วันที่ 1 กันยายน 2568 – ณ ทำเนียบนายกรัฐมนตรี เลขที่ 10 ถนนดาวนิง กรุงลอนดอน บรรยากาศทางการเมืองของสหราชอาณาจักรกำลังร้อนระอุยิ่งกว่าครั้งไหนๆ เมื่อนายกรัฐมนตรี ริชี ซูนัค ได้ประกาศจุดยืนอย่างแข็งกร้าว ยืนยันที่จะเดินหน้านโยบายเรือธงในการ ส่งกลับผู้ลี้ภัยผิดกฎหมาย ที่เดินทางข้าม ช่องแคบอังกฤษ ด้วยเรือเล็ก ไปยังประเทศรวันดาในทวีปแอฟริกา คำประกาศนี้ไม่เพียงแต่เป็นการส่งสารที่ชัดเจนไปยังขบวนการค้ามนุษย์ แต่ยังเป็นการวางเดิมพันครั้งสำคัญต่ออนาคตทางการเมืองของตัวเขาเองและ พรรคอนุรักษ์นิยม ท่ามกลางแรงกดดันมหาศาลจากทั้งภายในและภายนอกประเทศ บทความนี้จะพาไปสำรวจทุกมิติของ นโยบายผู้ลี้ภัยอังกฤษ ที่กำลังเป็นที่ถกเถียงที่สุดในประวัติศาสตร์สมัยใหม่ ตั้งแต่ที่มาที่ไป, ความท้าทายทางกฎหมาย, เสียงสะท้อนจากสังคม และผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นในวงกว้าง
นายกรัฐมนตรี ริชี ซูนัค ผู้นำสหราชอาณาจักร ได้ตอกย้ำคำมั่นสัญญาสำคัญที่ให้ไว้กับประชาชน คือการ “หยุดเรือเล็ก (Stop the Boats)” ด้วยการยืนยันว่าจะไม่มีการผ่อนปรนต่อนโยบาย ส่งกลับผู้ลี้ภัยผิดกฎหมาย ไปยังรวันดา แม้จะต้องเผชิญกับการต่อต้านอย่างหนักจากกลุ่มสิทธิมนุษยชน, เสียงคัดค้านจากพรรคแรงงานซึ่งเป็นฝ่ายค้าน และความท้าทายจาก ศาลสิทธิมนุษยชนยุโรป (ECHR) การตัดสินใจครั้งนี้ถูกมองว่าเป็นความพยายามครั้งสุดท้ายของรัฐบาลพรรคอนุรักษ์นิยมในการกอบกู้คะแนนนิยมที่ตกต่ำและแสดงให้เห็นถึงภาวะผู้นำที่เด็ดขาด แต่ในขณะเดียวกันก็ได้จุดชนวนคำถามสำคัญถึงต้นทุนด้านมนุษยธรรมและสถานะของสหราชอาณาจักรบนเวทีโลก
ต้นตอของวิกฤต ทำไม “เรือเล็ก” จึงกลายเป็นวาระแห่งชาติ?
ปัญหาผู้อพยพที่เดินทางเข้าสหราชอาณาจักรไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่ “วิกฤตเรือเล็ก” (Small Boats Crisis) ได้ทวีความรุนแรงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา
- สถิติที่น่าตกใจ จำนวนผู้ลี้ภัยที่เดินทางข้ามช่องแคบอังกฤษด้วยเรือยางหรือเรือประมงขนาดเล็กเพิ่มขึ้นจากหลักร้อยคนต่อปีในช่วงก่อนปี 2018 มาเป็นหลายหมื่นคนต่อปีในปัจจุบัน ตัวเลขล่าสุดจากกระทรวงมหาดไทยของอังกฤษชี้ว่าในปีที่ผ่านมามีผู้เดินทางเข้ามาด้วยวิธีนี้มากกว่า 45,000 คน
- เส้นทางอันตราย ช่องแคบอังกฤษเป็นหนึ่งในเส้นทางเดินเรือที่พลุกพล่านและอันตรายที่สุดในโลก การเดินทางด้วยเรือที่ไม่เหมาะสมทำให้เกิดโศกนาฏกรรมหลายครั้ง มีผู้เสียชีวิตและสูญหายจำนวนมาก
- ภาระของรัฐ การหลั่งไหลเข้ามาของผู้ลี้ภัยสร้างแรงกดดันอย่างหนักต่อระบบสวัสดิการสังคม, ที่พักพิง, และกระบวนการพิจารณาสถานะผู้ลี้ภัยที่ล่าช้าและมีค่าใช้จ่ายสูงลิ่ว รัฐบาลอังกฤษต้องใช้งบประมาณหลายพันล้านปอนด์ต่อปีในการดูแลผู้ขอลี้ภัยเหล่านี้
จากแรงกดดันดังกล่าว ทำให้รัฐบาลพรรคอนุรักษ์นิยมภายใต้การนำของ ริชี ซูนัค ซึ่งประกาศให้การ “หยุดเรือเล็ก” เป็น 1 ใน 5 ภารกิจเร่งด่วนของรัฐบาล ต้องหามาตรการที่ “เด็ดขาด” เพื่อแก้ไขปัญหา และนั่นคือที่มาของนโยบายที่กลายเป็นประเด็นถกเถียงไปทั่วโลก
แกะกล่อง “แผนรวันดา” นวัตกรรมหรือทางตัน?
นโยบายส่งผู้ลี้ภัยไปรวันดาคืออะไร? แนวคิดหลักของ แผนการส่งผู้ลี้ภัยไปรวันดา (Rwanda Scheme) คือการทำข้อตกลงกับรัฐบาลรวันดา เพื่อส่งตัวผู้ขอลี้ภัยที่เดินทางเข้าสหราชอาณาจักรอย่างผิดกฎหมาย (โดยไม่คำนึงถึงสัญชาติ) ไปยังรวันดาเพื่อดำเนินการตามกระบวนการขอลี้ภัยที่นั่นแทน
วัตถุประสงค์หลักของนโยบาย
- ป้องปราม (Deterrence) ทำให้การเดินทางข้ามช่องแคบอังกฤษเป็นทางเลือกที่ไม่น่าดึงดูดใจอีกต่อไป โดยผู้ลี้ภัยจะรู้ว่าจุดหมายปลายทางของพวกเขาอาจไม่ใช่สหราชอาณาจักร แต่เป็นประเทศในแอฟริกากลาง
- ทำลายโมเดลธุรกิจของแก๊งค้ามนุษย์ ตัดวงจรของขบวนการที่เก็บเงินค่าเดินทางจากผู้ลี้ภัยในราคาแพงมหาศาล
- ลดภาระของระบบในประเทศ ย้ายกระบวนการพิจารณาและดูแลผู้ลี้ภัยออกจากแผ่นดินอังกฤษ
สถานการณ์ผู้ลี้ภัยในอังกฤษล่าสุด จึงตกอยู่ภายใต้นโยบายนี้อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ผู้ที่เดินทางมาถึงจะถูกควบคุมตัวและอาจถูกส่งขึ้นเครื่องบินไปยังรวันดา ซึ่งเป็นจุดที่ก่อให้เกิดการต่อสู้ทางกฎหมายและศีลธรรมอย่างรุนแรง
พายุแห่งการต่อต้าน สงครามกฎหมายและสมรภูมิความคิด
นับตั้งแต่มีการประกาศนโยบายนี้ รัฐบาลของซูนัคต้องเผชิญกับอุปสรรคมากมาย
- การต่อสู้ในชั้นศาล
- ศาลฎีกาอังกฤษ ก่อนหน้านี้ ศาลฎีกาเคยมีคำวินิจฉัยว่าแผนการนี้ “ผิดกฎหมาย” เนื่องจากรวันดายังไม่ถือเป็นประเทศที่สามที่ปลอดภัยเพียงพอ ซึ่งอาจทำให้ผู้ลี้ภัยที่ถูกส่งไปเสี่ยงต่อการถูกส่งกลับไปยังประเทศต้นทางที่พวกเขาหลบหนีมา (หลักการ Non-refoulement)
- กฎหมายใหม่เพื่อตอบโต้ เพื่อตอบโต้คำตัดสินดังกล่าว รัฐบาลได้ผลักดัน “ร่างกฎหมายความปลอดภัยของรวันดา” (Safety of Rwanda Bill) ผ่านรัฐสภา ซึ่งเป็นการออกกฎหมายเพื่อ “ประกาศ” ให้รวันดาเป็นประเทศที่ปลอดภัย เป็นการใช้อำนาจนิติบัญญัติเพื่อลบล้างคำตัดสินของฝ่ายตุลาการ
- แรงต้านจากศาลสิทธิมนุษยชนยุโรป (ECHR) ในอดีต ECHR เคยมีคำสั่งชั่วคราวให้ระงับเที่ยวบินแรกที่จะส่งผู้ลี้ภัยไปยังรวันดาในนาทีสุดท้าย ซึ่งสร้างความไม่พอใจอย่างมากให้กับฝ่ายรัฐบาล และจุดกระแสเรียกร้องให้อังกฤษถอนตัวจากอนุสัญญาสิทธิมนุษยชนยุโรป
- เสียงคัดค้านจากภายใน
- พรรคแรงงาน ประณามนโยบายนี้ว่า “ไร้มนุษยธรรมและมีค่าใช้จ่ายสูง” โดยให้คำมั่นว่าจะยกเลิกนโยบายนี้ทันทีหากได้เป็นรัฐบาล
- องค์กรการกุศลและกลุ่มสิทธิมนุษยชน ชี้ว่าเป็นการละเมิดกฎหมายผู้ลี้ภัยระหว่างประเทศอย่างชัดเจน และเป็นการ “ซื้อขาย” ชีวิตมนุษย์
- ประชาชน ความคิดเห็นของสาธารณชนแตกออกเป็นสองฝ่าย ฝ่ายหนึ่งสนับสนุนมาตรการเด็ดขาดเพื่อควบคุมพรมแดน ขณะที่อีกฝ่ายมองว่าเป็นนโยบายที่โหดร้ายและทำลายชื่อเสียงของประเทศ
ราคาที่ต้องจ่าย ค่าใช้จ่ายมหาศาลและต้นทุนทางศีลธรรม
อีกหนึ่งคำถามสำคัญคือ ค่าใช้จ่ายแผนส่งผู้ลี้ภัยไปรวันดา นั้นคุ้มค่าหรือไม่?
- ตัวเลขที่เปิดเผย รัฐบาลอังกฤษได้จ่ายเงินให้แก่รัฐบาลรวันดาไปแล้วหลายร้อยล้านปอนด์ และคาดว่าค่าใช้จ่ายทั้งหมดของโครงการนี้อาจสูงถึงหลายพันล้านปอนด์
- ความคุ้มค่า นักวิจารณ์ชี้ว่า ค่าใช้จ่าย ในการส่งผู้ลี้ภัยหนึ่งคนไปยังรวันดานั้นสูงกว่าค่าใช้จ่ายในการดูแลพวกเขาในอังกฤษเสียอีก ทำให้เกิดคำถามถึงประสิทธิภาพและความคุ้มค่าของนโยบายนี้ในเชิงเศรษฐศาสตร์
- ต้นทุนที่ประเมินค่าไม่ได้ คือต้นทุนด้านชื่อเสียงและภาพลักษณ์ของสหราชอาณาจักรในฐานะประเทศที่เคยเป็นผู้นำด้านสิทธิมนุษยชน การผลักดันนโยบายนี้ถูกมองว่าเป็นการลดทอนคุณค่าด้านมนุษยธรรมที่ประเทศเคยยึดถือ
บทสรุป อนาคตที่ไม่แน่นอนบนเส้นทางเดิมพันของซูนัค
การที่ นายกฯอังกฤษล่าสุด ประกาศเดินหน้าเต็มกำลังในนโยบาย ส่งกลับผู้ลี้ภัยผิดกฎหมาย คือการเดิมพันครั้งใหญ่ที่สุดในชีวิตการเมืองของเขา หากนโยบายนี้สำเร็จ สามารถหยุดยั้งเรือเล็กและลดจำนวนผู้อพยพได้อย่างที่ประกาศไว้ มันอาจกลายเป็นผลงานชิ้นโบแดงที่ช่วยให้พรรคอนุรักษ์นิยมพลิกฟื้นสถานการณ์และชนะการเลือกตั้งครั้งต่อไปได้
แต่หากนโยบายนี้ล้มเหลว ไม่ว่าจะด้วยอุปสรรคทางกฎหมาย, ค่าใช้จ่ายที่บานปลาย, หรือการไม่สามารถหยุดยั้งการเดินทางได้จริง มันจะไม่ใช่แค่ความล้มเหลวเชิงนโยบาย แต่จะเป็นตราบาปที่ติดตัวรัฐบาลชุดนี้ไปตลอดกาล และอาจกลายเป็นฟางเส้นสุดท้ายที่ทำให้ประชาชนหมดความอดทน
สถานการณ์ผู้ลี้ภัยในอังกฤษ และอนาคตของคนหลายพันคนที่กำลังสิ้นหวังบนชายฝั่งฝรั่งเศส รวมถึงอนาคตทางการเมืองของผู้นำอังกฤษ เวลานี้ทั้งหมดได้ถูกแขวนไว้บนเส้นด้ายบางๆ ที่เรียกว่า “แผนรวันดา” ซึ่งผลลัพธ์สุดท้ายจะเป็นอย่างไร มีเพียงเวลาเท่านั้นที่จะให้คำตอบได้
แหล่งที่มาจาก : am2con