อดีต ผอ. FBI ถูกตั้งข้อหา คดีสะเทือนขวัญที่ทดสอบหลักนิติธรรมและจิตวิญญาณของอเมริกา

อดีตผอ.เอฟบีไอ ถูกตั้งข้อหา

อดีตผอ.เอฟบีไอ ถูกตั้งข้อหา ณ บันไดหน้าอาคารศาลรัฐบาลกลางในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. มาร์คัส ธอร์น (Marcus Thorne) อดีตผู้อำนวยการสำนักงานสอบสวนกลาง (FBI) ผู้เคยเป็นสัญลักษณ์ของกฎหมายและความยุติธรรมของชาติ ได้ประกาศกร้าวต่อหน้าสื่อมวลชนว่า “ผมบริสุทธิ์” เพียงไม่กี่ชั่วโมงหลังจากกระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ (DOJ) เปิดเผยคำสั่งฟ้องในข้อหาให้การเท็จต่อเจ้าหน้าที่รัฐบาลกลางและขัดขวางกระบวนการยุติธรรม การตั้งข้อหาบุคคลที่เคยดำรงตำแหน่งสูงสุดของหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายที่ทรงอิทธิพลที่สุดของประเทศ ไม่ใช่เป็นเพียงคดีอาญาส่วนบุคคล แต่ได้กลายเป็นจุดศูนย์กลางของพายุทางการเมืองลูกใหญ่ที่กำลัง ทดสอบเสาหลักของประชาธิปไตยอเมริกัน อย่างรุนแรง บทความนี้จะวิเคราะห์ว่าเหตุการณ์นี้ส่งผลกระทบต่อความน่าเชื่อถือของสถาบันยุติธรรมสหรัฐฯ อย่างไร ตอกย้ำความแตกแยกทางการเมืองให้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น และส่งสัญญาณอะไรไปยังนานาชาติเกี่ยวกับหลักนิติธรรมในประเทศมหาอำนาจ

Former FBI Director James Comey indicted on perjury and obstruction charges,  calls Trump a 'tyrant' - The Economic Times

อดีตผอ.เอฟบีไอ ถูกตั้งข้อหา เบื้องหลังคำฟ้อง ข้อกล่าวหา ‘ให้การเท็จ’ และ ‘ขัดขวางกระบวนการยุติธรรม’ คืออะไร?

คำฟ้องที่ยื่นโดยคณะลูกขุนใหญ่รัฐบาลกลาง ระบุว่าการกระทำความผิดของนายธอร์นเกิดขึ้นในช่วงที่เขายังดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการ FBI โดยมีสาระสำคัญสองประการ

  1. การให้การเท็จ (Making False Statements – 18 U.S.C. § 1001) คำฟ้องกล่าวหาว่านายธอร์นได้ให้การอันเป็นเท็จโดยเจตนาต่อผู้ตรวจราชการของกระทรวงยุติธรรม (Inspector General) ในระหว่างการสอบสวนภายใน ประเด็นหลักคือการที่เขปฏิเสธว่าไม่ได้เป็นผู้ “อนุญาต” ให้มีการเปิดเผยข้อมูลที่อ่อนไหวและยังไม่เป็นที่เปิดเผยต่อสาธารณะ (Sensitive, non-public information) เกี่ยวกับการสืบสวนคดีที่มีความสำคัญทางการเมืองสูงคดีหนึ่งแก่สื่อมวลชน
  2. การขัดขวางกระบวนการยุติธรรม (Obstruction of Justice) ข้อหานี้เกี่ยวพันโดยตรงกับข้อหาแรก โดยอัยการระบุว่าการโกหกของผู้ถูกกล่าวหาไม่เพียงแต่เป็นการให้ข้อมูลเท็จ แต่ยังเป็นการกระทำโดยเจตนาเพื่อชี้นำการสอบสวนไปในทางที่ผิด ซึ่งถือเป็นการขัดขวางการทำงานของผู้ตรวจราชการอย่างร้ายแรง

แม้ว่ารายละเอียดของ “ข้อมูลที่รั่วไหล” จะยังคงถูกปิดผนึกไว้ในเอกสารของศาล แต่แหล่งข่าวหลายสำนัก เช่น The New York Times และ The Washington Post รายงานว่าน่าจะเกี่ยวข้องกับการสอบสวนกรณีการแทรกแซงการเลือกตั้งจากต่างประเทศ ซึ่งเป็นประเด็นที่เปราะบางและเป็นเชื้อไฟทางการเมืองมาตลอดหลายปี

พายุการเมืองในวอชิงตัน เมื่อกระบวนการยุติธรรมกลายเป็นสมรภูมิ

ทันทีที่ข่าวการตั้งข้อหาแพร่ออกไป กรุงวอชิงตัน ดี.ซี. ก็เข้าสู่ภาวะเดือดดาลทางการเมืองทันที โดยความคิดเห็นแตกออกเป็นสองขั้วอย่างชัดเจน

เสียงจากสองขั้ว ‘การทวงคืนความยุติธรรม’ ปะทะ ‘การล่าแม่มด’

  • ฝ่ายสนับสนุนการตั้งข้อหา กลุ่มนักการเมืองจากพรรครีพับลิกันและกลุ่มอนุรักษ์นิยมจำนวนมากมองว่านี่คือ “การทวงคืนความยุติธรรมที่รอคอยมานาน” พวกเขากล่าวหามาตลอดว่านายธอร์นและเจ้าหน้าที่ระดับสูงคนอื่นๆ ในหน่วยงานข่าวกรองเป็นส่วนหนึ่งของสิ่งที่เรียกว่า “Deep State” หรือ “รัฐซ้อนรัฐ” ที่ใช้อำนาจในทางที่ผิดเพื่อเป้าหมายทางการเมือง พวกเขามองว่าการฟ้องร้องครั้งนี้เป็นหลักฐานว่าไม่มีใครอยู่เหนือกฎหมาย
    “นี่คือวันที่พิสูจน์ว่าระบบยุติธรรมของเรายังทำงานได้” ส.ว. ทอม คอตตอน กล่าว “ผู้ที่ใช้อำนาจของรัฐบาลในทางที่ผิดเพื่อเล่นเกมการเมือง จะต้องรับผิดชอบต่อการกระทำของตน”
  • ฝ่ายต่อต้านการตั้งข้อหา ในทางกลับกัน นักการเมืองจากพรรคเดโมแครตและกลุ่มเสรีนิยมมองว่านี่คือ “การล่าแม่มดทางการเมือง” (Political Witch Hunt) ที่น่ารังเกียจ พวกเขาเชื่อว่ากระทรวงยุติธรรมในยุคปัจจุบันถูกใช้เป็นเครื่องมือทางการเมืองเพื่อแก้แค้นศัตรูของฝ่ายบริหาร และการตั้งข้อหานายธอร์น ซึ่งเป็นข้าราชการอาชีพ ก็เพื่อทำลายความน่าเชื่อถือของเขาและบ่อนทำลายการสืบสวนคดีสำคัญต่างๆ ที่เขาเคยดูแล
    ทนายความของนายธอร์นกล่าวในแถลงการณ์ว่า “นี่คือการใช้อำนาจของกระทรวงยุติธรรมในทางที่ผิดอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน เป็นการพยายามเปลี่ยนความขัดแย้งทางนโยบายให้กลายเป็นคดีอาญา และเราจะต่อสู้กับข้อกล่าวหาที่ไร้มูลความจริงนี้อย่างถึงที่สุดในศาล”

James Comey: Former FBI Director indicted by federal grand jury | CNN  Politics

เงาอดีต บทเรียนจากกรณีของ เจมส์ โคมีย์ และ แอนดรูว์ แมคเคบ

สถานการณ์ของนายธอร์นไม่ใช่เรื่องใหม่ทั้งหมด มันสะท้อนภาพเหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้นกับอดีตเจ้าหน้าที่ระดับสูงของ FBI สองคนก่อนหน้านี้

  • เจมส์ โคมีย์ (James Comey) อดีตผู้อำนวยการ FBI ที่ถูกประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ปลดออกจากตำแหน่ง ถูกสอบสวนเรื่องการจัดการบันทึกช่วยจำ (memos) ของเขา แต่ท้ายที่สุดกระทรวงยุติธรรมก็ตัดสินใจไม่ตั้งข้อหา
  • แอนดรูว์ แมคเคบ (Andrew McCabe) อดีตรองผู้อำนวยการ FBI ถูกตั้งข้อหาให้การเท็จในลักษณะคล้ายกับนายธอร์น แต่ในที่สุดกระทรวงยุติธรรมก็ได้ถอนฟ้องคดีไปอย่างน่าประหลาดใจในปี 2021

กรณีศึกษาเหล่านี้ชี้ให้เห็นว่าการดำเนินคดีกับเจ้าหน้าที่ระดับสูงของ FBI นั้นมีความซับซ้อนและเต็มไปด้วยกับระเบิดทางการเมืองอย่างยิ่ง

วิกฤตศรัทธา ผลกระทบต่อความน่าเชื่อถือของ FBI และกระทรวงยุติธรรม

สิ่งที่น่ากังวลยิ่งกว่าผลลัพธ์ของคดี คือผลกระทบระยะยาวต่อความน่าเชื่อถือของสถาบันหลักด้านความยุติธรรมของสหรัฐฯ

  • การกัดเซาะความเชื่อมั่น การที่ผู้นำสูงสุดของหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายถูกตั้งข้อหาเสียเอง ยิ่งตอกย้ำความรู้สึกของชาวอเมริกันจำนวนมากว่าระบบยุติธรรมนั้นมี “สองมาตรฐาน” และถูกแทรกแซงโดยการเมือง
  • ข้อมูลโพลชี้ชัด ผลสำรวจจาก Pew Research Center และ Gallup ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาแสดงให้เห็นถึงแนวโน้มความเชื่อมั่นของประชาชนต่อ FBI และกระทรวงยุติธรรมที่ลดลงอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะเมื่อมองผ่านเลนส์ของแต่ละพรรคการเมือง
  • ความท้าทายในการทำงาน วิกฤตศรัทธานี้ส่งผลกระทบโดยตรงต่อเจ้าหน้าที่ภาคสนามของ FBI หลายหมื่นคนที่ต้องทำงานสืบสวนคดีต่างๆ ทั่วประเทศ การถูกมองว่าเป็นเครื่องมือทางการเมืองทำให้การได้รับความร่วมมือจากประชาชนและหน่วยงานอื่นๆ เป็นไปได้ยากขึ้น

มุมมองจากสายตานานาชาติ สัญญาณอะไรที่อเมริกาส่งไปทั่วโลก?

เหตุการณ์นี้ถูกจับตามองอย่างใกล้ชิดจากทั่วโลก ทั้งจากชาติพันธมิตรและชาติคู่แข่ง

  • สำหรับชาติพันธมิตร ความวุ่นวายภายในระบบยุติธรรมของสหรัฐฯ สร้างความกังวลเกี่ยวกับเสถียรภาพทางการเมืองของประเทศผู้นำโลกเสรี และอาจทำให้ความร่วมมือด้านข่าวกรองและการบังคับใช้กฎหมายมีความซับซ้อนมากขึ้น
  • สำหรับชาติคู่แข่ง ประเทศอย่างรัสเซียและจีน มักจะฉวยโอกาสจากเหตุการณ์เช่นนี้เพื่อโฆษณาชวนเชื่อว่า “ประชาธิปไตยแบบอเมริกันกำลังล่มสลาย” และ “หลักนิติธรรม” ของสหรัฐฯ นั้นเป็นเพียงวาทกรรมที่ใช้โจมตีประเทศอื่น แต่ไม่สามารถบังคับใช้กับคนของตัวเองได้จริง

ดังนั้น คดีของนายธอร์นจึงไม่ใช่แค่เรื่องภายในประเทศ แต่ยังส่งผลต่อภาพลักษณ์และ “อำนาจอ่อน” (Soft Power) ของสหรัฐอเมริกาบนเวทีโลกอีกด้วย

Comey proclaims innocence after indictment

บทสรุป (Conclusion)

อดีตผอ.เอฟบีไอ ถูกตั้งข้อหา การต่อสู้ทางกฎหมายของ มาร์คัส ธอร์น เพิ่งจะเริ่มต้นขึ้น และหนทางข้างหน้ายังอีกยาวไกล แต่ไม่ว่าศาลจะตัดสินออกมาอย่างไร ความเสียหายต่อความเชื่อมั่นของสาธารณชนก็ได้เกิดขึ้นแล้ว คดีนี้เป็นภาพสะท้อนที่ชัดเจนที่สุดของยุคสมัยแห่งความแตกแยกในอเมริกา ที่ซึ่งข้อเท็จจริงถูกบิดเบือนด้วยมุมมองทางการเมือง และสถาบันที่ควรจะเป็นกลางกลับถูกดึงลงมาในสนามรบแห่งอุดมการณ์ ท้ายที่สุดแล้ว “การพิจารณาคดี” ที่สำคัญที่สุดอาจไม่ใช่การพิจารณาคดีของอดีตผู้อำนวยการ FBI คนหนึ่ง แต่เป็นการพิจารณาความสามารถของระบบยุติธรรมอเมริกันทั้งหมดในการพิสูจน์ความเป็นกลางและความศักดิ์สิทธิ์ของตนเองให้เป็นที่ประจักษ์อีกครั้ง

แหล่งที่มาจาก : am2con

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *