จาการ์ตา, อินโดนีเซีย – ท่ามกลางสายฝนที่ยังคงโปรยปรายลงมาอย่างไม่ขาดสาย แผ่นดินของหมู่เกาะอินโดนีเซียกำลังร่ำไห้ ล่าสุดสถานการณ์ น้ำท่วมอินโดนีเซียล่าสุด ได้ยกระดับจากภัยธรรมชาติประจำฤดูกาล กลายเป็นโศกนาฏกรรมครั้งประวัติศาสตร์ เมื่อสำนักงานจัดการภัยพิบัติแห่งชาติ (BNPB) แถลงยืนยันตัวเลขผู้เสียชีวิตที่พุ่งทะลุ 900 รายอย่างเป็นทางการในช่วงเช้าวันนี้ (9 ธ.ค.) ทิ้งให้ภาพความเสียหายกลายเป็นฝันร้ายที่ยากจะลืมเลือน แต่สิ่งที่น่าสะพรึงกลัวยิ่งกว่ามวลน้ำ คือคำเตือนด่วนที่สุดจากผู้ว่าราชการจังหวัดในพื้นที่ประสบภัยที่ระบุว่า “ผู้รอดชีวิตกำลังจะตายเพราะความหิวโหย”

นรกบนดิน เมื่อภูเขาถล่มทับความหวัง
เหตุการณ์ทวิภัยพิบัติ (Double Disaster) ที่ผสมผสานระหว่างน้ำป่าไหลหลาก (Flash Floods) และดินโคลนถล่ม (Landslides) ได้เกิดขึ้นต่อเนื่องตลอด 72 ชั่วโมงที่ผ่านมา โดยจุดศูนย์กลางความเสียหายรุนแรงที่สุดอยู่ที่พื้นที่ภูเขาในเกาะสุมาตราและชวาตะวันตก ฝนที่ตกลงมาอย่างหนัก หรือที่นักอุตุนิยมวิทยาเรียกว่า “Rain Bomb” ได้ทำให้ดินบนภูเขาอุ้มน้ำจนเกินขีดจำกัด ก่อนจะพังทลายลงมากลบฝังหมู่บ้านหลายสิบแห่งในยามวิกาล ขณะที่ชาวบ้านส่วนใหญ่กำลังหลับสนิท
ภาพถ่ายทางอากาศเผยให้เห็นสภาพภูมิประเทศที่เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง หมู่บ้านที่เคยเขียวขจีถูกแทนที่ด้วยสีน้ำตาลเข้มของโคลนตม อาคารบ้านเรือนถูกบดขยี้จนไม่เหลือเค้าโครงเดิม สะพานคอนกรีตขนาดใหญ่ขาดสะบั้น ตัดขาดการเชื่อมต่อระหว่างโลกภายนอกกับผู้ประสบภัยนับแสนคน
นายอับดุล มูฮารี (Abdul Muhari) โฆษก BNPB แถลงด้วยน้ำเสียงสั่นเครือว่า
“ตัวเลข 900 ศพ เป็นเพียงสิ่งที่เรากู้ร่างขึ้นมาได้ แต่ยังมีผู้สูญหายอีกนับพันคนที่ถูกฝังอยู่ใต้โคลนลึกกว่า 5 เมตร ความหวังที่จะพบผู้รอดชีวิตใต้ซากปรักหักพังเริ่มริบหรี่ลงทุกนาที แต่สิ่งที่เรากังวลที่สุดตอนนี้คือคนที่ยังมีชีวิตอยู่… พวกเขากำลังรอความตายหากเราเข้าไปไม่ถึง”
คำเตือนจากผู้ว่าฯ “เรากำลังนับถอยหลังสู่วิกฤตความอดอยาก”
ประเด็นที่ถูกจับตามองที่สุดในขณะนี้ ไม่ใช่แค่ปฏิบัติการกู้ภัย แต่คือ “วิกฤตโลจิสติกส์”
ผู้ว่าราชการจังหวัดในพื้นที่ประสบภัยร้ายแรง (ขอสงวนนามเพื่อความปลอดภัยของแหล่งข่าว) ได้ออกมาส่งสัญญาณ SOS ผ่านวิทยุสื่อสารฉุกเฉิน โดยระบุว่าประชาชนในพื้นที่ห่างไกลกว่า 50,000 คน ไม่ได้รับประทานอาหารมาแล้วกว่า 3 วัน คลังอาหารสำรองของหมู่บ้านถูกน้ำซัดหายไปจนหมดสิ้น และระบบประปาถูกทำลายโดยสิ้นเชิง
“สถานการณ์ตอนนี้เข้าขั้นวิกฤตสูงสุด (Catastrophic Level) ถนนทุกสายถูกตัดขาด เฮลิคอปเตอร์ไม่สามารถลงจอดได้เพราะทัศนวิสัยแย่ หากเสบียงอาหารและยาไม่ถึงมือประชาชนภายใน 24 ชั่วโมงข้างหน้า เราจะไม่ได้เห็นคนตายเพราะจมน้ำ แต่จะเห็นคนตายเพราะความอดอยากและโรคระบาด” ผู้ว่าฯ กล่าวเน้นย้ำ
เสียงสะท้อนจากภาคสนามสอดคล้องกับรายงานขององค์กรพัฒนาเอกชน (NGOs) นานาชาติที่ระบุว่า เด็กและผู้สูงอายุเริ่มมีภาวะขาดน้ำรุนแรง (Severe Dehydration) และโรคอุจจาระร่วงกำลังเริ่มระบาดในศูนย์พักพิงชั่วคราวที่แออัด

เบื้องหลังหายนะ ธรรมชาติลงโทษ หรือ ฝีมือมนุษย์?
แม้ น้ำท่วมอินโดนีเซียล่าสุด จะมีปัจจัยหลักมาจากปรากฏการณ์ลานีญา (La Niña) ที่ทำให้ปริมาณน้ำฝนเพิ่มขึ้นกว่าปกติถึง 40% แต่ผู้เชี่ยวชาญด้านสิ่งแวดล้อมต่างชี้เป็นเสียงเดียวกันว่า “ความรุนแรงระดับนี้ ไม่ใช่แค่เรื่องของฟ้าฝน”
ดร. ซูซานโต (Dr. Susanto) นักวิชาการด้านธรณีวิทยาจากมหาวิทยาลัยในจาการ์ตา วิเคราะห์ว่า
“สิ่งที่เราเห็นคือผลลัพธ์ของการทำลายป่า (Deforestation) ที่สะสมมานานหลายทศวรรษ พื้นที่ป่าต้นน้ำถูกเปลี่ยนเป็นเหมืองแร่และไร่ปาล์มน้ำมัน ทำให้ดินสูญเสียโครงสร้างรากยึดเกาะ เมื่อเจอกับฝนตกหนักแบบ Extreme Weather จากภาวะโลกร้อน ภูเขาจึงกลายเป็นระเบิดโคลนที่พร้อมถล่มลงมาสังหารผู้คนได้ทุกเมื่อ”
ข้อมูลสถิติระบุว่า พื้นที่ป่าในเกาะสุมาตราลดลงอย่างน่าใจหายในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา ซึ่งแปรผกผันกับจำนวนเหตุการณ์ดินถล่มที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ นี่คือราคาที่ต้องจ่ายสำหรับการพัฒนาเศรษฐกิจที่ไม่สมดุลกับธรรมชาติ
ปฏิบัติการกู้ชีพ แข่งกับเวลาและโชคชะตา
รัฐบาลกลางอินโดนีเซีย โดยประธานาธิบดี ได้สั่งระดมกำลังทหารและตำรวจกว่า 20,000 นาย เข้าสู่พื้นที่ประสบภัย พร้อมทั้งประกาศจัดสรรงบประมาณฉุกเฉินเพื่อฟื้นฟูเส้นทางคมนาคม แต่ความพยายามดังกล่าวยังคงเผชิญอุปสรรคใหญ่หลวง
- สภาพอากาศปิด ฝนที่ยังตกลงมาทำให้การบินสำรวจและขนส่งทางอากาศเป็นไปอย่างยากลำบาก
- ดินสไลด์ซ้ำซ้อน เส้นทางที่เพิ่งเคลียร์เปิดทาง มักถูกดินถล่มปิดทับอีกครั้งในเวลาไม่กี่ชั่วโมง
- อุปกรณ์ไม่เพียงพอ เครื่องจักรหนัก (Heavy Machinery) ไม่สามารถเข้าถึงจุดเกิดเหตุลึกๆ ได้ ทำให้กู้ภัยต้องใช้เพียงจอบ เสียม และมือเปล่า ในการขุดหาผู้รอดชีวิต

นัยยะต่ออาเซียนและบทเรียนสำหรับไทย
เหตุการณ์ น้ำท่วมอินโดนีเซียล่าสุด ไม่ใช่เรื่องไกลตัวสำหรับภูมิภาคอาเซียน โดยเฉพาะภาคใต้ของประเทศไทย ซึ่งมีลักษณะภูมิประเทศและได้รับอิทธิพลจากลมมรสุมในลักษณะคล้ายคลึงกัน
ศูนย์เตือนภัยพิบัติแห่งชาติของไทยควรจับตาสถานการณ์นี้อย่างใกล้ชิด เนื่องจากมวลอากาศเย็นและร่องมรสุมที่พาดผ่านอินโดนีเซีย อาจส่งผลกระทบต่อเนื่องมายังคาบสมุทรมลายูและภาคใต้ตอนล่างของไทยในช่วงสัปดาห์หน้า การเตรียมความพร้อมรับมือดินโคลนถล่มในพื้นที่ลาดชัน จึงเป็นบทเรียนเร่งด่วนที่ต้องถอดรหัสจากโศกนาฏกรรมครั้งนี้
บทสรุป ความช่วยเหลือที่ต้องไปให้ถึง ก่อนจะสายเกินแก้
ตัวเลข 900 ศพ คือความสูญเสียที่ประเมินค่าไม่ได้ แต่สำหรับผู้รอดชีวิต สงครามของพวกเขายังไม่จบ พวกเขากำลังต่อสู้กับศัตรูที่มองไม่เห็น นั่นคือความหิวโหย ความหนาวเหน็บ และความสิ้นหวัง
สถานการณ์ในอินโดนีเซียขณะนี้ เรียกร้องความร่วมมือจากนานาชาติอย่างเร่งด่วน ไม่ใช่เพียงแค่การส่งสารแสดงความเสียใจ แต่คือการสนับสนุนด้านทรัพยากร อาหารแห้ง ยารักษาโรค และทีมแพทย์สนาม การก้าวผ่านวิกฤตครั้งนี้จะเป็นบททดสอบสำคัญของมนุษยธรรม และเป็นเครื่องเตือนใจที่ทรงพลังที่สุดว่า ในยุคที่โลกเดือดดาล ภัยธรรมชาติสามารถพรากทุกสิ่งไปได้ในชั่วพริบตา หากเรายังคงเพิกเฉยต่อสัญญาณเตือนจากธรรมชาติ
แหล่งที่มาจาก : am2con