ไต้ฝุ่นรากาซา ไต้หวัน ไต้หวันกำลังเผชิญหน้ากับหนึ่งในบททดสอบทางธรรมชาติครั้งใหญ่ที่สุดในรอบหลายปี หลังซูเปอร์ไต้ฝุ่นรากาซา (Typhoon Ragasa) พัดขึ้นฝั่งทางชายฝั่งตะวันออกด้วยความรุนแรงระดับสูงสุด ส่งผลให้เกิดฝนตกหนักเป็นประวัติการณ์ ลมกระโชกแรง และดินโคลนถล่มเป็นวงกว้าง ล่าสุดมีรายงานผู้เสียชีวิตแล้วอย่างน้อย 2 ราย บาดเจ็บอีกหลายร้อยคน และประชาชนหลายพันคนต้องอพยพออกจากที่อยู่อาศัย ขณะที่สถานการณ์น้ำท่วมไต้หวันเข้าขั้นวิกฤต โดยเฉพาะภาพน้ำจากทะเลสาบสุริยันจันทราที่เอ่อล้นตลิ่งได้กลายเป็นสัญลักษณ์ของความรุนแรงในครั้งนี้ เหตุการณ์นี้ไม่ใช่เป็นเพียงการรายงานความเสียหายจากภัยพิบัติไต้หวัน แต่ยังเป็นกรณีศึกษาสำคัญที่กำลังทดสอบขีดจำกัดของระบบเตือนภัยและบริหารจัดการภัยพิบัติที่ได้รับการยอมรับว่าดีที่สุดแห่งหนึ่งของโลก ท่ามกลางความท้าทายจากสภาพอากาศสุดขั้วที่ทวีความรุนแรงขึ้นจากภาวะโลกร้อน
ไต้ฝุ่นรากาซา ไต้หวัน “รากาซา” ขึ้นฝั่ง ความรุนแรงและเส้นทางพายุ
ซูเปอร์ไต้ฝุ่นรากาซา ซึ่งทวีกำลังขึ้นอย่างรวดเร็วเหนือมหาสมุทรแปซิฟิก ได้พัดขึ้นฝั่งอย่างเป็นทางการในช่วงเช้าของวันที่ 23 กันยายน 2025 บริเวณเทศมณฑลอี๋หลาน (Yilan) และ ฮวาเหลียน (Hualien) ทางภาคตะวันออกของไต้หวัน กรมอุตุนิยมวิทยากลาง (Central Weather Administration – CWA) ของไต้หวัน รายงานว่าพายุมีความเร็วลมสูงสุดใกล้ศูนย์กลางถึง 200 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เทียบเท่าพายุเฮอร์ริเคนระดับ 4 ซึ่งถือเป็นพายุที่มีความรุนแรงที่สุดที่พัดเข้าไต้หวันโดยตรงในรอบกว่า 5 ปี
เส้นทางพายุไต้ฝุ่นรากาซาล่าสุด แสดงให้เห็นว่าพายุได้เคลื่อนตัวตัดผ่านตอนกลางของเกาะไต้หวันอย่างช้าๆ มุ่งหน้าไปทางทิศตะวันตก ซึ่งการเคลื่อนตัวที่ช้านี้เองเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดการสะสมของปริมาณน้ำฝนในพื้นที่ภูเขาอย่างมหาศาล บางพื้นที่ในเทศมณฑลอี๋หลานมีปริมาณน้ำฝนสะสมเกินกว่า 1,000 มิลลิเมตรภายในเวลาเพียง 24 ชั่วโมง ซึ่งเป็นตัวเลขที่ทุบสถิติเดิมและเป็นสาเหตุหลักของอุทกภัยและดินโคลนถล่มที่เกิดขึ้นตามมา
ความสูญเสียและความเสียหาย ภาพรวมสถานการณ์ล่าสุด
ณ เวลา 16.00 น. ของวันที่ 24 กันยายน 2025 ศูนย์บัญชาการสถานการณ์ฉุกเฉินกลางของไต้หวันได้สรุปผลกระทบเบื้องต้นดังนี้
- ผู้เสียชีวิต ยืนยันอย่างน้อย 2 ราย โดยรายหนึ่งเสียชีวิตจากอุบัติเหตุรถยนต์เนื่องจากทัศนวิสัยเลวร้าย และอีกรายเสียชีวิตจากดินโคลนถล่มทับบ้านพัก
- ผู้บาดเจ็บ มีรายงานผู้ได้รับบาดเจ็บแล้วกว่า 320 คน ส่วนใหญ่เกิดจากวัตถุที่ถูกลมพัดปลิวและอุบัติเหตุบนท้องถนน
- ผู้อพยพ ประชาชนกว่า 7,500 คนในพื้นที่เสี่ยง โดยเฉพาะบริเวณเชิงเขาและที่ลุ่มริมแม่น้ำ ถูกอพยพไปยังศูนย์พักพิงชั่วคราวที่ทางการจัดเตรียมไว้
- ไฟฟ้าดับ บ้านเรือนกว่า 850,000 ครัวเรือนทั่วไต้หวันประสบปัญหาไฟฟ้าดับ ขณะที่เจ้าหน้าที่กำลังเร่งดำเนินการซ่อมแซม
- โครงสร้างพื้นฐาน ถนนและสะพานหลายสาย โดยเฉพาะในพื้นที่ภาคตะวันออกและภาคกลางได้รับความเสียหายอย่างหนักจากน้ำป่าไหลหลากและดินถล่ม เที่ยวบินภายในประเทศและรถไฟความเร็วสูงต้องหยุดให้บริการชั่วคราว
ภาพข่าวจากสื่อทั่วโลกได้เผยให้เห็นถึงความรุนแรงของสถานการณ์ ทั้งภาพรถยนต์ที่ถูกกระแสน้ำพัดพาไป ถนนที่กลายสภาพเป็นคลอง และระดับน้ำในเขื่อนและทะเลสาบสำคัญอย่างทะเลสาบสุริยันจันทราที่สูงขึ้นจนเอ่อล้นเข้าท่วมพื้นที่ท่องเที่ยวโดยรอบ สร้างความเสียหายอย่างหนัก
เกราะป้องกันของไต้หวัน ระบบเตือนภัยและจัดการภัยพิบัติทำงานอย่างไร?
แม้จะเผชิญกับพายุที่รุนแรง แต่สิ่งที่ทำให้ไต้หวันแตกต่างจากหลายประเทศคือระบบการเตรียมพร้อมรับมือภัยพิบัติที่บูรณาการและทันสมัย ซึ่งช่วยลดความสูญเสียให้อยู่ในวงจำกัดได้เป็นอย่างดี
การพยากรณ์ที่แม่นยำจาก กรมอุตุนิยมวิทยากลาง (CWA)
CWA คือหัวใจสำคัญของการรับมือพายุ พวกเขาสามารถพยากรณ์เส้นทางพายุไต้ฝุ่นรากาซาและความรุนแรงได้อย่างแม่นยำล่วงหน้าหลายวัน ทำให้รัฐบาลและประชาชนมีเวลาเตรียมตัวอย่างเพียงพอ มีการประกาศเตือนภัยระดับสูงสุดในพื้นที่เสี่ยง และมีการอัปเดตข้อมูลแบบเรียลไทม์ตลอด 24 ชั่วโมง ผ่านทุกช่องทางการสื่อสาร
ปฏิบัติการเชิงรุก อพยพประชาชนและระดมกำลังทหาร
ก่อนที่พายุจะขึ้นฝั่ง รัฐบาลได้ประกาศปิดโรงเรียนและหน่วยงานราชการในพื้นที่ที่คาดว่าจะได้รับผลกระทบหนักที่สุด พร้อมทั้งสั่งอพยพประชาชนในพื้นที่เสี่ยงภัยล่วงหน้า กองทัพไต้หวันได้ระดมกำลังพลและยุทโธปกรณ์ เช่น รถสะเทินน้ำสะเทินบกและเฮลิคอปเตอร์ เข้าประจำการในพื้นที่ต่างๆ เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับภารกิจค้นหาและกู้ภัยในทันที ซึ่งเป็นมาตรการที่แสดงให้เห็นถึงการให้ความสำคัญกับชีวิตของประชาชนเป็นอันดับแรก
เมื่อการเตรียมพร้อมอาจไม่เพียงพอ บทเรียนจากภาวะโลกร้อน
คำถามสำคัญที่เกิดขึ้นหลังเหตุการณ์นี้คือ ไต้หวันรับมือพายุไต้ฝุ่นอย่างไรในวันที่ธรรมชาติแปรปรวนเกินกว่าที่เคยคาดการณ์? แม้จะมีระบบที่ดีที่สุด แต่ความรุนแรงของไต้ฝุ่นรากาซาได้ชี้ให้เห็นถึงความเปราะบางที่แม้แต่ประเทศที่เตรียมพร้อมที่สุดก็ยังต้องเผชิญ
ปริมาณน้ำฝนทุบสถิติ ผลพวงจากอุณหภูมิน้ำทะเลที่สูงขึ้น
นักวิทยาศาสตร์ด้านสภาพภูมิอากาศจาก Academia Sinica สถาบันวิจัยชั้นนำของไต้หวัน ชี้ว่าปริมาณน้ำฝนที่ “ผิดปกติ” จากไต้ฝุ่นรากาซา มีความเชื่อมโยงโดยตรงกับอุณหภูมิของผิวน้ำทะเลในมหาสมุทรแปซิฟิกที่สูงขึ้นจากภาวะโลกร้อน ไอน้ำที่ระเหยขึ้นไปในปริมาณมหาศาลได้กลายเป็นเชื้อเพลิงชั้นดีที่ “ซูเปอร์ชาร์จ” ให้พายุมีความรุนแรงและอุ้มน้ำได้มากกว่าในอดีต กรณีนี้จึงเป็นสัญญาณเตือนที่ชัดเจนว่า แบบจำลองการพยากรณ์และโครงสร้างพื้นฐานที่ออกแบบมาเพื่อรับมือกับพายุในอดีต อาจไม่เพียงพออีกต่อไปสำหรับ “ความปกติใหม่” (New Normal) ของสภาพอากาศสุดขั้ว
ผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลก ความเปราะบางของห่วงโซ่อุปทาน
แม้ความเสียหายจะกระจุกตัวในภาคเกษตรกรรมและการท่องเที่ยวเป็นหลัก แต่การหยุดชะงักของกิจกรรมทางเศรษฐกิจในไต้หวันย่อมส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลกอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในอุตสาหกรรมการผลิตเซมิคอนดักเตอร์ แม้ว่าโรงงานส่วนใหญ่จะตั้งอยู่ทางภาคตะวันตกซึ่งได้รับผลกระทบน้อยกว่า แต่ปัญหาไฟฟ้าดับและการขนส่งที่หยุดชะงักก็อาจสร้างความล่าช้าในห่วงโซ่อุปทานชิประดับโลกได้ ซึ่งตอกย้ำให้เห็นถึงความเปราะบางของระบบเศรษฐกิจโลกที่พึ่งพิงฐานการผลิตในพื้นที่ที่มีความเสี่ยงสูงต่อภัยพิบัติ
บทสรุป (Conclusion) ไต้ฝุ่นรากาซา ไต้หวัน ได้ทิ้งบาดแผลและความเสียหายไว้อย่างมหาศาล ขณะที่ภารกิจเร่งด่วนในขณะนี้คือการค้นหาผู้สูญหาย, ช่วยเหลือผู้ประสบภัย และฟื้นฟูพื้นที่ที่เสียหาย แต่บทเรียนสำคัญจากพายุลูกนี้ได้ส่งเสียงดังไปไกลกว่านั้น มันคือเครื่องยืนยันว่า ในยุคที่โลกกำลังเดือดพล่านด้วยวิกฤตสภาพภูมิอากาศ ไม่มีประเทศใดสามารถนิ่งนอนใจได้อีกต่อไป ระบบการเตรียมพร้อมที่ดีที่สุดของไต้หวันได้ช่วยรักษาชีวิตคนนับไม่ถ้วน แต่ก็ยังไม่สามารถป้องกันความสูญเสียทั้งหมดได้ทั้งหมด นี่คือความท้าทายร่วมกันของมวลมนุษยชาติที่ต้องเร่งมือลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและปรับตัวเพื่อรับมือกับภัยพิบัติที่จะทวีความรุนแรงขึ้นในอนาคต
แหล่งที่มาจาก : am2con