คำตัดสินคดีผูกขาด Google พิมพ์เขียวใหม่กำกับ Big Tech โลก เมื่อศาลเลือก “เปิดกว้าง” แทน “การทุบทำลาย”

คดีผูกขาด Google

คำตัดสินครั้งประวัติศาสตร์ใน คดีผูกขาด Google ที่ศาลแขวงสหรัฐฯ มีคำสั่งเมื่อวันที่ 2 กันยายน ที่ผ่านมา ไม่ใช่แค่ชัยชนะที่มาพร้อมเงื่อนไขของยักษ์ใหญ่แห่งซิลิคอนแวลลีย์ แต่มันคือการขีดเส้นบรรทัดฐานใหม่และอาจเป็น “พิมพ์เขียว” ที่ทรงอิทธิพลที่สุดสำหรับการกำกับดูแล Big Tech ทั่วโลกในทศวรรษนี้ การที่ศาลปฏิเสธที่จะใช้ยาแรงอย่างการบังคับขายเบราว์เซอร์ Google Chrome หรือฉีก ดีล Google Apple มูลค่าหลายหมื่นล้านดอลลาร์ แล้วหันมาเลือกใช้ “มาตรการเชิงพฤติกรรม” เพื่อเปิดประตูให้คู่แข่งเข้ามาในสนามแข่งขัน ถือเป็นการส่งสัญญาณที่ชัดเจนว่า ยุคของการทุบทำลายโครงสร้างบริษัทอาจสิ้นสุดลงแล้ว และยุคของการบังคับให้ “เล่นอย่างเป็นธรรม” ได้เริ่มต้นขึ้นอย่างเป็นทางการ

Google to court: we'll change our Apple deal, but please let us keep Chrome  | The Verge

คำตัดสินสะเทือนวงการ ชัยชนะแบบมีเงื่อนไขของ Google

หลังจากต่อสู้กันในชั้นศาลมานานหลายปี ในที่สุด กระทรวงยุติธรรมสหรัฐ (DOJ) ก็ได้รับคำตอบที่รอคอย แม้จะไม่ใช่คำตอบที่พวกเขาต้องการทั้งหมด ผู้พิพากษาอามิต เมห์ตา ได้สรุปบทลงโทษสำหรับ Google ซึ่งก่อนหน้านี้ถูกตัดสินว่ามีความผิดในการผูกขาดตลาด Search และโฆษณาบน Search อย่างผิดกฎหมาย โดยสาระสำคัญของคำตัดสินแบ่งออกเป็นสองส่วนหลัก

  1. สิ่งที่ Google “ไม่ต้อง” ทำ (ชัยชนะครั้งใหญ่)
    • ไม่ต้องขาย Chrome ศาลปฏิเสธคำร้องของ DOJ ที่ต้องการให้ Google ขายธุรกิจเบราว์เซอร์ Chrome ซึ่งเป็นประตูหลักที่ผู้คนหลายพันล้านคนใช้เข้าสู่อินเทอร์เน็ต
    • ไม่ต้องยุติดีลกับ Apple ข้อตกลงที่ Google จ่ายเงินมหาศาล (ประเมินว่าสูงถึง 2 หมื่นล้านดอลลาร์ต่อปี) เพื่อเป็น Default search engine ในเบราว์เซอร์ Safari ของ Apple สามารถดำเนินต่อไปได้ ซึ่งถือเป็นการรักษาเส้นเลือดใหญ่ที่หล่อเลี้ยงปริมาณการค้นหาและข้อมูลมหาศาลให้กับ Google
  2. สิ่งที่ Google “ต้อง” ทำ (เงื่อนไขที่ต้องยอมรับ)
    • ต้องเปิดกว้างและแชร์ข้อมูล ศาลได้สั่งให้ Google ใช้มาตรการเชิงพฤติกรรมหลายอย่าง ซึ่งคาดว่าจะรวมถึงการเปิด Application Programming Interfaces (APIs) ที่เกี่ยวข้องกับข้อมูลประสิทธิภาพการค้นหาและโฆษณาให้กับคู่แข่ง เพื่อให้สามารถพัฒนาบริการมาแข่งขันได้อย่างเท่าเทียมมากขึ้น
    • ต้องทำให้การเปลี่ยน “ค่าเริ่มต้น” ง่ายขึ้น Google จะถูกบังคับให้ปรับปรุงระบบปฏิบัติการ Android และเบราว์เซอร์ Chrome เพื่อให้ผู้บริโภคสามารถเลือกและเปลี่ยนไปใช้ Search Engine คู่แข่งได้อย่างง่ายดายและชัดเจนกว่าเดิม ซึ่งอาจมาในรูปแบบของ “Choice Screen” ที่เคยมีการบังคับใช้ในยุโรป

เบื้องหลังข้อตกลงพันล้าน ทำไมดีล Google-Apple จึงรอดพ้น?

หัวใจของคดีนี้อยู่ที่ข้อตกลงระหว่างสองยักษ์ใหญ่แห่งโลกเทคโนโลยี ดีล Google Apple คือข้อกล่าวหาที่ทรงพลังที่สุดของ DOJ ที่ชี้ว่า Google ใช้อำนาจทางการเงินเพื่อ “ซื้อ” สถานะการเป็นผู้ผูกขาดบนแพลตฟอร์มมือถือที่สำคัญที่สุดแพลตฟอร์มหนึ่งของโลก

เหตุผลที่ผู้พิพากษาเมห์ตาลังเลที่จะทำลายข้อตกลงนี้ มาจากการชั่งน้ำหนักระหว่างประโยชน์และโทษ โดยฝ่าย Google ได้โต้แย้งอย่างหนักแน่นว่า การบังคับยุติข้อตกลงจะส่งผลเสียต่อผู้บริโภคโดยตรง เพราะ Google Search มอบประสบการณ์ที่ดีที่สุด และการแข่งขันควรเป็นไปเพื่อแย่งชิงตำแหน่งค่าเริ่มต้น ไม่ใช่การถูกกีดกันโดยคำสั่งศาล นอกจากนี้ การทำลายข้อตกลงอาจกระทบต่อโครงสร้างรายได้ของ Apple อย่างรุนแรง ซึ่งอาจนำไปสู่ผลกระทบทางเศรษฐกิจในวงกว้าง คำตัดสินนี้จึงสะท้อนแนวคิดที่ว่า ศาลไม่ต้องการเข้าไปแทรกแซงข้อตกลงทางธุรกิจโดยตรง หากยังมีหนทางอื่นในการส่งเสริมการแข่งขัน

Google Doesn't Have to Sell Chrome Browser, Judge Rules in Antitrust Case -  Bloomberg

‘พิมพ์เขียวใหม่’ ในการกำกับดูแล Big Tech เมื่อ ‘การทุบ’ ไม่ใช่คำตอบ

นี่คือประเด็นที่สำคัญที่สุดของคำตัดสินครั้งนี้ และเป็นสิ่งที่นักกฎหมายและผู้บริหารในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีกำลังจับตามองอย่างใกล้ชิด การเลือกใช้ “มาตรการเชิงพฤติกรรม” (Behavioral Remedies) แทน “มาตรการเชิงโครงสร้าง” (Structural Remedies) ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงกระบวนทัศน์

  • มาตรการเชิงโครงสร้าง คือการผ่าตัดใหญ่ เช่น การบังคับให้แยกหรือขายธุรกิจ (เหมือนกรณี AT&T) ซึ่งเป็นยาแรงที่มุ่งทำลายโครงสร้างการผูกขาดโดยตรง
  • มาตรการเชิงพฤติกรรม คือการกำหนดกฎเกณฑ์และแนวปฏิบัติใหม่ บังคับให้บริษัทที่ผูกขาดต้องเปลี่ยนวิธีการดำเนินธุรกิจเพื่อให้คู่แข่งสามารถแข่งขันได้ (เหมือนกรณี Microsoft ที่ถูกบังคับให้เปิดเผยข้อมูลทางเทคนิคของ Windows)

คำตัดสินนี้เป็นการส่งสัญญาณว่า ศาลสหรัฐฯ ในยุคปัจจุบันมองว่าระบบนิเวศทางเทคโนโลยีนั้นซับซ้อนและเชื่อมโยงกันเกินกว่าจะใช้มีดผ่าตัดทื่อๆ เข้าไปทุบทำลาย การบังคับให้ Google เปิดประตูบ้านของตัวเองให้กว้างขึ้น เพื่อให้คู่แข่งเดินเข้ามาได้สะดวกกว่าเดิม ถูกมองว่าเป็นวิธีที่สมดุลและสร้างสรรค์กว่า ซึ่งแนวทางนี้จะเป็นบรรทัดฐานสำคัญสำหรับคดีอื่นๆ ที่กำลังดำเนินอยู่กับบริษัทอย่าง Meta, Amazon และแม้แต่ Apple เอง

ผลกระทบต่อผู้ใช้และคู่แข่ง ประตูสู่การแข่งขันที่เปิดกว้างขึ้น?

สำหรับผู้ใช้งานทั่วไป ผลกระทบคำตัดสินคดี Google อาจไม่ปรากฏให้เห็นในทันที แต่ในระยะกลางถึงยาว เราอาจได้เห็นการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้

  • Choice Screen เมื่อตั้งค่าโทรศัพท์ Android เครื่องใหม่ คุณอาจพบกับหน้าจอที่ให้เลือกว่าจะใช้ Google, DuckDuckGo, Bing หรือ Search Engine อื่นๆ เป็นค่าเริ่มต้น
  • นวัตกรรมจากคู่แข่ง เมื่อบริษัทอย่าง Microsoft (Bing) หรือสตาร์ทอัพด้าน Search Engine สามารถเข้าถึงข้อมูลและเครื่องมือที่จำเป็นได้มากขึ้น พวกเขาอาจสามารถพัฒนาฟีเจอร์และคุณภาพการค้นหามาแข่งขันกับ Google ได้ดีขึ้น นำไปสู่ทางเลือกและนวัตกรรมใหม่ๆ สำหรับผู้บริโภค

The Department of Justice asks court to force Google to spin off Chrome |  CNN Business

บทสรุป อนาคตของ Search ที่ไม่ได้ถูกผูกขาดด้วยคำสั่งศาล

คำตัดสินใน คดีผูกขาด Google ไม่ใช่จุดสิ้นสุด แต่เป็นจุดเริ่มต้นของบทใหม่ในการกำกับดูแลอำนาจของ Big Tech มันคือชัยชนะสำหรับ Google ที่สามารถรักษาสองหัวใจสำคัญทางธุรกิจอย่าง Chrome และดีลกับ Apple ไว้ได้ แต่มันก็เป็นชัยชนะของฝ่ายกำกับดูแลที่สามารถสร้าง “กฎของเกม” ขึ้นมาใหม่ได้สำเร็จ

อนาคตของตลาด Search และ ตลาดโฆษณาดิจิทัล จะไม่ได้ถูกตัดสินด้วยการแยกบริษัท แต่อยู่ที่ว่ามาตรการเชิงพฤติกรรมเหล่านี้ จะสามารถสร้างการแข่งขันที่มีความหมายได้จริงหรือไม่ นี่คือการเดิมพันครั้งสำคัญของศาลสหรัฐฯ ที่จะส่งแรงกระเพื่อมไปทั่วทั้งอุตสาหกรรมเทคโนโลยีโลกไปอีกนานหลายปี

 

แหล่งที่มาจาก : am2con

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *