ปารีส, ฝรั่งเศส – ในการแถลงข่าวฉุกเฉินที่สั่นสะเทือนเสถียรภาพของโลก ประธานาธิบดี เอ็มมานูเอล มาครง แห่งฝรั่งเศส ได้ประกาศจุดยืนที่แข็งกร้าวที่สุดของยุโรปนับตั้งแต่สงครามเริ่มต้นขึ้น โดยเปิดเผยว่ามี พันธมิตรสนับสนุนยูเครน จำนวน 26 ประเทศ ที่พร้อมจะพิจารณาการระดมและส่งกำลังทหารเข้าไปในยูเครน เพื่อสนับสนุนและบังคับใช้ข้อตกลง การหยุดยิงในยูเครน ที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต คำประกาศดังกล่าวซึ่งถือเป็นการเปลี่ยนแปลงนโยบายแบบ 360 องศาของชาติตะวันตก ถูกมองว่าเป็นการตัดสินใจ มาครงส่งทหารไปยูเครน ในทางปฏิบัติ และเป็นการท้าทายประธานาธิบดี วลาดิมีร์ ปูติน โดยตรง ส่งผลให้เกิด ปฏิกิริยารัสเซีย อย่างฉับพลันและรุนแรง โดย วังเครมลิน ประณามว่าการกระทำดังกล่าวเทียบเท่ากับการประกาศสงคราม และจะนำไปสู่ผลลัพธ์ที่คาดไม่ถึง
คำประกาศสะเทือนโลกจากปารีส มาครงเปิดหน้าไพ่ “พันธมิตรแห่งผู้เต็มใจ”
เมื่อเวลา 1500 น. ของวันที่ 5 กันยายน 2568 ตามเวลาท้องถิ่น ณ ทำเนียบประธานาธิบดีเอลีเซ ประธานาธิบดีมาครงได้กล่าวถ้อยแถลงที่ถูกเตรียมการมาอย่างดี แต่เต็มไปด้วยความหนักแน่น เขาระบุว่า “ความคลุมเครือเชิงยุทธศาสตร์ (strategic ambiguity) ที่ยุโรปยึดถือมาตลอดได้สิ้นสุดลงแล้ว เราไม่สามารถปล่อยให้รัสเซียเป็นฝ่ายชนะในสงครามครั้งนี้ได้ เพราะมันหมายถึงจุดจบของ ความมั่นคงยุโรป“
“วันนี้ ผมสามารถยืนยันได้ว่า มีชาติพันธมิตรจำนวน 26 ชาติ ที่ได้หารือและแสดงความพร้อมที่จะเข้าร่วมในพันธมิตรปฏิบัติการ (operational coalition) เพื่อระดมกำลังพลหากมีความจำเป็น ในการสนับสนุนให้การหยุดยิงที่แท้จริงและยั่งยืนเกิดขึ้นได้ในยูเครน” มาครงกล่าว
ถ้อยแถลงนี้เกิดขึ้นหลังจากการประชุมลับของผู้นำและตัวแทนด้านความมั่นคงจากหลายชาติในยุโรปที่กรุงปารีส ซึ่งเห็นได้ชัดว่าเป็นการเคลื่อนไหวที่ฝรั่งเศสเป็นแกนนำ เพื่อสร้างทางเลือกใหม่นอกเหนือจากกรอบการทำงานของ NATO ที่มีข้อจำกัดในการส่งทหารเข้าพื้นที่ขัดแย้งโดยตรง
“ไม่ใช่เพื่อทำสงคราม แต่เพื่อหยุดสงคราม” ภารกิจของกองกำลังพันธมิตรคืออะไร?
ประเด็นที่สำคัญที่สุดคือบทบาทและภารกิจของกองกำลังที่อาจถูกส่งเข้าไป มาครงได้พยายามเน้นย้ำว่า เป้าหมายไม่ใช่การเผชิญหน้ากับกองทัพรัสเซียโดยตรง แต่เป็นการสร้างสภาวะที่เอื้อต่อสันติภาพ
บทบาทที่เป็นไปได้ของกองกำลังพันธมิตร
- กำลังรักษาสันติภาพ (Peacekeeping) การวางกำลังในพื้นที่ที่ไม่มีการสู้รบ หรือตามแนวชายแดนยูเครนกับเบลารุส เพื่อปลดปล่อยกำลังทหารยูเครนให้สามารถไปรบในแนวหน้าได้อย่างเต็มที่
- การบังคับใช้การหยุดยิง (Ceasefire Enforcement) หากมีการบรรลุข้อตกลงหยุดยิง กองกำลังนานาชาติจะเข้าไปประจำการตามแนวหยุดยิง เพื่อป้องกันการละเมิดข้อตกลงจากทั้งสองฝ่าย
- ภารกิจสนับสนุนและฝึกฝน การเข้าไปตั้งฐานฝึกและให้คำปรึกษาแก่ทหารยูเครน ภายในดินแดนยูเครน อย่างเป็นทางการ ซึ่งแตกต่างจากปัจจุบันที่การฝึกส่วนใหญ่เกิดขึ้นนอกประเทศ
- การคุ้มกันพื้นที่ยุทธศาสตร์ การปกป้องเมืองสำคัญทางตะวันตกของยูเครน เช่น Lviv หรือโครงสร้างพื้นฐานสำคัญ เพื่อป้องกันการโจมตีทางอากาศของรัสเซีย
อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าภารกิจจะถูกนิยามว่าอย่างไร การมีอยู่ของทหารจากชาติตะวันตกบนแผ่นดินยูเครน ถือเป็นการข้าม “เส้นแดง” ที่รัสเซียขีดไว้มาโดยตลอด
รายชื่อ 26 ชาติ ใครบ้างที่อยู่ใน “พันธมิตรผู้กล้า” ของมาครง? แม้มาครงจะยังไม่เปิดเผยรายชื่อทั้ง 26 ประเทศอย่างเป็นทางการ แต่จากการวิเคราะห์ท่าทีของผู้นำชาติต่างๆ ที่เข้าร่วมประชุม คาดการณ์ว่ากลุ่มแกนนำหลักประกอบด้วย
- กลุ่มรัฐบอลติก เอสโตเนีย, ลัตเวีย, และลิทัวเนีย ซึ่งเป็นกลุ่มที่สนับสนุนยูเครนอย่างแข็งขันที่สุดและมองว่ารัสเซียเป็นภัยคุกคามโดยตรง
- โปแลนด์ ประเทศเพื่อนบ้านของยูเครนและเป็นเส้นทางลำเลียงอาวุธที่สำคัญ
- กลุ่มนอร์ดิก โดยเฉพาะฟินแลนด์และสวีเดน สมาชิกใหม่ของ NATO ที่มีศักยภาพทางทหารสูง
- สาธารณรัฐเช็กและเนเธอร์แลนด์ สองชาติที่แสดงท่าทีสนับสนุนแนวคิดของมาครงอย่างเปิดเผย
- ชาติที่ยังลังเล เยอรมนีและอิตาลี ยังคงสงวนท่าที โดยนายกรัฐมนตรีโอลาฟ ชอลซ์ ของเยอรมนี ย้ำจุดยืนเดิมว่า “จะไม่มีทหาร NATO บนแผ่นดินยูเครน”
ปฏิกิริยาจากเครมลิน มอสโกขีดเส้นตาย “นี่คือการประกาศสงคราม”
เพียงไม่ถึงหนึ่งชั่วโมงหลังคำแถลงของมาครง นายดมิทรี เพสคอฟ โฆษก วังเครมลิน ได้ออกมาตอบโต้อย่างดุเดือด “คำพูดของประธานาธิบดีฝรั่งเศสเป็นสิ่งที่อันตรายอย่างยิ่ง การพูดถึงการส่งทหารเข้าไปในพื้นที่ขัดแย้ง ไม่ใช่แค่การยกระดับ แต่เป็นการนำไปสู่การเผชิญหน้าโดยตรงระหว่าง NATO กับสหพันธรัฐรัสเซีย” เพสคอฟกล่าว “หากมีทหารจากชาติตะวันตกแม้แต่คนเดียวปรากฏตัวในยูเครนเพื่อปฏิบัติภารกิจทางทหาร เราจะถือว่านั่นคือการประกาศสงคราม และ ปฏิกิริยารัสเซีย จะเป็นไปอย่างสาสมและเด็ดขาด”
ท่าทีดังกล่าวสอดคล้องกับหลักการทางทหารของรัสเซีย ที่มองว่าการมีส่วนร่วมโดยตรงของกองกำลังต่างชาติ คือการคุกคามต่อความอยู่รอดของรัฐ ซึ่งอาจนำไปสู่การใช้อาวุธนิวเคลียร์ตามหลักการที่ประกาศไว้
ท่าทีของ NATO และสหรัฐฯ รอยร้าวในเอกภาพของพันธมิตรตะวันตก?
