ตัวเลขล่าสุดจากรัฐบาลญี่ปุ่นสร้างความตกตะลึงไปทั่วโลกอีกครั้ง ประชากรชาวญี่ปุ่นลดลงอย่างฮวบฮาบกว่า 837,000 คนในปีเดียว ซึ่งนับเป็นการลดลงที่รุนแรงและรวดเร็วที่สุดในประวัติศาสตร์ แต่ในขณะเดียวกัน จำนวนชาวต่างชาติที่พำนักอาศัยในประเทศกลับพุ่งสูงขึ้นเป็นประวัติการณ์ทะลุ 3.4 ล้านคน ปรากฏการณ์ “ญี่ปุ่นหดตัว-ต่างชาติขยายตัว” นี้ ไม่ใช่เรื่องไกลตัว แต่คือภาพฉายอนาคตที่ประเทศไทยกำลังเดินตามไปติดๆ และอาจเผชิญกับความท้าทายที่หนักหน่วงกว่า บทความนี้จะพาไปวิเคราะห์เบื้องลึกของตัวเลขที่น่าตกใจเหล่านี้ และถอดบทเรียนสำคัญว่าเมื่อญี่ปุ่นต้องเผชิญหน้ากับความจริงเชิงประชากรศาสตร์อย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง ประเทศไทยได้เรียนรู้และเตรียมพร้อมสำหรับอนาคตของตัวเองแล้วหรือยัง
ถอดรหัสตัวเลข เกิดอะไรขึ้นกับประชากรญี่ปุ่น?
ตามรายงานประจำปีล่าสุดจาก กระทรวงกิจการภายในและการสื่อสาร ของญี่ปุ่น ณ วันที่ 1 มกราคม 2568 ได้เผยให้เห็นภาพรวมโครงสร้างประชากรที่น่ากังวลอย่างยิ่ง
- ประชากรญี่ปุ่น มีจำนวน 121.19 ล้านคน ลดลง 837,000 คน จากปีก่อนหน้า ซึ่งเป็นการลดลงต่อเนื่องเป็นปีที่ 15 และเป็นอัตราการลดลงที่รุนแรงที่สุดนับตั้งแต่เริ่มมีการบันทึกข้อมูลในปี 2511
- ประชากรต่างชาติ มีจำนวน 3.41 ล้านคน เพิ่มขึ้น 289,498 คน หรือ 9.2% จากปีก่อนหน้า ซึ่งเป็นจำนวนที่สูงที่สุดเป็นประวัติการณ์
- สัดส่วน ปัจจุบัน ชาวต่างชาติคิดเป็น 2.8% ของประชากรทั้งหมดในญี่ปุ่น และเป็นครั้งแรกที่จำนวนชาวต่างชาติเพิ่มขึ้นในทุก 47 จังหวัดของประเทศ
ตัวเลขเหล่านี้คือหลักฐานเชิงประจักษ์ที่ชี้ว่า วิกฤตประชากรญี่ปุ่น ได้เดินทางมาถึงจุดที่ไม่สามารถหวนกลับได้อีกต่อไป
“สังคมผู้สูงอายุ-อัตราการเกิดต่ำ” วิกฤตสองด้านที่กัดกินญี่ปุ่น
รากเหง้าของปัญหาทั้งหมดเกิดจากปัจจัยเชิงโครงสร้าง 2 ประการที่ดำเนินมาอย่างยาวนาน
- อัตราการเกิดต่ำ (Low Birth Rate) ในปี 2567 ญี่ปุ่นมีจำนวนเด็กเกิดใหม่เพียง 727,277 คน ซึ่งเป็นตัวเลขที่ต่ำที่สุดเป็นประวัติการณ์ สวนทางกับจำนวนผู้เสียชีวิตที่สูงถึง 1.57 ล้านคน ทำให้ประชากรลดลงตามธรรมชาติ (เกิดน้อยกว่าตาย) อย่างรุนแรง ปัจจัยนี้เกิดจากหลายสาเหตุซ้อนกัน ทั้งค่าครองชีพที่สูง, วัฒนธรรมการทำงานที่หนักหน่วง, และการเปลี่ยนแปลงค่านิยมของคนรุ่นใหม่
- สังคมผู้สูงอายุ (Aging Society) ญี่ปุ่นเป็นประเทศที่มีสัดส่วนผู้สูงอายุ (65 ปีขึ้นไป) สูงที่สุดในโลก โดยคิดเป็น 29.1% ของประชากรทั้งหมด และมีแนวโน้มจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ สิ่งนี้สร้างแรงกดดันมหาศาลต่อระบบสวัสดิการ, การรักษาพยาบาล และที่สำคัญที่สุดคือ “ตลาดแรงงาน”
ทางออกที่ (จำเป็น) ต้องเลือก “แรงงานต่างด้าว” ความหวังใหม่ของเศรษฐกิจ
เมื่อจำนวนคนวัยทำงานในประเทศลดลงอย่างต่อเนื่อง ญี่ปุ่นจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องเปิดประตูต้อนรับแรงงานจากต่างชาติมากขึ้น เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจและดูแลผู้สูงอายุที่เพิ่มจำนวนขึ้น รัฐบาลของนายกรัฐมนตรี ฟูมิโอะ คิชิดะ ได้ผ่อนคลายนโยบายด้านคนเข้าเมืองอย่างมีนัยสำคัญในช่วงหลายปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะการผลักดันวีซ่า “แรงงานทักษะเฉพาะทาง (Specified Skilled Worker)” ซึ่งเปิดทางให้ แรงงานต่างด้าวในญี่ปุ่น สามารถเข้ามาทำงานในสาขาที่ขาดแคลนได้ง่ายขึ้นและพำนักได้ยาวนานขึ้น
ญี่ปุ่นแก้ปัญหาคนน้อยลงอย่างไร? คำตอบในปัจจุบันคือ “การพึ่งพาแรงงานต่างชาติ” แม้ว่าในทางสังคมจะยังคงมีความท้าทายในเรื่องการปรับตัวและการยอมรับความหลากหลายทางวัฒนธรรม แต่ในทางเศรษฐศาสตร์แล้ว นี่คือเส้นเลือดเส้นสำคัญที่หล่อเลี้ยงเศรษฐกิจญี่ปุ่นไม่ให้หยุดชะงัก
กระจกสะท้อนถึงไทย เรากำลังเดินตามญี่ปุ่นไปแค่ไหน?
เรื่องราวของญี่ปุ่นน่าสนใจและน่ากังวลสำหรับคนไทย เพราะประเทศไทยกำลังเดินตามเส้นทางประชากรศาสตร์ของญี่ปุ่นไปอย่างรวดเร็ว
สถิติที่น่ากังวล เมื่อไทย “แก่ก่อนรวย”
- อัตราการเกิดต่ำ สภาการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) รายงานว่า อัตราเจริญพันธุ์รวม (TFR) ของไทยในปี 2567 อยู่ที่ประมาณ 1.16 ซึ่งต่ำกว่าระดับทดแทน (2.1) อย่างมาก และเข้าขั้นวิกฤต
- ความเร็วในการสูงวัย ประเทศไทยใช้เวลาเพียง 20 ปีในการเปลี่ยนจาก “สังคมสูงวัย” (ผู้สูงอายุ 10%) ไปสู่ “สังคมสูงวัยอย่างสมบูรณ์” (ผู้สูงอายุ 20%) ในปี 2566 ซึ่งเร็วกว่าญี่ปุ่นและประเทศพัฒนาแล้วหลายแห่ง
- โจทย์ที่ยากกว่า ญี่ปุ่น “รวยก่อนแก่” คือพวกเขากลายเป็นประเทศพัฒนาแล้วและมีรายได้สูงก่อนที่ปัญหาประชากรจะรุนแรง แต่ไทยกำลัง “แก่ก่อนรวย” คือเรากำลังเผชิญกับวิกฤตประชากรในขณะที่ยังติดอยู่ในกับดักรายได้ปานกลาง ทำให้เรามีทรัพยากรในการรับมือกับปัญหานี้น้อยกว่ามาก
ผลกระทบที่รออยู่ข้างหน้า สิ่งที่ญี่ปุ่นเจอวันนี้ ไทยจะเจอวันหน้า
ผลกระทบของสังคมผู้สูงอายุต่อเศรษฐกิจ ที่ญี่ปุ่นกำลังเผชิญอยู่ คือภาพอนาคตของไทยในอีก 5-10 ปีข้างหน้า
- การขาดแคลนแรงงานอย่างรุนแรง ในทุกภาคส่วน ตั้งแต่ภาคเกษตร, อุตสาหกรรม ไปจนถึงภาคบริการและผู้ดูแลผู้สูงอายุ
- ภาระทางการคลัง รายจ่ายด้านสวัสดิการผู้สูงอายุและค่ารักษาพยาบาลจะพุ่งสูงขึ้น สวนทางกับรายได้จากภาษีที่ลดลงจากจำนวนคนทำงานที่น้อยลง
- เศรษฐกิจเติบโตช้า การบริโภคในประเทศจะลดลง ตลาดหดตัว และอาจเข้าสู่ภาวะเติบโตต่ำเป็นระยะเวลานาน
บทเรียนจากโตเกียวถึงกรุงเทพฯ ไทยพร้อมรับมือแล้วหรือยัง?
อนาคตประชากรไทยจะเป็นอย่างไร? คำตอบคือเรากำลังมุ่งหน้าสู่สถานการณ์เดียวกับญี่ปุ่นอย่างแน่นอน คำถามที่สำคัญกว่าคือ เราจะรับมืออย่างไร
- การปฏิรูปนโยบายแรงงานต่างด้าว ถึงเวลาที่ไทยต้องทบทวน นโยบายรับแรงงานต่างด้าวของไทย อย่างจริงจัง โดยเปลี่ยนจากการมองเป็น “แรงงานชั่วคราว” ไปสู่การวางระบบที่เป็นมิตร, มีการคุ้มครองสิทธิ, และเปิดโอกาสให้แรงงานทักษะสามารถตั้งถิ่นฐานได้มากขึ้น เหมือนที่ญี่ปุ่นกำลังทำ
- การยกระดับผลิตภาพและเทคโนโลยี เมื่อแรงงานคนมีน้อยลง เราต้องชดเชยด้วยการเพิ่มผลิตภาพ (Productivity) ของแรงงานที่มีอยู่ผ่านการ Up-skill/Re-skill และการนำระบบอัตโนมัติและหุ่นยนต์มาใช้ในภาคการผลิตและบริการมากขึ้น
- การส่งเสริมการมีบุตรอย่างจริงจัง นโยบายลดหย่อนภาษีหรือเงินอุดหนุนเพียงอย่างเดียวอาจไม่พอ แต่ต้องสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการมีลูกอย่างครบวงจร เช่น ศูนย์ดูแลเด็กที่มีคุณภาพและราคาเข้าถึงได้, การส่งเสริมความเท่าเทียมทางเพศในที่ทำงาน, และการสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจให้คนรุ่นใหม่
- การปฏิรูประบบบำนาญและสุขภาพ ต้องมีการวางแผนระยะยาวเพื่อสร้างความยั่งยืนให้กับระบบประกันสังคมและหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ เพื่อรองรับจำนวนผู้สูงอายุที่จะเพิ่มขึ้นมหาศาล
บทสรุป นาฬิกากำลังเดิน และเราไม่มีเวลาให้เสีย
วิกฤตประชากรญี่ปุ่น คือบทเรียนราคาแพงที่ถูกส่งตรงมาถึงประเทศไทย มันคือการเตือนให้เราตื่นจากความฝันและเผชิญหน้ากับความจริงเชิงโครงสร้างที่กำลังคืบคลานเข้ามาอย่างเงียบเชียบ การเปลี่ยนแปลงทางประชากรศาสตร์นั้นเชื่องช้า แต่เมื่อมันเกิดขึ้นแล้ว ผลกระทบของมันจะรุนแรงและยาวนาน
การตัดสินใจที่ยากลำบากที่ญี่ปุ่นกำลังเผชิญในวันนี้ ไม่ว่าจะเป็นการเปิดรับผู้อพยพ, การปฏิรูปตลาดแรงงาน หรือการหาทางกระตุ้นอัตราการเกิด คือสิ่งเดียวกันกับที่ประเทศไทยต้องเผชิญในวันหน้า นาฬิกากำลังเดิน และเราไม่มีเวลาให้เสียอีกต่อไปในการเตรียมรับมือกับอนาคตที่ได้เดินทางมาถึงแล้ว
แหล่งที่มาจาก : am2con