วอชิงตัน ดี.ซี. – ท่ามกลางความพยายามในการกำหนดทิศทางนโยบายการค้าโลกยุคใหม่ รัฐบาลของประธานาธิบดี โจ ไบเดน ได้ตัดสินใจ “กลับลำ” ครั้งสำคัญ ด้วยการถอนข้อเสนอตัดงบประมาณสนับสนุน องค์การการค้าโลก (World Trade Organization) ออกจากร่างกฎหมายงบประมาณประจำปีอย่างเงียบๆ หลังเผชิญกระแสต่อต้านอย่างหนักจากทั้งพันธมิตรในต่างแดน ภาคธุรกิจ และสมาชิกรัฐสภาของตนเอง การเปลี่ยนแปลงนโยบายที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วนี้ไม่ได้เป็นเพียงเรื่องทางเทคนิค แต่เป็นภาพสะท้อนที่ชัดเจนถึงความซับซ้อนและแรงกดดันมหาศาลที่อยู่เบื้องหลัง นโยบายสหรัฐต่อ WTO ซึ่งกำลังฉายภาพอนาคตของระบบ การค้าพหุภาคี และบทบาทของสหรัฐอเมริกาในเวทีโลกที่กำลังมี จีน เป็นผู้ท้าชิงอำนาจคนสำคัญ
จาก “ตัดงบ” สู่ “ทบทวน” เกิดอะไรขึ้นหลังม่านในทำเนียบขาว?
แหล่งข่าวระดับสูงในทำเนียบขาวเปิดเผยว่า ข้อเสนอเริ่มต้นที่จะลดเงินสนับสนุนที่สหรัฐฯ มอบให้ WTO ในแต่ละปีลงประมาณ 15% นั้น มาจากกลุ่มเจ้าหน้าที่ฝ่ายบริหารที่ต้องการส่งสัญญาณที่ “แข็งกร้าว” ว่าสหรัฐฯ ไม่พอใจอย่างยิ่งต่อความเชื่องช้าในการปฏิรูปองค์กร โดยเฉพาะอย่างยิ่งการที่ กลไกการระงับข้อพิพาท ยังคงเป็นอัมพาต อย่างไรก็ตาม ข้อเสนอดังกล่าวกลับจุดชนวนให้เกิด “พายุไฟ” ทางการทูตและการเมืองอย่างที่หลายคนไม่ได้คาดคิด
เสียงค้านจากทุกทิศทาง เมื่อพันธมิตรและภาคธุรกิจส่งสัญญาณเตือน
ทันทีที่ข่าวเรื่องข้อเสนอ ทำเนียบขาวตัดงบ WTO รั่วไหลออกไป ปฏิกิริยาเชิงลบก็หลั่งไหลเข้ามาอย่างรวดเร็ว
- พันธมิตรยุโรปและเอเชีย คณะผู้แทนทางการทูตจากสหภาพยุโรป ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ ได้แสดงความกังวลอย่างเป็นทางการมายังผู้แทนการค้าสหรัฐฯ แคทเธอรีน ไท โดยให้เหตุผลว่าการตัดงบจะยิ่งบั่นทอนความน่าเชื่อถือขององค์กร และเป็นการ “เปิดทาง” ให้จีนเข้ามามีอิทธิพลในการกำหนดกฎเกณฑ์ทางการค้าโลกมากยิ่งขึ้น
- ภาคธุรกิจขนาดใหญ่ สภาหอการค้าสหรัฐฯ และกลุ่มธุรกิจชั้นนำได้ออกแถลงการณ์ร่วม โดยชี้ว่าระบบการค้าที่มีกฎเกณฑ์ชัดเจนภายใต้ WTO นั้นเป็นรากฐานสำคัญของเศรษฐกิจโลก การกระทำใดๆ ที่จะทำให้ WTO อ่อนแอลง ถือเป็นการทำร้ายผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ เองในระยะยาว
- สภาคองเกรส สมาชิกพรรคเดโมแครตและรีพับลิกันหลายคนในคณะกรรมาธิการการค้าของทั้งสองสภา ได้แสดงความไม่เห็นด้วย โดยมองว่านี่เป็นกลยุทธ์ที่ผิดพลาดและไม่ต่างจากแนวทางของรัฐบาลชุดก่อนที่เน้นการเผชิญหน้ามากกว่าการเป็นผู้นำในการปฏิรูป
“มันเป็นการส่งสัญญาณที่ผิดพลาดไปอย่างสิ้นเชิง” นักวิเคราะห์จากสถาบัน Peterson Institute for International Economics ให้ความเห็น “แทนที่จะแสดงความเป็นผู้นำในการแก้ไขปัญหา มันกลับดูเหมือนว่าเรากำลังจะเก็บของแล้วเดินออกจากห้อง ปล่อยให้คู่แข่งของเราเป็นคนเขียนกฎกติกาแทน”
ความสัมพันธ์รัก-ชัง ทำไมสหรัฐถึงต้องการปฏิรูป WTO มาตลอด?
ความไม่พอใจของสหรัฐฯ ต่อ WTO ไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่เป็นปัญหาที่สั่งสมมานานหลายทศวรรษ ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลจากพรรคใดก็ตาม ประเด็นหลักที่ทำให้สหรัฐฯ ผิดหวังคือ
- กลไกการระงับข้อพิพาท (Dispute Settlement Body) สหรัฐฯ มองว่าองค์กรอุทธรณ์ (Appellate Body) ของ WTO มักจะตัดสินคดีเกินขอบเขตอำนาจที่กำหนดไว้ และสร้างพันธกรณีทางกฎหมายใหม่ๆ ที่สหรัฐฯ ไม่เคยตกลงยอมรับ ซึ่งนำไปสู่การที่สหรัฐฯ บล็อกการแต่งตั้งตุลาการคนใหม่มาตั้งแต่สมัยรัฐบาลโอบามา และต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน ทำให้กลไกนี้ใช้การไม่ได้
- สถานะ “ประเทศกำลังพัฒนา” ของจีน สหรัฐฯ โต้แย้งมาตลอดว่า จีน ซึ่งเป็นประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับสองของโลก ไม่ควรได้รับสิทธิพิเศษในฐานะประเทศกำลังพัฒนาอีกต่อไป เพราะทำให้เกิดการแข่งขันที่ไม่เป็นธรรม
- การบังคับใช้กฎเกณฑ์ สหรัฐฯ รู้สึกว่า WTO ขาดประสิทธิภาพในการจัดการกับปัญหาการค้าสมัยใหม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการอุดหนุนภาคอุตสาหกรรมของรัฐบาลจีน การขโมยทรัพย์สินทางปัญญา และการบังคับถ่ายทอดเทคโนโลยี
นี่คือคำตอบของคำถามที่ว่า ทำไมสหรัฐถึงต้องการปฏิรูป WTO เพราะในมุมมองของวอชิงตัน องค์กรที่ตั้งขึ้นมาเพื่อส่งเสริมการค้าเสรี กลับไม่สามารถรับมือกับรูปแบบการค้าที่บิดเบือนของรัฐวิสาหกิจขนาดใหญ่อย่างจีนได้ดีพอ
เงาของมังกร “จีน” ปัจจัยสำคัญที่ทำให้สหรัฐฯ ต้องคิดใหม่
แม้สหรัฐฯ จะไม่พอใจ WTO แต่การตัดสินใจกลับลำในครั้งนี้มี “จีน” เป็นปัจจัยสำคัญที่สุด นักยุทธศาสตร์ในรัฐบาลไบเดนตระหนักดีว่า ผลกระทบหากสหรัฐออกจาก WTO หรือแม้แต่การลดบทบาทของตนเองลง จะสร้างสุญญากาศทางอำนาจที่จีนพร้อมจะเข้ามาเติมเต็มทันที
- เวทีสำหรับต่อสู้ WTO ยังคงเป็นเวทีพหุภาคีเพียงแห่งเดียวที่สหรัฐฯ สามารถร่วมมือกับพันธมิตรเพื่อสร้างแรงกดดันและท้าทายพฤติกรรมทางการค้าที่ไม่เป็นธรรมของจีนได้อย่างเป็นระบบ หากไม่มี WTO สหรัฐฯ จะต้องเผชิญหน้ากับจีนแบบทวิภาคี ซึ่งจะเสียเปรียบกว่าการมีแนวร่วม
- การรักษาเสถียรภาพ แม้จะมีข้อบกพร่อง แต่กฎเกณฑ์ของ WTO ก็ยังเป็นสิ่งที่ช่วยรักษาเสถียรภาพของระบบการค้าโลกไม่ให้เข้าสู่ภาวะอนาธิปไตยหรือ สงครามการค้า เต็มรูปแบบ ซึ่งจะไม่เป็นผลดีต่อใครเลย
- ความสัมพันธ์สหรัฐ-จีนใน WTO การคงอยู่ในระบบทำให้สหรัฐฯ ยังมีอำนาจในการกำหนดวาระการประชุม และผลักดันการปฏิรูปในประเด็นที่ตนเองต้องการ เช่น การอุดหนุนภาคอุตสาหกรรมและบทบาทของรัฐวิสาหกิจ ซึ่งเป็นประเด็นที่พุ่งเป้าไปที่จีนโดยตรง
โฆษกสภาความมั่นคงแห่งชาติได้ให้ความเห็นอย่างไม่เป็นทางการว่า “เราไม่สามารถปฏิรูปองค์กรได้ หากเราไม่ได้อยู่ในห้องประชุม การเป็นผู้นำหมายถึงการทำงานที่ยากลำบากในการสร้างฉันทามติ ไม่ใช่การเดินหนีเมื่อสิ่งต่างๆ ไม่เป็นไปตามที่เราต้องการ”
บทบาทของ WTO ต่อเศรษฐกิจโลก มากกว่าแค่เวทีเจรจา
เหตุการณ์นี้ยังตอกย้ำถึงความสำคัญของ บทบาทของ WTO ต่อเศรษฐกิจโลก ซึ่งมักจะถูกมองข้ามไป WTO ทำหน้าที่สำคัญหลายประการ
- สร้างความแน่นอน กฎเกณฑ์ของ WTO ช่วยให้ผู้ประกอบการและนักลงทุนสามารถคาดการณ์นโยบายการค้าของประเทศต่างๆ ได้ ลดความเสี่ยง และส่งเสริมการลงทุนข้ามพรมแดน
- ลดต้นทุนทางการค้า ผ่านการลดกำแพงภาษีและอุปสรรคที่ไม่ใช่ภาษี ทำให้สินค้าและบริการมีราคาถูกลงสำหรับผู้บริโภค
- เป็นเวทีระงับข้อพิพาทอย่างสันติ แม้จะมีปัญหา แต่กลไกของ WTO ก็ช่วยให้ประเทศต่างๆ สามารถแก้ไขความขัดแย้งทางการค้าผ่านกระบวนการทางกฎหมาย แทนที่จะใช้มาตรการตอบโต้ทางการค้าซึ่งอาจบานปลายได้
บทสรุปและอนาคต นโยบายสหรัฐต่อ WTO จะไปในทิศทางไหน?
การกลับลำเรื่องงบประมาณของทำเนียบขาวไม่ใช่สัญญาณว่าสหรัฐฯ พึงพอใจกับ WTO แล้ว แต่เป็นสัญญาณของการเปลี่ยนยุทธวิธี จาก “การขู่ว่าจะทอดทิ้ง” ไปสู่ “การเป็นผู้นำในการปฏิรูปจากภายใน” อย่างจริงจังมากขึ้น
ในอนาคตอันใกล้ เราจะได้เห็น นโยบายสหรัฐต่อ WTO ที่แข็งกร้าวแต่สร้างสรรค์มากขึ้น ภายใต้การนำของ แคทเธอรีน ไท ซึ่งเป็นที่รู้จักในด้านการผลักดันแนวทาง “การค้าที่คำนึงถึงแรงงานและสิ่งแวดล้อม” สหรัฐฯ จะยังคงกดดันให้มีการปฏิรูป กลไกการระงับข้อพิพาท ต่อไป และจะพยายามสร้างแนวร่วมกับพันธมิตรเพื่อรับมือกับความท้าทายจากจีน
เหตุการณ์เล็กๆ ที่เกิดขึ้นในเอกสารงบประมาณครั้งนี้ ได้กลายเป็นบททดสอบสำคัญที่เผยให้เห็นความจริงที่ซับซ้อนว่า ในโลกยุคปัจจุบัน แม้แต่มหาอำนาจอย่างสหรัฐอเมริกาก็ยังต้องพึ่งพาสถาบันและระบบ การค้าพหุภาคี ที่ตนเองเคยเป็นผู้สร้างขึ้นมา เพื่อรักษาผลประโยชน์และเสถียรภาพของเศรษฐกิจโลกต่อไป
แหล่งที่มาจาก : am2con