การเคลื่อนไหวของมาครงยังสร้างความซับซ้อนให้กับพันธมิตร NATO ทั้งหมด นายเยนส์ สโตลเทนเบิร์ก เลขาธิการ NATO ได้ออกแถลงการณ์อย่างระมัดระวังว่า “NATO ไม่มีแผนที่จะส่งกองกำลังรบเข้าไปในยูเครน” ซึ่งเป็นการตอกย้ำว่า “พันธมิตรของมาครง” เป็นการรวมกลุ่มของประเทศสมาชิกโดยสมัครใจ (Coalition of the Willing) และไม่ใช่ปฏิบัติการภายใต้ธงของ NATO
ขณะที่ทำเนียบขาวของสหรัฐฯ แสดงท่าทีไม่เห็นด้วยอย่างชัดเจน โดยโฆษกสภาความมั่นคงแห่งชาติ จอห์น เคอร์บี กล่าวว่า “ประธานาธิบดีไบเดนยังคงชัดเจนในจุดยืนว่าจะไม่มีการส่งทหารอเมริกันเข้าไปรบในยูเครน” ท่าทีนี้สะท้อนให้เห็นถึงรอยร้าวและความเห็นที่ไม่ตรงกันภายในกลุ่มพันธมิตรตะวันตก ว่าควรจะสนับสนุนยูเครนไปไกลแค่ไหน และเสี่ยงต่อ สงครามโลกหรือไม่
การวิเคราะห์เชิงยุทธศาสตร์ เดิมพันที่เสี่ยงที่สุดของมาครงและอนาคตยุโรป
นักวิเคราะห์มองว่าการตัดสินใจของมาครงเกิดจากปัจจัยซ้อนกันหลายประการ
- สถานการณ์ในแนวรบที่ย่ำแย่ กองทัพยูเครนกำลังเผชิญกับภาวะขาดแคลนกำลังพลและอาวุธอย่างหนัก มีความเสี่ยงที่แนวรบอาจพังทลายลงได้
- ความไม่แน่นอนของสหรัฐฯ ความช่วยเหลือจากสหรัฐฯ ที่ลดลงและผลการเลือกตั้งที่ใกล้เข้ามา ทำให้ยุโรปต้องเตรียมพร้อมที่จะแบกรับภาระด้านความมั่นคงด้วยตนเอง (Strategic Autonomy)
- การทุบโต๊ะเพื่อเจรจา มาครงอาจกำลังสร้างแรงกดดันขั้นสูงสุด เพื่อบีบให้รัสเซียยอมเข้าสู่โต๊ะเจรจาอย่างจริงจัง ภายใต้เงื่อนไขที่ยุโรปยอมรับได้
- การแสดงภาวะผู้นำ มาครงกำลังพยายามสถาปนาตนเองและฝรั่งเศสขึ้นเป็นผู้นำด้านความมั่นคงของยุโรป ในยามที่เยอรมนียังคงลังเลและสหราชอาณาจักรอยู่นอกสหภาพยุโรป
ผลกระทบต่อเวทีโลกและมุมมองจากเอเชีย
การยกระดับความขัดแย้งในยุโรปส่งผลกระทบโดยตรงต่อเสถียรภาพโลก ราคาน้ำมันและพลังงานในตลาดโลกพุ่งสูงขึ้นทันทีหลังการประกาศ ตลาดหุ้นทั่วโลกดิ่งลงจากความกังวลในสงคราม สำหรับภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้รวมถึงไทย ผลกระทบอาจเกิดขึ้นได้ทั้งทางตรงและทางอ้อม ตั้งแต่ความผันผวนทางเศรษฐกิจ ไปจนถึงการที่มหาอำนาจต้องทุ่มเททรัพยากรไปยังสมรภูมิยุโรป ซึ่งอาจส่งผลต่อสมดุลอำนาจในภูมิภาคอินโด-แปซิฟิก
บทสรุป โลกที่กำลังกลั้นหายใจ
การประกาศของประธานาธิบดีมาครงได้ฉีกตำราการทูตเล่มเดิมทิ้งไป และลากโลกเข้าสู่สถานการณ์ที่อันตรายและคาดเดายากที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์สมัยใหม่ บอลได้ถูกส่งไปอยู่ในสนามของ วลาดิมีร์ ปูติน แล้ว และการตัดสินใจของเขาในอีกไม่กี่วันข้างหน้า จะเป็นตัวกำหนดว่า สงครามยูเครนล่าสุด จะเดินไปสู่จุดสิ้นสุดบนโต๊ะเจรจา หรือจะบานปลายไปสู่การเผชิญหน้าที่โลกทั้งใบไม่อยากให้เกิดขึ้น
แหล่งที่มาจาก : am2con