เทลอาวีฟ, ฉนวนกาซา – ความหวังในการยุติความรุนแรงในตะวันออกกลางต้องดับวูบลงอีกครั้ง หลังรัฐบาลอิสราเอลภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรี เบนจามิน เนทันยาฮู ประกาศปฏิเสธ ข้อเสนอหยุดยิงอิสราเอล-ฮามาส ฉบับล่าสุดอย่างเป็นทางการ พร้อมยืนยันเดินหน้าปฏิบัติการทางทหารใน ฉนวนกาซา ต่อไปอย่างไม่มีกำหนด การตัดสินใจครั้งนี้ไม่เพียงแต่ส่งผลให้ สถานการณ์กาซาล่าสุด ตกอยู่ในภาวะวิกฤตด้านมนุษยธรรมที่รุนแรงยิ่งขึ้น แต่ยังก่อให้เกิดแรงสั่นสะเทือนครั้งใหญ่ต่อเวทีภูมิรัฐศาสตร์โลก ท้าทายบทบาทของชาติมหาอำนาจและประเทศตัวกลางในการเจรจา ขณะที่ชะตากรรมของ ตัวประกันอิสราเอล และพลเรือนชาวปาเลสไตน์หลายล้านคนยังคงแขวนอยู่บนเส้นด้าย
เบื้องลึก ทำไมข้อตกลงหยุดยิงล่าสุดจึงล่มสลาย?
การเจรจาหยุดยิงรอบล่าสุด ซึ่งมีอียิปต์และกาตาร์เป็นตัวกลางหลัก โดยได้รับการสนับสนุนจากสหรัฐอเมริกา ได้ดำเนินไปอย่างเข้มข้นเป็นเวลาหลายสัปดาห์ แต่สุดท้ายก็ต้องจบลงด้วยความล้มเหลว แหล่งข่าวทางการทูตหลายแห่งชี้ตรงกันว่า “จุดแตกหัก” สำคัญที่ทำให้ ข้อตกลงหยุดยิงล่าสุดมีอะไรบ้าง นั้นไม่เป็นที่ยอมรับของฝ่ายอิสราเอล คือเงื่อนไขและลำดับขั้นตอนในการดำเนินการ
จุดยืนของอิสราเอล “ความปลอดภัยต้องมาก่อนและการทำลายฮามาสคือเป้าหมายสูงสุด”
รัฐบาลอิสราเอล โดยเฉพาะจากฝ่ายขวาจัดในคณะรัฐมนตรีสงคราม ยืนกรานว่าข้อเสนอของ กลุ่มฮามาส นั้น “ห่างไกลจากข้อเรียกร้องที่จำเป็นของอิสราเอล” ประเด็นหลักที่อิสราเอลไม่สามารถยอมรับได้คือ
- การยุติสงครามถาวร ข้อเสนอของฮามาสมีเงื่อนไขสำคัญคือการรับประกันว่าจะนำไปสู่การยุติ สงครามอิสราเอล-ฮามาส อย่างถาวร ซึ่งอิสราเอลมองว่าเป็นไปไม่ได้ ตราบใดที่ฮามาสยังคงมีขีดความสามารถทางทหารและยังปกครองกาซาอยู่
- การถอนทหารทั้งหมด อิสราเอลปฏิเสธที่จะถอนทหารทั้งหมดออกจากฉนวนกาซา โดยให้เหตุผลว่าจำเป็นต้องคงกำลังไว้เพื่อปฏิบัติการกวาดล้างกลุ่มติดอาวุธที่เหลืออยู่และป้องกันการฟื้นตัวของฮามาส
- อัตราส่วนการแลกเปลี่ยนตัวประกัน แม้จะมีการพูดคุยถึงการปล่อยตัวนักโทษชาวปาเลสไตน์หลายพันคนเพื่อแลกกับตัวประกันชาวอิสราเอล แต่รายละเอียดและรายชื่อนักโทษบางส่วนยังคงเป็นที่ถกเถียงกันอย่างหนัก
โฆษกของนายกรัฐมนตรีเนทันยาฮูได้กล่าวอย่างชัดเจนว่า “เราจะไม่ยอมรับข้อตกลงที่จะทำให้ฮามาสยังคงอยู่รอดและกลับมาเป็นภัยคุกคามต่อพลเมืองของเราได้อีก เป้าหมายของเรายังคงไม่เปลี่ยนแปลง คือการนำตัวประกันทั้งหมดกลับบ้านและทำลายขีดความสามารถของฮามาสให้สิ้นซาก”
ข้อเรียกร้องของฮามาส “หลักประกันเพื่อยุติการรุกรานและฟื้นฟูชีวิต”
ในทางกลับกัน กลุ่มฮามาสได้ออกแถลงการณ์ว่าข้อเสนอที่ยื่นไปนั้นถือเป็นการประนีประนอมครั้งสำคัญแล้ว และการที่อิสราเอลปฏิเสธ แสดงให้เห็นถึงความไม่จริงใจในการยุติความรุนแรง จุดยืนของฮามาสตั้งอยู่บนหลักการที่ว่า
- การหยุดยิงต้องถาวร พวกเขามองว่าการหยุดยิงชั่วคราวเป็นเพียงการ “ซื้อเวลา” ให้อิสราเอลกลับมา อิสราเอลโจมตีกาซา อีกครั้งในอนาคต
- การเปิดพรมแดนและการฟื้นฟู ข้อเรียกร้องสำคัญรวมถึงการเปิดด่านราฟาห์อย่างถาวร และการรับประกันความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมและการฟื้นฟูบูรณะฉนวนกาซาโดยไม่มีข้อจำกัด
- การยุติการปิดล้อม ฮามาสต้องการให้การปิดล้อมฉนวนกาซาที่ดำเนินมานานกว่า 17 ปีสิ้นสุดลง ซึ่งเป็นรากเหง้าของ ความขัดแย้งปาเลสไตน์ ในมุมมองของพวกเขา
ผลกระทบทางภูมิรัฐศาสตร์ เมื่อมหาอำนาจและการทูตถูกทดสอบ
การล่มสลายของการเจรจาครั้งนี้ได้ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อภาพลักษณ์และความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นพันธมิตรหลักของอิสราเอล
- ความสัมพันธ์สหรัฐฯ-อิสราเอลที่ตึงเครียดขึ้น แม้รัฐบาลไบเดนจะยังคงย้ำถึงการสนับสนุนสิทธิในการป้องกันตนเองของอิสราเอล แต่เจ้าหน้าที่ระดับสูงของสหรัฐฯ หลายคนได้แสดงความผิดหวังอย่างไม่ปิดบังต่อการตัดสินใจของเนทันยาฮู ซึ่งสวนทางกับแรงกดดันทางการทูตของวอชิงตันที่ต้องการให้เกิดการหยุดยิงโดยเร็วที่สุดเพื่อบรรเทาวิกฤตมนุษยธรรม
- บทบาทของชาติอาหรับตัวกลาง อียิปต์และกาตาร์ ซึ่งลงทุนทางการทูตอย่างมหาศาลในกระบวนการนี้ กำลังเผชิญกับสถานการณ์ที่ยากลำบาก การปฏิเสธของอิสราเอลอาจถูกมองว่าเป็นการลดทอนอิทธิพลของพวกเขา และอาจทำให้การเจรจาในอนาคตเป็นไปได้ยากยิ่งขึ้น
- แรงกดดันจากเวทีโลก หลายประเทศในยุโรปและองค์กรระหว่างประเทศ เช่น สหประชาชาติ (UN) ได้ออกมาเรียกร้องให้อิสราเอลทบทวนการตัดสินใจ และเตือนถึงหายนะด้านมนุษยธรรมที่อาจเกิดขึ้นจากการบุกโจมตีเมืองราฟาห์อย่างเต็มรูปแบบ ซึ่งเป็นที่หลบภัยสุดท้ายของชาวปาเลสไตน์กว่า 1.4 ล้านคน
บทวิเคราะห์จากสถาบัน Chatham House ในลอนดอนระบุว่า “การตัดสินใจของอิสราเอลครั้งนี้ สะท้อนให้เห็นถึงพลวัตที่ซับซ้อนภายในรัฐบาลผสมของเนทันยาฮู ซึ่งจำเป็นต้องเอาใจฝ่ายขวาจัดเพื่อความอยู่รอดทางการเมือง นี่คือตัวอย่างที่ชัดเจนของ ผลกระทบสงครามกาซาต่อภูมิรัฐศาสตร์ ที่การเมืองภายในประเทศสามารถส่งผลกระทบโดยตรงต่อนโยบายต่างประเทศและเสถียรภาพของทั้งภูมิภาค”
วิกฤตมนุษยธรรมในกาซา สถานการณ์เลวร้ายสู่หายนะที่ใกล้เข้ามา
ในขณะที่การทูตระดับสูงกำลังล้มเหลว สถานการณ์บนภาคพื้นดินใน ฉนวนกาซา กลับเลวร้ายลงอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน การตัดสินใจเดินหน้าโจมตีต่อของอิสราเอลหมายถึง
- ตัวเลขผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บที่พุ่งสูงขึ้น กระทรวงสาธารณสุขในกาซารายงานว่าจำนวนผู้เสียชีวิตใกล้แตะ 40,000 รายแล้ว โดยส่วนใหญ่เป็นผู้หญิงและเด็ก การโจมตีที่รุนแรงขึ้นจะทำให้ตัวเลขนี้เพิ่มขึ้นอย่างแน่นอน
- ภาวะอดอยากที่ใกล้เข้ามา โครงการอาหารโลก (WFP) เตือนว่าประชากรเกือบทั้งหมดในกาซากำลังเผชิญกับความไม่มั่นคงทางอาหารในระดับวิกฤต และภาวะอดอยากกำลังจะเกิดขึ้นทางตอนเหนือของกาซา
- ระบบสาธารณสุขที่ล่มสลาย โรงพยาบาลส่วนใหญ่ไม่สามารถใช้งานได้แล้ว เนื่องจากการขาดแคลนยา เวชภัณฑ์ เชื้อเพลิง และการตกเป็นเป้าโจมตี
- การพลัดถิ่นครั้งใหญ่ ประชากรกว่า 85% ของกาซา (ประมาณ 1.9 ล้านคน) ต้องกลายเป็นผู้พลัดถิ่นภายในประเทศ โดยส่วนใหญ่ต้องอาศัยอยู่ในเต็นท์ชั่วคราวที่แออัดยัดเยียดและขาดสุขอนามัย
“เรากำลังมองเห็นการล่มสลายของสังคมอย่างสมบูรณ์” คำกล่าวของ มาร์ติน กริฟฟิธส์ รองเลขาธิการสหประชาชาติด้านกิจการมนุษยธรรม “ความช่วยเหลือที่เข้าไปนั้นน้อยนิดเกินไปและช้าเกินไป การตัดสินใจทางการเมืองกำลังส่งผลให้เกิดการลงโทษหมู่ต่อพลเรือนผู้บริสุทธิ์”
ปฏิบัติการทางทหารที่เข้มข้นขึ้น เป้าหมายต่อไปคือราฟาห์
หลังจากการปฏิเสธ ข้อเสนอหยุดยิงอิสราเอล-ฮามาส กองกำลังป้องกันตนเองของอิสราเอล (IDF) ได้ยกระดับการโจมตีทางอากาศและภาคพื้นดินในหลายพื้นที่ โดยเฉพาะทางตอนใต้ของฉนวนกาซา เมืองราฟาห์ ซึ่งเป็นที่หลบภัยสุดท้ายของชาวกาซาจำนวนมาก บัดนี้ได้กลายเป็นจุดศูนย์กลางของปฏิบัติการทางทหาร ทำให้เกิดความกังวลในระดับนานาชาติว่าจะเกิดการนองเลือดครั้งใหญ่
กองทัพอิสราเอลให้เหตุผลว่าจำเป็นต้องเข้าเคลียร์พื้นที่ราฟาห์ เนื่องจากเป็นที่มั่นสุดท้ายของกองกำลังฮามาส 4 กองพัน อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์ด้านการทหารหลายคนตั้งคำถามถึงความเป็นไปได้ในการอพยพพลเรือนจำนวนมหาศาลออกจากพื้นที่อย่างปลอดภัยก่อนการบุกโจมตีเต็มรูปแบบ
บทสรุปและแนวโน้มในอนาคต เส้นทางสู่สันติภาพที่มืดมน
การปฏิเสธข้อตกลงหยุดยิงครั้งล่าสุดได้ปิดประตูสู่สันติภาพไปอีกบานหนึ่ง และเปิดฉากความขัดแย้งที่รุนแรงและซับซ้อนยิ่งขึ้น อนาคตของฉนวนกาซาจะเป็นอย่างไร ยังคงเป็นคำถามที่ไม่มีคำตอบที่ชัดเจน
- แนวโน้มการสู้รบ คาดว่าจะยืดเยื้อและรุนแรงขึ้น โดยเฉพาะในพื้นที่ราฟาห์และตอนกลางของกาซา
- อนาคตทางการทูต ความพยายามทางการทูตอาจจะต้องหยุดชะงักไปชั่วคราว และอาจต้องรอให้สถานการณ์ทางทหารเปลี่ยนแปลงไปอย่างมีนัยสำคัญจึงจะกลับมาเริ่มต้นใหม่ได้
- ชะตากรรมของตัวประกัน ความหวังในการช่วยเหลือตัวประกันที่เหลืออยู่ผ่านการเจรจานั้นริบหรี่ลง ซึ่งอาจผลักดันให้อิสราเอลต้องใช้ปฏิบัติการทางทหารที่มีความเสี่ยงสูงขึ้นในการชิงตัวประกัน
ท้ายที่สุด การตัดสินใจของอิสราเอลในครั้งนี้ตอกย้ำถึงช่องว่างที่กว้างใหญ่ระหว่างเป้าหมายทางทหารของรัฐบาลเนทันยาฮูกับแรงกดดันจากประชาคมโลกที่ต้องการยุติหายนะด้านมนุษยธรรม สถานการณ์ในกาซาได้เดินทางมาถึงจุดที่อันตรายอย่างยิ่ง และหากไม่มีการแทรกแซงทางการทูตที่พลิกเกมได้ในเร็ววันนี้ โศกนาฏกรรมใน ความขัดแย้งปาเลสไตน์ ครั้งนี้ก็จะยิ่งฝังรากลึกและสร้างบาดแผลที่ยากจะเยียวยาให้กับคนรุ่นหลังต่อไป
แหล่งที่มาจาก : am2con