกู้ภัยถูกระดมกำลังเข้าช่วยเหลือในการอพยพประชาชนที่ติดค้าง ซึ่งหลายคนต้องหนีตายขึ้นไปอยู่บนหลังคาบ้านเพื่อรอความช่วยเหลือ
  • ความเสียหายเบื้องต้น รายงานจากสื่อท้องถิ่น VnExpress ระบุว่าบ้านเรือนหลายร้อยหลังจมอยู่ใต้น้ำ พื้นที่เกษตรกรรมเสียหายเป็นวงกว้าง สะพานและถนนหลายสายถูกตัดขาด ทำให้การเข้าช่วยเหลือเป็นไปด้วยความยากลำบากอย่างยิ่ง
  • สถานการณ์ล่าสุด ขณะนี้ยังไม่มีรายงานผู้เสียชีวิตที่ยืนยันอย่างเป็นทางการ แต่คาดว่าจะมีผู้สูญหายจำนวนหนึ่ง ปฏิบัติการค้นหาและกู้ภัยกำลังดำเนินไปอย่างเต็มกำลัง

“เราได้ยินเสียงดังเหมือนระเบิดไกลๆ แล้วก็มีคนตะโกนว่าเขื่อนแตก” เหงียน วัน บินห์, เกษตรกรผู้รอดชีวิต เล่าด้วยสีหน้าตื่นตระหนก “น้ำมาเร็วมาก ไม่ถึง 10 นาที มันก็ท่วมขึ้นมาถึงชั้นสองของบ้านแล้ว เราคว้าได้แค่ลูกๆ แล้ววิ่งหนีขึ้นเขา ทุกอย่างของเราจมหายไปกับน้ำหมดแล้ว”

“ความหิวกระหายพลังงาน” เบื้องหลังการผุดขึ้นราวกับดอกเห็ดของเขื่อนไฟฟ้าพลังน้ำ

สาเหตุที่เขื่อนในเวียดนามแตกคืออะไร? คำตอบของคำถามนี้หยั่งรากลึกอยู่ในเรื่องราวการพัฒนาเศรษฐกิจอันน่าทึ่งของเวียดนามในช่วงสองทศวรรษที่ผ่านมา

  • การเติบโตทางเศรษฐกิจ เวียดนามเป็นหนึ่งในประเทศที่มีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจเร็วที่สุดในโลก ความต้องการใช้ไฟฟ้าพุ่งสูงขึ้นเป็นเงาตามตัว เพื่อป้อนให้กับโรงงานอุตสาหกรรมและเมืองที่ขยายตัวอย่างรวดเร็ว
  • คำตอบอยู่ที่ “พลังน้ำ” ด้วยภูมิประเทศที่เป็นภูเขาและมีแม่น้ำหลายสาย เขื่อนไฟฟ้าพลังน้ำ จึงกลายเป็นคำตอบหลักในการสร้างความมั่นคงทางพลังงานให้กับประเทศ เวียดนามได้ดำเนินนโยบายสร้างเขื่อนอย่างจริงจัง จนปัจจุบันมีเขื่อนขนาดใหญ่และขนาดเล็กหลายร้อยแห่งกระจายอยู่ทั่วประเทศ โดยมีทั้งโครงการที่ดำเนินการโดยรัฐวิสาหกิจยักษ์ใหญ่อย่าง EVN (Vietnam Electricity) และบริษัทเอกชน
  • ดาบสองคม แม้เขื่อนจะช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจและลดการพึ่งพาเชื้อเพลิงฟอสซิล แต่มันก็มาพร้อมกับความเสี่ยงมหาศาล ทั้งผลกระทบต่อระบบนิเวศ และที่สำคัญที่สุดคือความปลอดภัยของประชาชนที่อาศัยอยู่ท้ายน้ำ

Bac Khe 1 hydropower dam collapses, all residents evacuated | Nhan Dan  Online

คำเตือนที่ถูกเพิกเฉย? เมื่อมาตรฐานความปลอดภัยไล่ตามการพัฒนาไม่ทัน

โศกนาฏกรรมครั้งนี้ได้ปลุกให้สังคมเวียดนามและประชาคมโลกหันมาตั้งคำถามอย่างจริงจังว่า เขื่อนไฟฟ้าพลังน้ำในเวียดนามปลอดภัยหรือไม่? กลุ่มนักอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมและวิศวกรอิสระได้ออกมาส่งเสียงเตือนถึงปัญหานี้มานานหลายปีแล้ว โดยชี้ให้เห็นถึงช่องโหว่หลายประการ

  1. มาตรฐานที่แตกต่าง เขื่อนขนาดเล็กและขนาดกลางที่สร้างโดยบริษัทเอกชนจำนวนมาก มักถูกวิจารณ์ว่าไม่ได้ผ่านมาตรฐานการออกแบบและการก่อสร้างที่เข้มงวดเทียบเท่ากับโครงการขนาดใหญ่ของรัฐ
  2. การประเมินผลกระทบที่เร่งรีบ ในยุคที่เศรษฐกิจร้อนแรง การเร่งรัดอนุมัติโครงการอาจทำให้การศึกษาผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม (EIA) และการสำรวจทางธรณีวิทยาของพื้นที่ก่อสร้างไม่ละเอียดถี่ถ้วนเพียงพอ
  3. การบำรุงรักษาที่ไม่ทั่วถึง การตรวจสอบและบำรุงรักษาเขื่อนที่มีอยู่จำนวนมากอย่างสม่ำเสมอ เป็นภารกิจที่ต้องใช้งบประมาณและบุคลากรสูง ซึ่งอาจถูกละเลยในบางพื้นที่
  4. การออกแบบที่สู้ “ความปกติใหม่” ไม่ได้ ประเด็นที่น่ากังวลที่สุดคือ เขื่อนส่วนใหญ่ถูกออกแบบโดยใช้ข้อมูลสถิติปริมาณน้ำฝนในอดีตเป็นเกณฑ์ แต่ปัจจุบัน การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ได้ทำให้รูปแบบของฝนเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง

ปัจจัยเร่งจากฟากฟ้า เมื่อโลกร้อนเปลี่ยน “ฝน” ให้กลายเป็น “ระเบิดน้ำ”

การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศส่งผลต่อความปลอดภัยเขื่อนอย่างไร? คำตอบคือมันได้เปลี่ยน “ความเสี่ยง” ให้กลายเป็น “หายนะ” ที่เกิดขึ้นจริง

  • ฝนสุดขั้ว ภาวะโลกร้อนทำให้อากาศสามารถอุ้มความชื้นได้มากขึ้น ส่งผลให้เกิดฝนตกหนักแบบ “สุดขั้ว” (Extreme Rainfall) บ่อยครั้งขึ้น ปริมาณน้ำฝนที่เคยตกในเวลาหนึ่งเดือน อาจเทลงมาทั้งหมดภายในเวลาแค่ 2-3 วัน
  • แรงดันมหาศาล “ระเบิดน้ำ” นี้สร้างแรงดันต่อตัวเขื่อนและทำให้น้ำในอ่างเก็บน้ำเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็วจนเกินกว่าที่ระบบระบายน้ำล้น (Spillway) ของเขื่อนรุ่นเก่าจะรับมือได้ทัน
  • ความเสี่ยงในระดับภูมิภาค ปรากฏการณ์นี้ไม่ได้เกิดขึ้นแค่ในเวียดนาม แต่เป็นความเสี่ยงร่วมกันของทุกประเทศในลุ่ม แม่น้ำโขง และทั่วเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งเป็นภูมิภาคที่กำลังมีการก่อสร้างเขื่อนไฟฟ้าพลังน้ำอย่างแพร่หลาย เหตุการณ์เขื่อนแตกใน สปป.ลาว เมื่อปี 2018 คืออุทาหรณ์ที่เจ็บปวดซึ่งเกิดขึ้นก่อนหน้านี้แล้ว

Typhoon Matmo's circulation wreaks havoc across northern Viet Nam | Nhan  Dan Online

บทสรุป โศกนาฏกรรมที่เป็นบทเรียนราคาแพง

รัฐบาลเวียดนามมีมาตรการช่วยเหลือผู้ประสบภัยอย่างไร? ในระยะสั้น รัฐบาลได้ระดมสรรพกำลังทั้งหมดเพื่อช่วยเหลือชีวิตประชาชนและบรรเทาความเดือดร้อนเฉพาะหน้า แต่ความท้าทายที่แท้จริงและยิ่งใหญ่กว่านั้นกำลังรออยู่เบื้องหน้า

โศกนาฏกรรม เขื่อนแตกในเวียดนาม ครั้งนี้ คือเสียงปลุกที่ดังและเจ็บปวดที่สุดสำหรับรัฐบาลและสังคมเวียดนาม มันคือเครื่องยืนยันว่าการพัฒนาเศรษฐกิจที่มุ่งเน้นการเติบโตแต่เพียงอย่างเดียว โดยละเลยมิติด้านความปลอดภัยและ การพัฒนาที่ยั่งยืน นั้น เปราะบางและอาจนำมาซึ่งหายนะได้ทุกเมื่อ

เวียดนามและประเทศเพื่อนบ้านจำเป็นต้องหันมาทบทวนยุทธศาสตร์การพัฒนาพลังงานและบริหารจัดการน้ำครั้งใหญ่ โดยต้องมีการตรวจสอบความปลอดภัยของเขื่อนที่มีอยู่ทั้งหมดอย่างเร่งด่วน, บังคับใช้กฎระเบียบการก่อสร้างอย่างเข้มงวดโดยไม่มีข้อยกเว้น, และที่สำคัญที่สุดคือต้องนำแบบจำลองการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในอนาคตมาใช้ในการออกแบบโครงสร้างพื้นฐานใหม่ทั้งหมด เพราะราคาของความล้มเหลวในครั้งนี้ ไม่ได้วัดกันที่มูลค่าทางเศรษฐกิจที่เสียหาย แต่วัดกันด้วยชีวิตและน้ำตาของประชาชนผู้บริสุทธิ์

แหล่งที่มาจาก : am2con

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *