นิวเดลี, อินเดีย – ท่ามกลางกระแสความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลกและเงาของ นโยบายทรัมป์ 2.0 ที่อาจกลับมากำหนดทิศทางการค้าโลกอีกครั้ง รัฐบาลอินเดียภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรี นเรนทระ โมที ได้ประกาศใช้มาตรการเชิงรุกครั้งสำคัญ ด้วยการตัดสินใจ ลดภาษีพลังงานสะอาด สำหรับอุปกรณ์หลัก เช่น แผงโซลาร์เซลล์ และส่วนประกอบกังหันลม มากกว่าครึ่งหนึ่ง การเคลื่อนไหวที่ประกาศโดยรัฐมนตรีคลัง Nirmala Sitharaman เมื่อวันที่ 5 กันยายน 2568 นี้ ไม่ได้เป็นเพียงความพยายาม กระตุ้นเศรษฐกิจอินเดีย และบรรลุเป้าหมายด้านสภาพภูมิอากาศเท่านั้น แต่นักวิเคราะห์ระหว่างประเทศมองว่านี่คือการเดินหมากทางภูมิรัฐศาสตร์ที่ล้ำลึก เพื่อสร้างความแข็งแกร่งให้กับอุตสาหกรรมภายในภายใต้นโยบาย “Make in India” และเตรียมตั้งรับ สงครามการค้าพลังงาน ที่อาจปะทุขึ้นในอนาคตอันใกล้
เจาะลึกมาตรการ อินเดียหั่นภาษีอะไรบ้างและเพื่ออะไร?
ในการแถลงข่าวพิเศษซึ่งถูกจับตามองจากทั่วโลก รัฐมนตรีคลัง Nirmala Sitharaman ได้เปิดเผยรายละเอียดของมาตรการลดภาษีสินค้าและบริการ (Goods and Services Tax – GST) สำหรับอุตสาหกรรมพลังงานสะอาด โดยมีสาระสำคัญดังนี้
- ลดภาษีแผงโซลาร์เซลล์และอินเวอร์เตอร์ จากเดิม 12-18% (ขึ้นอยู่กับชนิด) ลดลงเหลือเพียง 5%
- ลดภาษีส่วนประกอบกังหันลม จากเดิม 12% ลดลงเหลือ 5%
- ลดภาษีระบบกักเก็บพลังงาน (Battery Storage) ปรับลดภาษีสำหรับแบตเตอรี่ลิเธียมไอออนที่ผลิตในประเทศ เพื่อส่งเสริมการสร้าง ห่วงโซ่อุปทาน ครบวงจร
เป้าหมายหลักของนโยบาย อินเดียลดภาษีพลังงานสะอาด ครั้งนี้ มีความชัดเจนใน 3 มิติ
- เร่งการเปลี่ยนผ่านพลังงาน ทำให้ต้นทุนการติดตั้งพลังงานหมุนเวียนถูกลงอย่างมีนัยสำคัญ เพื่อให้บรรลุเป้าหมายการมีกำลังการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานที่ไม่ใช่ฟอสซิล 500 กิกะวัตต์ภายในปี 2030
- ส่งเสริมนโยบาย “Make in India” กระตุ้นให้เกิดการลงทุนตั้งโรงงานผลิตอุปกรณ์พลังงานสะอาดภายในประเทศ ลดการนำเข้า และสร้างงานคุณภาพสูง
- สร้างความมั่นคงทางพลังงาน ลดการพึ่งพาการนำเข้าเทคโนโลยีและอุปกรณ์จากต่างประเทศ โดยเฉพาะจาก จีน ซึ่งครองตลาดโลกอยู่ในปัจจุบัน
เบื้องหลังการตัดสินใจ “ทรัมป์ 2.0” และเงาของสงครามการค้า
สิ่งที่ทำให้การประกาศครั้งนี้เป็นมากกว่านโยบายภายใน คือ “ช่วงเวลา” และ “บริบท” ทางการเมืองโลก นักวิเคราะห์จากสถาบันคลังสมองในวอชิงตันและยุโรปต่างมองตรงกันว่า นี่คือการ “ชิงลงมือ” (Pre-emptive move) ของอินเดีย เพื่อเตรียมรับมือกับความเป็นไปได้ที่นายโดนัลด์ ทรัมป์ จะกลับมาชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ อีกครั้ง
ผลกระทบนโยบายทรัมป์ต่อเอเชีย ในสมัยแรกคือการตั้งกำแพงภาษีและการใช้นโยบาย “America First” อย่างเข้มข้น ซึ่งสร้างความปั่นป่วนให้กับ ห่วงโซ่อุปทาน ทั่วโลก แม้ในยุครัฐบาลไบเดนจะมีการผ่อนคลายในบางมิติ แต่แนวโน้มการหาเสียงของทรัมป์ในปี 2567-2568 ชี้ชัดว่า หากเขาได้กลับเข้าทำเนียบขาว นโยบายกีดกันทางการค้าจะกลับมาอย่างแน่นอน และอาจรุนแรงกว่าเดิม
อินเดียซึ่งมีความสัมพันธ์ทางการค้ากับสหรัฐฯ แน่นแฟ้น จึงเลือกที่จะสร้าง “กันชน” ให้กับอุตสาหกรรมยุทธศาสตร์ของตนเอง ด้วยการทำให้ต้นทุนการผลิตในประเทศต่ำพอที่จะแข่งขันได้ แม้จะต้องเผชิญกับกำแพงภาษีจากสหรัฐฯ ในอนาคต และยังเป็นการส่งสัญญาณไปยังนักลงทุนทั่วโลก ว่าอินเดียพร้อมที่จะเป็นฐานการผลิตที่มั่นคง ท่ามกลางความไม่แน่นอนของนโยบายสหรัฐฯ
“Make in India” เดิมพันครั้งใหญ่สู่การเป็นมหาอำนาจพลังงานสะอาด
นโยบาย อินเดียลดภาษีพลังงานสะอาด ครั้งนี้ ถือเป็นฟันเฟืองชิ้นสำคัญที่สุดในการขับเคลื่อนวาระแห่งชาติอย่าง “Make in India” ในภาคพลังงาน ซึ่งริเริ่มโดยนายกรัฐมนตรี นเรนทระ โมที มาตั้งแต่ปี 2557
ก่อนหน้านี้ บริษัทพลังงานสะอาดในอินเดีย หลายแห่งต้องพึ่งพาการนำเข้าเซลล์แสงอาทิตย์และส่วนประกอบสำคัญจากจีนเป็นหลัก ซึ่งทำให้มีความเสี่ยงด้าน ห่วงโซ่อุปทาน และเป็นการบั่นทอนศักยภาพการผลิตของประเทศ การลดภาษีอย่างมหาศาลจะช่วยพลิกเกม
- ดึงดูดการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) บริษัทผู้ผลิตระดับโลกจะมองเห็นโอกาสในการตั้งโรงงานในอินเดียเพื่อใช้ประโยชน์จากต้นทุนที่ต่ำลงและตลาดภายในขนาดมหึมา
- เสริมสร้างขีดความสามารถของผู้ผลิตในประเทศ บริษัทสัญชาติอินเดีย เช่น Adani Green Energy, Tata Power Solar, และ ReNew Power จะได้รับประโยชน์โดยตรง สามารถขยายกำลังการผลิตและลงทุนใน R&D ได้มากขึ้น
- สร้างระบบนิเวศครบวงจร นโยบายนี้ไม่ได้มองแค่การผลิต แผงโซลาร์เซลล์ แต่ยังครอบคลุมถึงระบบกักเก็บพลังงาน ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของ อนาคตพลังงานหมุนเวียนอินเดีย
การแข่งขันกับมังกร ลดการพึ่งพาห่วงโซ่อุปทานจากจีน อีกหนึ่งสมการสำคัญที่อินเดียต้องการแก้ไขคือการลดการพึ่งพา จีน ซึ่งเป็นทั้งคู่แข่งทางยุทธศาสตร์และเจ้าตลาดในอุตสาหกรรมพลังงานสะอาดของโลก ปัจจุบัน จีนควบคุมสัดส่วนการผลิตแผงโซลาร์เซลล์และส่วนประกอบสำคัญของโลกไว้กว่า 80% การที่อินเดียสร้างตลาดและฐานการผลิตของตนเองให้แข็งแกร่ง จะเป็นการสร้างขั้วอำนาจใหม่ขึ้นมาถ่วงดุล และเสนอทางเลือกให้กับตลาดโลกที่กำลังมองหาซัพพลายเออร์นอกประเทศจีน (China+1 Strategy)
ผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลกและสมรภูมิพลังงานหมุนเวียน
การตัดสินใจของอินเดียส่งแรงกระเพื่อมไปทั่วโลกทันที
- แรงกดดันต่อราคาสินค้า การเพิ่มขึ้นของอุปทานจากอินเดียอาจทำให้ราคาอุปกรณ์พลังงานสะอาดในตลาดโลกปรับตัวลดลงในระยะยาว เป็นประโยชน์ต่อการเปลี่ยนผ่านพลังงานทั่วโลก
- การแข่งขันที่เข้มข้นขึ้น ผู้ผลิตในสหรัฐฯ (ที่ได้รับอานิสงส์จาก Inflation Reduction Act) และยุโรป จะต้องเผชิญกับการแข่งขันที่รุนแรงขึ้นจากผู้ผลิตอินเดีย
- การปรับโครงสร้างห่วงโซ่อุปทานโลก บริษัทต่างๆ จะเริ่มพิจารณาอินเดียเป็นฐานการผลิตสำคัญนอกเหนือจากจีนและเวียดนาม ซึ่งจะนำไปสู่การกระจายความเสี่ยงของ ห่วงโซ่อุปทาน พลังงานสะอาดโลก
มุมมองจากอาเซียนและประเทศไทย โอกาสหรือความท้าทาย?
สำหรับประเทศไทยและกลุ่มประเทศอาเซียน การเคลื่อนไหวของอินเดียครั้งนี้มีทั้งโอกาสและความท้าทาย
- โอกาส
- แหล่งนำเข้าทางเลือก ไทยอาจมีทางเลือกในการนำเข้าอุปกรณ์โซลาร์เซลล์และเทคโนโลยีพลังงานสะอาดในราคาที่ถูกลงจากอินเดีย ลดการพึ่งพาจีนเพียงแหล่งเดียว
- โอกาสการลงทุน บริษัทไทยที่มีความเชี่ยวชาญอาจหาลู่ทางเข้าไปลงทุนในอุตสาหกรรมพลังงานสะอาดของอินเดียที่กำลังเติบโต
- ความท้าทาย
- การแข่งขันในการเป็นฐานการผลิต อินเดียอาจกลายเป็นคู่แข่งที่น่ากลัวของไทยและเวียดนามในการดึงดูดเม็ดเงินลงทุนเพื่อตั้งโรงงานผลิตอุปกรณ์พลังงานสะอาด
บทสรุป ก้าวที่กล้าหาญของอินเดียบนกระดานหมากรุกโลก
การประกาศ ลดภาษีพลังงานสะอาด ของอินเดียในครั้งนี้ เป็นมากกว่าตัวเลขทางเศรษฐศาสตร์ มันคือคำประกาศเจตนารมณ์ที่ชัดเจนว่า อินเดียพร้อมที่จะก้าวขึ้นมาเป็นผู้เล่นหลักในเวทีพลังงานโลกด้วยขาของตัวเอง มันเป็นการตัดสินใจที่มองการณ์ไกล ตอบโจทย์ทั้งความท้าทายระยะสั้น (การกระตุ้นเศรษฐกิจ), ระยะกลาง (การแข่งขันกับจีน), และระยะยาว (การรับมือความไม่แน่นอนจากนโยบายสหรัฐฯ)
ไม่ว่าผลการเลือกตั้งในสหรัฐฯ จะออกมาเป็นอย่างไร หรือ สงครามการค้าพลังงาน จะปะทุขึ้นหรือไม่ อินเดียได้สร้างเกราะป้องกันและวางรากฐานสำหรับ อนาคตพลังงานหมุนเวียนอินเดีย ที่แข็งแกร่งและยั่งยืนไว้แล้ว ซึ่งเป็นก้าวย่างที่โลกทั้งใบต้องจับตามองอย่างใกล้ชิด
แหล่งที่มาจาก : am2con