ท่ามกลางวิกฤตมนุษยธรรมที่ล่มสลายในฉนวนกาซา และแรงกดดันทางการทูตที่หนักหน่วงจากนานาชาติ กลุ่มฮามาสได้ส่งสัญญาณล่าสุดว่าพร้อมที่จะเข้าสู่กระบวนการเจรจาเพื่อ ปล่อยตัวประกัน ที่เหลืออยู่ แลกกับการบรรลุ ข้อตกลงหยุดยิงในกาซา อย่างไรก็ตาม การประกาศดังกล่าวไม่ได้หมายความว่าเส้นทางสู่สันติภาพจะถูกปูด้วยกลีบกุหลาบ ตรงกันข้าม มันกลับเผยให้เห็นถึงช่องว่างขนาดมหึมาของเงื่อนไขและเป้าหมายสุดท้ายที่แตกต่างกันสุดขั้วระหว่างฮามาสและอิสราเอล บทวิเคราะห์นี้จะเจาะลึกถึงความซับซ้อนของข้อเสนอที่อยู่บนโต๊ะเจรจา แรงกดดันจากภายในของแต่ละฝ่าย และบทบาทของตัวกลางระหว่างประเทศที่กำลังเดิมพันอนาคตของภูมิภาคตะวันออกกลาง
แกะรอยข้อเสนอ ‘การหยุดยิงถาวร’ เงื่อนไขชี้ขาดที่อิสราเอลไม่ยอมรับ
หัวใจของความพยายามทางการทูตในปัจจุบัน ซึ่งมี กาตาร์ อียิปต์ และ สหรัฐอเมริกา เป็นตัวกลางสำคัญ คือกรอบข้อตกลงแบบหลายระยะ (multi-phase deal) ที่มุ่งหวังจะยุติการสู้รบและแก้ไขปัญหานักโทษ/ตัวประกัน อย่างไรก็ตาม จุดยืนของทั้งสองฝ่ายยังคงห่างไกลกันในประเด็นพื้นฐานที่สุด
ข้อเรียกร้องของฮามาส
แหล่งข่าวระดับสูงของฮามาสที่สื่อสารผ่านตัวกลาง ได้ระบุเงื่อนไขหลักที่จำเป็นต่อการบรรลุข้อตกลง ซึ่งสะท้อนเป้าหมายทางการเมืองในระยะยาวของกลุ่ม
- การหยุดยิงถาวร (Permanent Ceasefire) นี่คือเงื่อนไขที่สำคัญและต่อรองไม่ได้สำหรับฮามาส พวกเขายืนยันว่าการหยุดยิงชั่วคราวเป็นสิ่งที่ยอมรับไม่ได้ เพราะจะเปิดโอกาสให้อิสราเอลกลับมาโจมตีได้อีกครั้งหลังการแลกเปลี่ยนตัวประกันเสร็จสิ้น
- การถอนทหารอิสราเอลทั้งหมด ฮามาสเรียกร้องให้กองกำลังป้องกันตนเองของอิสราเอล (IDF) ถอนกำลังทั้งหมดออกจากฉนวนกาซา
- การเปิดพรมแดนและการฟื้นฟู ยกเลิกการปิดล้อมฉนวนกาซาโดยสมบูรณ์ และรับประกันความช่วยเหลือระหว่างประเทศสำหรับการฟื้นฟูบูรณะพื้นที่
- การแลกเปลี่ยนนักโทษ ปล่อยตัวนักโทษชาวปาเลสไตน์จำนวนมาก รวมถึงนักโทษระดับสูงที่ถูกตัดสินจำคุกตลอดชีวิต เพื่อแลกกับตัวประกันชาวอิสราเอลที่เหลืออยู่
จุดยืนของอิสราเอล
ในทางกลับกัน คณะรัฐมนตรีสงครามของอิสราเอลภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรี เบนจามิน เนทันยาฮู ยังคงย้ำเป้าหมายหลักของสงครามอย่างไม่เปลี่ยนแปลง ซึ่งขัดแย้งโดยตรงกับข้อเรียกร้องของฮามาส
- การทำลายขีดความสามารถของฮามาส อิสราเอลยืนยันว่าจะไม่ยุติสงครามจนกว่าจะบรรลุเป้าหมายในการทำลายขีดความสามารถทางการทหารและการปกครองของฮามาสให้สิ้นซาก
- การหยุดยิงชั่วคราว อิสราเอลพร้อมพิจารณาการ “หยุดยิงชั่วคราวเพื่อมนุษยธรรม” เพื่อให้มีการปล่อยตัวประกัน แต่ปฏิเสธที่จะผูกมัดกับการหยุดยิงถาวร
- การควบคุมความปลอดภัย อิสราเอลต้องการคงไว้ซึ่งสิทธิ์ในการเข้าปฏิบัติการทางทหารในฉนวนกาซาในอนาคต เพื่อรับประกันความปลอดภัยของตน
- การเจรจาแบบมีเงื่อนไข การเจรจาใดๆ จะต้องไม่กระทบต่อเป้าหมายสูงสุดในการกำจัดฮามาส
“เราจะไม่ยอมถอนกำลังออกจากฉนวนกาซา และเราจะไม่ปล่อยตัวผู้ก่อการร้ายหลายพันคน” นายกรัฐมนตรีเนทันยาฮูกล่าวในแถลงการณ์ล่าสุด ซึ่งเป็นการขีดเส้นตายที่ชัดเจนต่อข้อเรียกร้องหลักของฮามาส
บทบาท ‘คนกลาง’ แรงกดดันทางการทูตจากกาตาร์ อียิปต์ และสหรัฐฯ
ความพยายามอย่างหนักหน่วงที่สุดเกิดขึ้นหลังฉาก โดยมีโดฮาและไคโรเป็นศูนย์กลางของการเจรจา ขณะที่วอชิงตันพยายามใช้แรงกดดันทางการทูตต่อพันธมิตรอย่างอิสราเอล บทบาทของแต่ละฝ่ายมีความสำคัญอย่างยิ่ง
- กาตาร์ ใช้ช่องทางการสื่อสารโดยตรงกับฝ่ายการเมืองของฮามาสซึ่งมีฐานที่มั่นอยู่ในโดฮา
- อียิปต์ มีพรมแดนติดกับกาซาและมีความสัมพันธ์กับทั้งฝ่ายความมั่นคงของอิสราเอลและกลุ่มปาเลสไตน์ต่างๆ มาอย่างยาวนาน
- สหรัฐอเมริกา พยายามผลักดันให้อิสราเอลยอมรับกรอบข้อตกลงที่ยืดหยุ่นมากขึ้น โดยชี้ให้เห็นถึงต้นทุนด้านมนุษยธรรมและชื่อเสียงในเวทีโลกที่อิสราเอลต้องจ่าย
อย่างไรก็ตาม แม้จะมีความพยายามอย่างเต็มที่ แต่ตัวกลางก็ยังไม่สามารถทลายกำแพงแห่งความไม่ไว้วางใจและเป้าหมายที่ขัดแย้งกันของคู่ขัดแย้งหลักได้
แรงกดดันจากภายใน เดิมพันทางการเมืองของเนทันยาฮูและผู้นำฮามาส
การตัดสินใจของผู้นำทั้งสองฝ่ายไม่ได้เกิดขึ้นในสุญญากาศ แต่ถูกขับเคลื่อนด้วยแรงกดดันทางการเมืองภายในที่รุนแรง
- ฝั่งอิสราเอล นายกรัฐมนตรีเนทันยาฮูเผชิญแรงกดดันจากสองทาง ด้านหนึ่งคือครอบครัวของตัวประกันและประชาชนที่ต้องการให้รัฐบาลทำทุกวิถีทางเพื่อนำคนรักของพวกเขากลับบ้าน แต่อีกด้านหนึ่งคือพรรคร่วมรัฐบาลขวาจัดที่ขู่จะถอนตัวจากรัฐบาลทันทีหากมีการยอมรับข้อตกลงที่พวกเขาเห็นว่า “ยอมจำนน” ต่อฮามาส
- ฝั่งฮามาส ผู้นำฮามาสในกาซา โดยเฉพาะ ยะห์ยา ซินวาร์ ถูกมองว่ากำลังใช้ตัวประกันเป็นเครื่องมือต่อรองที่สำคัญที่สุดเพื่อความอยู่รอดของกลุ่ม การยอมรับข้อตกลงที่ไม่รวมการหยุดยิงถาวรจะถูกมองว่าเป็นการพ่ายแพ้ทางยุทธศาสตร์
ฉากทัศน์ด้านมนุษยธรรม เสียงร้องจากกาซาที่ดังขึ้นทุกขณะ
เบื้องหลังการต่อรองทางการเมืองและการทหาร คือวิกฤตมนุษยธรรมที่เลวร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์ของฉนวนกาซา รายงานล่าสุดจากองค์การสหประชาชาติและองค์กรสิทธิมนุษยชนต่างๆ ระบุตรงกันว่า
- ผู้พลัดถิ่น ประชากรกว่า 85% ของกาซา (ราว 1.9 ล้านคน) ต้องพลัดถิ่นจากบ้านเรือน
- ความอดอยาก ระบบสาธารณสุขล่มสลาย ประชาชนส่วนใหญ่กำลังเผชิญกับความไม่มั่นคงทางอาหารในระดับรุนแรง และเสี่ยงต่อภาวะอดอยาก
- ความเสียหาย โครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญ รวมถึงโรงพยาบาล โรงเรียน และบ้านเรือน ถูกทำลายอย่างหนัก
สถานการณ์นี้เป็นปัจจัยเร่งที่ทำให้ประชาคมโลกต้องเรียกร้องให้มีการหยุดยิงโดยเร็วที่สุด ซึ่งเป็นหนึ่งในคำถามที่ผู้คนค้นหาบ่อยครั้ง ข้อตกลงหยุดยิงล่าสุดมีอะไรบ้าง? แต่คำตอบยังคงอยู่ในความไม่แน่นอนของการเจรจา
มุมมองเสริม ผลกระทบต่อเสถียรภาพตะวันออกกลางและไทย
ความขัดแย้งที่ยืดเยื้อนี้ส่งผลกระทบเป็นวงกว้างต่อเสถียรภาพของตะวันออกกลาง โดยมีความเสี่ยงที่จะเกิดสงครามในระดับภูมิภาคอยู่ตลอดเวลา โดยเฉพาะแนวรบกับกลุ่มฮิซบอลเลาะห์ในเลบานอน สำหรับประเทศไทยและภูมิภาคอาเซียน ผลกระทบทางอ้อมเกิดขึ้นผ่านราคาพลังงานที่ผันผวนและความปลอดภัยของแรงงานไทยในพื้นที่
บทสรุป ความหวังริบหรี่บนโต๊ะเจรจา
แม้ว่าการที่ฮามาสแสดงความพร้อมที่จะเจรจาจะถือเป็นสัญญาณบวก แต่ ความคืบหน้าเจรจาหยุดยิงอิสราเอล-ฮามาส ยังคงเผชิญกับอุปสรรคสำคัญที่ยังไม่สามารถก้าวข้ามได้ นั่นคือความแตกต่างเชิงพื้นฐานในเป้าหมายสุดท้ายของสงคราม อิสราเอลต้องการทำลายฮามาส ในขณะที่ฮามาสต้องการความอยู่รอดและชัยชนะทางการเมือง
ตราบใดที่ช่องว่างนี้ยังไม่ถูก γεφυρωθεί (gefyrōtheí – เชื่อมต่อกัน) ด้วยการประนีประนอมที่เจ็บปวดจากทั้งสองฝ่าย หรือแรงกดดันที่ทรงพลังอย่างแท้จริงจากนานาชาติ ชะตากรรมของตัวประกันที่เหลืออยู่และพลเรือนหลายล้านคนในกาซาก็ยังคงแขวนอยู่บนเส้นด้าย ท่ามกลางการเจรจาที่อาจเป็นเพียงความหวังริบหรี่ในอุโมงค์มืดของสงคราม
แหล่งที่มาจาก : am2con