43 ชั่วโมงใต้พิภพ ปาฏิหาริย์กู้ชีพ 5 คนงานเหมืองทองแอฟริกาใต้ สู่คำถามถึงราคาที่ต้องจ่าย

เหมืองถล่ม แอฟริกาใต้

เหมืองถล่ม แอฟริกาใต้ ณ ปากปล่องเหมืองทอง “คูซาซา” (Kusasa Gold Mine) ใกล้เมืองคาร์ลตันวิลล์ ประเทศแอฟริกาใต้ เสียงเชียร์และเสียงร้องไห้ด้วยความยินดีได้ดังกึกก้องขึ้นมาทำลายความเงียบและความตึงเครียดที่ปกคลุมมานานเกือบสองวันเต็ม เมื่อร่างของคนงานเหมืองคนแรกถูกนำขึ้นมาจากความมืดมิดใต้ดินที่ลึกกว่า 2.5 กิโลเมตร ตามมาด้วยเพื่อนร่วมชะตากรรมอีกสี่คน นี่คือบทสรุปอันน่าปาฏิหาริย์ของภารกิจค้นหาและกู้ภัยที่บีบหัวใจตลอด 43 ชั่วโมง หลังเกิดเหตุ เหมืองถล่ม จากการระเบิดของหินอย่างรุนแรง อย่างไรก็ตาม ในขณะที่ทั้งชาติกำลังเฉลิมฉลองให้กับความกล้าหาญของทีมกู้ภัยและความทรหดของเหล่าผู้รอดชีวิต เหตุการณ์ครั้งนี้ก็ได้จุดประกายคำถามสำคัญที่ถูกซุกซ่อนอยู่ใต้ผืนดินมานานขึ้นมาอีกครั้ง: ปาฏิหาริย์ครั้งนี้จะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงด้านความปลอดภัยที่แท้จริง หรือจะเป็นเพียงแสงสว่างวาบเดียวในประวัติศาสตร์อันมืดมิดและเจ็บปวดของอุตสาหกรรมเหมืองแร่ที่อันตรายที่สุดแห่งหนึ่งของโลก?

23 miners rescued after 43 hours trapped in Colombian gold mine

เหมืองถล่ม แอฟริกาใต้ เสียงเคาะแห่งความหวัง ลำดับเหตุการณ์ปฏิบัติการกู้ภัยสุดระทึก

เรื่องราวแห่งความเป็นความตายเริ่มต้นขึ้นในช่วงเช้าของวันอังคาร เมื่อเกิด “เหตุการณ์แผ่นดินไหว” (Seismic Event) หรือที่คนในวงการเหมืองเรียกว่า “การระเบิดของหิน” (Rock Burst) ซึ่งเป็นปรากฏการณ์ปกติสำหรับเหมืองที่ลึกที่สุดในโลกของแอฟริกาใต้ แรงสั่นสะเทือนได้ทำให้อุโมงค์ในชั้นที่ 120 ซึ่งอยู่ลึกลงไปใต้พื้นดินกว่า 2.5 กิโลเมตร พังถล่มลงมา ปิดทับเส้นทางของคนงานเหมือง 5 คนที่กำลังทำงานอยู่ภายใน

  • ชั่วโมงที่ 1-8 การเริ่มต้นค้นหาและความสิ้นหวัง ทีมกู้ภัยใต้ดินผู้เชี่ยวชาญ หรือที่รู้จักในนาม “Proto Teams” ถูกส่งลงพื้นที่ทันที ภารกิจเต็มไปด้วยความยากลำบากเนื่องจากโครงสร้างอุโมงค์ไม่มั่นคงและเสี่ยงต่อการถล่มซ้ำ การติดต่อกับคนงานทั้ง 5 คนขาดหายไปโดยสิ้นเชิง
  • ชั่วโมงที่ 9 สัญญาณแห่งชีวิต ท่ามกลางความเงียบ ทีมกู้ภัยได้ยิน “เสียงเคาะ” ที่ดังมาเป็นจังหวะจากอีกฟากหนึ่งของกำแพงหินที่ถล่มลงมา เสียงเคาะนั้นได้จุดประกายความหวังให้กับทุกคนที่อยู่ทั้งใต้ดินและบนดิน
  • ชั่วโมงที่ 10-35 การแข่งขันกับเวลา ปฏิบัติการกู้ภัยที่ซับซ้อนได้เริ่มต้นขึ้น ทีมงานต้องค่อยๆ เคลียร์หินและเศษซากอย่างระมัดระวัง พร้อมทั้งติดตั้งอุปกรณ์ค้ำยันเพื่อป้องกันการถล่มเพิ่ม ขณะเดียวกัน อีกทีมได้เริ่มใช้สว่านเจาะสำรวจขนาดเล็กเพื่อเปิดช่องทางส่งอากาศและน้ำดื่มเข้าไปยังจุดที่คาดว่าคนงานติดอยู่
  • ชั่วโมงที่ 36 การติดต่อครั้งแรก ทีมกู้ภัยสามารถเจาะช่องเล็กๆ และสอดกล้องไฟเบอร์ออปติกเข้าไปได้สำเร็จ ภาพที่ปรากฏคือคนงานทั้ง 5 คนยังมีชีวิตอยู่ พวกเขานั่งรวมกลุ่มกันในโพรงเล็กๆ และอยู่ในสภาพอิดโรยแต่ยังมีกำลังใจดี
  • ชั่วโมงที่ 36-43 การเปิดเส้นทางสู่อิสรภาพ ภารกิจเปลี่ยนไปสู่การขยายช่องว่างอย่างค่อยเป็นค่อยไปเพื่อให้ใหญ่พอที่คนจะสามารถคลานออกมาได้ ซึ่งเป็นขั้นตอนที่อันตรายที่สุด จนกระทั่งในที่สุดช่วงเช้าของวันพฤหัสบดี คนงานคนแรกก็ถูกช่วยเหลือออกมาได้สำเร็จ ตามด้วยอีก 4 คน ท่ามกลางเสียงโห่ร้องยินดี

“เราแค่สวดมนต์และอยู่ด้วยกัน” คำบอกเล่าจากความมืดมิด

ซิโฟ คูมาโล (Sipho Khumalo) คนงานเหมืองอาวุโส หนึ่งในผู้รอดชีวิต เล่าด้วยน้ำเสียงสั่นเครือหลังได้รับการปฐมพยาบาลว่า “ตอนที่มันถล่ม ทุกอย่างมืดไปหมด ฝุ่นตลบจนหายใจไม่ออก เราคิดว่าเราตายไปแล้ว แต่เราก็รวบรวมสติ คอยตะโกนเรียกชื่อกันและกันเพื่อให้แน่ใจว่าทุกคนยังอยู่ เรามีน้ำติดตัวคนละขวดเล็กๆ และไฟฉายที่หมวก เราพยายามประหยัดแบตเตอรี่ให้มากที่สุด สิ่งเดียวที่เราทำได้คือสวดมนต์และอยู่ด้วยกัน คอยให้กำลังใจกันและกัน เสียงเคาะที่เราได้ยินจากทีมกู้ภัยคือเสียงจากสวรรค์”

เรื่องราวการรอดชีวิตของพวกเขาแสดงให้เห็นถึงความสำคัญของสติ การฝึกฝน และที่สำคัญที่สุดคือความสามัคคีในยามเผชิญหน้ากับความตาย

23 Miners Rescued After 43 Hours Trapped In Colombian Gold Mine

“Proto Teams” วีรบุรุษในเงามืดแห่งอุตสาหกรรมเหมืองแร่

เบื้องหลังความสำเร็จของภารกิจครั้งนี้คือความกล้าหาญและเชี่ยวชาญของ “Proto Teams” หน่วยกู้ภัยชั้นยอดของอุตสาหกรรมเหมืองแร่แอฟริกาใต้ พวกเขาไม่ใช่คนนอก แต่คือคนงานเหมืองผู้มีประสบการณ์สูงที่อาสาเข้ารับการฝึกฝนอย่างหนักเพื่อรับมือกับสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุดใต้พิภพ ทั้งการดับเพลิงในอุโมงค์, การกู้ภัยในที่อับอากาศ, และการรับมือกับเหตุการณ์เหมืองถล่ม พวกเขาทำงานในสภาพแวดล้อมที่อันตรายที่สุด โดยเอาชีวิตของตนเองเป็นเดิมพันเพื่อช่วยเหลือเพื่อนร่วมอาชีพ

ไม่ใช่ครั้งแรก ประวัติศาสตร์ที่เจ็บปวดและความปลอดภัยในเหมืองแอฟริกาใต้

แม้เหตุการณ์นี้จะจบลงด้วยดี แต่ก็เป็นเครื่องย้ำเตือนถึงสถิติความปลอดภัยที่น่ากังวลของอุตสาหกรรมเหมืองแร่ในแอฟริกาใต้ ข้อมูลจาก กรมทรัพยากรธรณีและพลังงาน (Department of Mineral Resources and Energy – DMRE) ระบุว่า แม้จำนวนผู้เสียชีวิตจะลดลงอย่างมากจากช่วงยุคแบ่งแยกสีผิว แต่ในแต่ละปียังคงมีคนงานเหมืองเสียชีวิตหลายสิบคนจากอุบัติเหตุต่างๆ โดยเฉพาะในเหมืองทองคำและแพลทินัมที่อยู่ลึกหลายกิโลเมตรใต้ดิน ซึ่งมีความเสี่ยงสูงจากแรงกดดันของชั้นหินที่นำไปสู่การระเบิดของหิน

สหภาพแรงงานคนงานเหมืองแห่งชาติ (National Union of Mineworkers – NUM) ซึ่งเป็นสหภาพที่ใหญ่ที่สุด ได้ออกมาเรียกร้องทันทีหลังเหตุการณ์นี้ “เราดีใจที่พี่น้องของเราปลอดภัย แต่เราจะเฉลิมฉลองปาฏิหาริย์ครั้งนี้ไม่ได้ หากมันไม่ได้นำไปสู่การเปลี่ยนแปลง” โฆษกของ NUM กล่าว “เราขอเรียกร้องให้ DMRE และบริษัทเจ้าของเหมืองทำการสอบสวนเหตุการณ์นี้อย่างเต็มรูปแบบและโปร่งใส และทบทวนมาตรการความปลอดภัยทั้งหมด เราไม่สามารถรอให้เกิดโศกนาฏกรรมครั้งต่อไปเพื่อที่จะลงมือทำอะไรสักอย่างได้อีกแล้ว”

23 miners rescued after 43 hours trapped in Colombian gold mine

ทองคำ เลือด และหยาดเหงื่อ ต้นทุนที่แท้จริงของความมั่งคั่งใต้ดิน

เหมืองถล่ม แอฟริกาใต้ อุตสาหกรรมเหมืองแร่เป็นกระดูกสันหลังของเศรษฐกิจแอฟริกาใต้มานานกว่าศตวรรษ สร้างงานและรายได้มหาศาลให้กับประเทศ แต่ความมั่งคั่งเหล่านี้ก็ถูกสร้างขึ้นบนความเสี่ยงและหยาดเหงื่อแรงงานของคนงานหลายแสนคน ที่ต้องลงไปทำงานในสภาพแวดล้อมที่อันตรายทุกวันเพื่อแลกกับค่าจ้างในการเลี้ยงดูครอบครัว เหตุการณ์เหมืองถล่มที่เหมืองคูซาซาจึงเป็นมากกว่าอุบัติเหตุ แต่เป็นภาพสะท้อนของความขัดแย้งเชิงโครงสร้างระหว่างผลกำไรทางเศรษฐกิจและคุณค่าของชีวิตมนุษย์

บทสรุป การรอดชีวิตของคนงานเหมืองทั้ง 5 คนคือชัยชนะของจิตวิญญาณมนุษย์และความกล้าหาญของทีมกู้ภัยอย่างไม่ต้องสงสัย แต่เรื่องราวที่แท้จริงเพิ่งเริ่มต้นขึ้น บอลได้ถูกส่งต่อไปยังบริษัทเหมือง, สหภาพแรงงาน, และหน่วยงานกำกับดูแลของรัฐบาลแล้ว ว่าจะปล่อยให้เหตุการณ์นี้เป็นเพียง “ข่าวดัง” ที่จะเลือนหายไปกับกาลเวลา หรือจะใช้มันเป็นจุดเปลี่ยนในการปฏิรูปมาตรฐานความปลอดภัยอย่างจริงจัง เพื่อให้แน่ใจว่า “ปาฏิหาริย์” จะไม่ใช่สิ่งที่คนงานเหมืองต้องภาวนาหาทุกครั้งที่พวกเขาเดินทางลงสู่ความมืดใต้พิภพ

แหล่งที่มาจาก : am2con

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *