ฮอลลีวูดคว่ำบาตรอิสราเอล อุตสาหกรรมบันเทิงโลกกำลังเผชิญกับแรงสั่นสะเทือนครั้งใหญ่ที่สุดในรอบหลายทศวรรษ หลังจากกลุ่มพันธมิตรสมาคมวิชาชีพทรงอิทธิพลในฮอลลีวูด ซึ่งนำโดยสมาคมนักแสดงภาพยนตร์และโทรทัศน์ (SAG-AFTRA) และสมาคมนักเขียนแห่งอเมริกา (WGA) ได้ออกแถลงการณ์ร่วมประกาศ คว่ำบาตรสถาบันภาพยนตร์ที่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลอิสราเอล ทุกแห่งอย่างเป็นทางการ มติดังกล่าวซึ่งมีผลบังคับใช้ในทันที มีขึ้นเพื่อตอบโต้สิ่งที่พวกเขาเรียกว่า “การละเมิดสิทธิมนุษยชนต่อชาวปาเลสไตน์อย่างเป็นระบบและต่อเนื่อง” การตัดสินใจที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนนี้ ได้เปลี่ยนศูนย์กลางอำนาจทางวัฒนธรรมของโลกให้กลายเป็นเวทีแห่งการเผชิญหน้าทางการเมืองอย่างเต็มตัว และจุดชนวนการถกเถียงอันเผ็ดร้อนไปทั่วโลกถึงบทบาท ความรับผิดชอบ และเส้นแบ่งที่เปราะบางระหว่างศิลปะกับการเมืองในยุคสมัยแห่งความขัดแย้ง
ฮอลลีวูดคว่ำบาตรอิสราเอล เบื้องหลังมติประวัติศาสตร์ อะไรคือ “ฟางเส้นสุดท้าย”?
การตัดสินใจคว่ำบาตรครั้งนี้ไม่ได้เกิดขึ้นในสุญญากาศ แต่เป็นผลลัพธ์ของการล็อบบี้และแรงกดดันที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องจากกลุ่มศิลปินนักเคลื่อนไหวภายในฮอลลีวูดตลอดหลายปีที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม แหล่งข่าวภายในเปิดเผยว่า “ฟางเส้นสุดท้าย” ที่ผลักดันให้เกิดมติที่เป็นรูปธรรมคือเหตุการณ์ล่าสุดที่รัฐบาลอิสราเอลได้ผ่านกฎหมายใหม่ซึ่งจำกัดการให้ทุนแก่ผู้สร้างภาพยนตร์ชาวปาเลสไตน์ที่อาศัยอยู่ในเขตเวสต์แบงก์และเยรูซาเลมตะวันออก ประกอบกับการที่กองกำลังอิสราเอลได้เข้ารื้อถอนศูนย์วัฒนธรรมและโรงละครของชาวปาเลสไตน์ในเขตเวสต์แบงก์เมื่อไม่กี่เดือนก่อน
แถลงการณ์ร่วมจาก SAG-AFTRA และ WGA ระบุอย่างชัดเจนว่าการคว่ำบาตรนี้ ไม่ได้มุ่งเป้าไปที่ตัวบุคคลหรือศิลปินชาวอิสราเอล แต่เป็นการปฏิเสธความร่วมมือกับ “สถาบัน” ที่เป็นเครื่องมือของรัฐโดยตรง มาตรการคว่ำบาตรในทางปฏิบัติจะครอบคลุมถึง
- การปฏิเสธเงินทุน สมาชิกของสมาคมจะไม่รับเงินทุนสนับสนุนการผลิตจากหน่วยงานต่างๆ เช่น Israel Film Fund, The Rabinovich Foundation และกองทุนภาพยนตร์อื่นๆ ที่ได้รับงบประมาณจากรัฐบาลอิสราเอล
- การงดเว้นการเข้าร่วม จะไม่มีการส่งผลงานหรือเข้าร่วมในเทศกาลภาพยนตร์ที่จัดหรือสนับสนุนโดยสถาบันเหล่านี้
- การยุติโครงการความร่วมมือ โครงการผลิตร่วม (Co-production) ใดๆ ที่มีอยู่ระหว่างบริษัทในฮอลลีวูดกับสถาบันดังกล่าวจะถูกระงับการพิจารณาในอนาคต
ประธาน (สมมติ) ของ SAG-AFTRA กล่าวในงานแถลงข่าวว่า “ในฐานะนักเล่าเรื่อง เรามีพลังในการสร้างความเห็นอกเห็นใจและขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลง แต่เราไม่สามารถใช้พลังนั้นในขณะที่มืออีกข้างรับการสนับสนุนจากโครงสร้างที่กดขี่ได้ มโนธรรมของเราไม่อนุญาตให้เราเพิกเฉยต่อเสียงร้องของศิลปินและประชาชนชาวปาเลสไตน์อีกต่อไป”
“ศิลปะปะทะการเมือง” เสียงแตกและความขัดแย้งภายในฮอลลีวูด
ทันทีที่ข่าวการคว่ำบาตรถูกเผยแพร่ออกไป ฮอลลีวูดก็แตกออกเป็นสองฝ่ายอย่างชัดเจน ก่อให้เกิดสงครามวาทกรรมที่รุนแรงทั้งในพื้นที่สาธารณะและเป็นการส่วนตัว
ฝ่ายสนับสนุนการคว่ำบาตร กลุ่มนี้ประกอบด้วยศิลปินนักเคลื่อนไหวจำนวนมาก, ผู้กำกับภาพยนตร์สารคดี, และนักแสดงรุ่นใหม่ที่ตื่นตัวทางการเมือง พวกเขามองว่านี่คือการแสดงออกถึงความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันกับชาวปาเลสไตน์ และเป็นการใช้สถานะคนดังเพื่อสร้างแรงกดดันที่มีความหมาย คล้ายคลึงกับการคว่ำบาตรทางวัฒนธรรมที่เคยใช้ได้ผลกับระบอบการแบ่งแยกสีผิวในแอฟริกาใต้
ฝ่ายคัดค้านการคว่ำบาตร ในทางกลับกัน กลุ่มผู้สร้างภาพยนตร์, ผู้อำนวยการสร้าง, และนักแสดงอาวุโสจำนวนมาก ซึ่งรวมถึงบุคคลสำคัญในชุมชนชาวยิวในฮอลลีวูด ได้ออกมาประณามการตัดสินใจครั้งนี้อย่างรุนแรง โดยให้เหตุผลว่า
- เป็นการลงโทษผิดคน พวกเขายืนยันว่าการคว่ำบาตรสถาบันศิลปะเท่ากับเป็นการลงโทษกลุ่มคนที่มีแนวคิดเสรีนิยมและมักเป็นกระบอกเสียงวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลของตนเองอยู่แล้ว การตัดท่อน้ำเลี้ยงนี้จะทำให้เสียงแห่งสันติภาพในอิสราเอลเงียบลง
- สร้างความแตกแยกและส่งเสริมลัทธิต่อต้านชาวยิว (Antisemitism) มีความกังวลว่าการพุ่งเป้ามาที่อิสราเอลเพียงประเทศเดียว อาจถูกตีความและนำไปใช้เป็นเครื่องมือในการส่งเสริมความเกลียดชังต่อชาวยิวในวงกว้าง
- ศิลปะควรอยู่เหนือการเมือง พวกเขาเชื่อว่าศิลปะและวัฒนธรรมควรเป็นสะพานเชื่อมความเข้าใจระหว่างผู้คน ไม่ใช่สมรภูมิรบทางการเมือง การปิดประตูการสนทนาและการทำงานร่วมกันถือเป็นสิ่งที่อันตราย
ผู้อำนวยการ (สมมติ) ของ Israel Film Fund ได้ให้สัมภาษณ์กับสื่อต่างประเทศว่า “นี่คือวันที่น่าเศร้าสำหรับเสรีภาพทางศิลปะ การตัดสินใจที่เต็มไปด้วยอคตินี้ทำร้ายผู้สร้างภาพยนตร์ที่พยายามจะเล่าเรื่องราวที่ซับซ้อนของภูมิภาคเรา และผลักไสผู้ที่ควรจะเป็นพันธมิตรในการสร้างสันติภาพให้ออกไป”
จาก BDS สู่พรมแดง พัฒนาการของการคว่ำบาตรทางวัฒนธรรม
การเคลื่อนไหวของฮอลลีวูดครั้งนี้ถือเป็นชัยชนะครั้งสำคัญที่สุดของขบวนการ BDS (Boycott, Divestment and Sanctions) ซึ่งเป็นขบวนการระดับโลกที่นำโดยชาวปาเลสไตน์ เพื่อใช้แรงกดดันทางเศรษฐกิจและวัฒนธรรมต่ออิสราเอลให้ยุติการยึดครองดินแดนปาเลสไตน์
ในอดีต การคว่ำบาตรทางวัฒนธรรมมักเป็นเรื่องของศิลปินรายบุคคล เช่น โรเจอร์ วอเตอร์ส จากวง Pink Floyd หรือนักเขียนและนักวิชาการจำนวนหนึ่ง แต่การที่สถาบันหลักของฮอลลีวูดเข้าร่วมด้วยนั้น ได้ยกระดับการเคลื่อนไหวนี้ขึ้นสู่กระแสหลักอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
นักวิเคราะห์มองว่าปัจจัยที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงนี้ได้คือ
- พลังของโซเชียลมีเดีย การเผยแพร่ภาพและข้อมูลเกี่ยวกับ สิทธิชาวปาเลสไตน์ เข้าถึงคนรุ่นใหม่ได้โดยตรงและรวดเร็ว
- การเปลี่ยนแปลงรุ่นในฮอลลีวูด นักแสดงและผู้สร้างภาพยนตร์รุ่นใหม่มีความกล้าที่จะแสดงจุดยืนทางการเมืองที่ชัดเจนมากกว่าคนรุ่นก่อน
- การเรียนรู้จากขบวนการอื่นๆ ความสำเร็จของขบวนการ #MeToo และ #BlackLivesMatter ได้แสดงให้เห็นว่าอุตสาหกรรมบันเทิงสามารถถูกกดดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงจากภายในได้
ผลกระทบในทางปฏิบัติ อนาคตของวงการภาพยนตร์อิสราเอลและปาเลสไตน์
การตัดสินใจของฮอลลีวูดจะส่งผลกระทบอย่างเป็นรูปธรรมต่อวงการภาพยนตร์ในภูมิภาคตะวันออกกลางอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
- สำหรับวงการภาพยนตร์อิสราเอล
- ผู้สร้างภาพยนตร์อิสราเอลจะเผชิญความยากลำบากอย่างยิ่งในการหาเงินทุนจากต่างประเทศและการนำผลงานไปจัดจำหน่ายในตลาดอเมริกาเหนือ
- อาจเกิดภาวะ “สมองไหล” ที่ผู้กำกับและนักเขียนบทมากฝีมือย้ายไปทำงานในยุโรปหรือที่อื่น ๆ ที่มีเงื่อนไขทางการเมืองน้อยกว่า
- สำหรับวงการภาพยนตร์ปาเลสไตน์
- ในระยะสั้น อาจเป็นโอกาสให้เรื่องราวของพวกเขาถูกมองเห็นและได้รับความสนใจจากนานาชาติมากขึ้น
- อาจมีกองทุนหรือโครงการสนับสนุนใหม่ๆ เกิดขึ้นจากกลุ่มศิลปินในฮอลลีวูดเพื่อช่วยเหลือผู้สร้างภาพยนตร์ปาเลสไตน์โดยตรง
- อย่างไรก็ตาม ผู้สร้างภาพยนตร์ชาวปาเลสไตน์คนหนึ่งให้ความเห็นว่า “เรายินดีกับการแสดงความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน แต่สิ่งที่สำคัญกว่าคือการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองที่แท้จริง เราไม่อยากให้เรื่องราวของเรากลายเป็นเพียงเครื่องมือในสงครามวัฒนธรรมของคนอื่น”
นอกจากนี้ เทศกาลภาพยนตร์นานาชาติระดับโลกอย่าง คานส์, เวนิส, เบอร์ลิน และโตรอนโต จะต้องเผชิญกับแรงกดดันมหาศาลในการเลือกว่าจะยังคงรับภาพยนตร์ที่ได้รับการสนับสนุนจากสถาบันของอิสราเอลต่อไปหรือไม่
บทสรุป (Conclusion)
การที่ ฮอลลีวูดคว่ำบาตรอิสราเอล ได้ขีดเส้นแบ่งใหม่ที่ชัดเจนและอันตรายลงบนแผนที่วัฒนธรรมโลก มันได้เปลี่ยนพรมแดงให้กลายเป็นเส้นแบ่งเขตความขัดแย้ง และเปลี่ยนรางวัลออสการ์ให้กลายเป็นประเด็นทางการเมือง การตัดสินใจครั้งนี้ไม่ได้มีคำตอบที่ง่ายหรือถูกต้องที่สุด มันสะท้อนถึงความแตกแยกที่ลึกซึ้งของยุคสมัย ที่ซึ่งศิลปินและผู้เสพศิลปะไม่สามารถแยกตัวเองออกจากความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ได้อีกต่อไป ไม่ว่าผลลัพธ์สุดท้ายจะเป็นอย่างไร สิ่งหนึ่งที่แน่นอนคือ อุตสาหกรรมภาพยนตร์โลกหลังจากวันนี้ จะไม่มีวันเหมือนเดิมอีกต่อไป
แหล่งที่มาจาก : am2con