ประเทศปลอดภัยสุดในโลก สิงคโปร์ตอกย้ำสถานะความเป็นเลิศด้านความปลอดภัยสาธารณะอีกครั้ง ด้วยการครองอันดับ 1 ประเทศที่ปลอดภัยที่สุดในโลกเป็นปีที่ 12 ติดต่อกัน จากรายงาน “Global Law and Order” ประจำปีล่าสุดโดย Gallup บริษัทวิเคราะห์และให้คำปรึกษาระดับโลก ซึ่งเผยให้เห็นถึงความเชื่อมั่นอย่างท่วมท้นของประชาชนต่อระบบกฎหมายและการบังคับใช้กฎหมายที่เข้มแข็ง ในขณะที่ประเทศไทยถูกจัดให้อยู่ในอันดับกลางของภูมิภาคเอเชีย สะท้อนให้เห็นถึงโอกาสและความท้าทายในการยกระดับความปลอดภัยและสร้างความเชื่อมั่นให้แก่พลเมืองและนักท่องเที่ยว
รายงานฉบับนี้ ซึ่งเปรียบเสมือนมาตรวัดความรู้สึกปลอดภัยของประชากรทั่วโลก ได้มอบคะแนนดัชนีกฎหมายและความสงบเรียบร้อย (Law and Order Index Score) ให้แก่สิงคโปร์สูงถึง 97 จาก 100 คะแนนเต็ม ซึ่งเป็นคะแนนสูงสุดในบรรดาประเทศที่ทำการสำรวจกว่า 140 ประเทศทั่วโลก ผลลัพธ์ดังกล่าวไม่เพียงแต่ยืนยันถึงประสิทธิภาพของนโยบายภาครัฐ แต่ยังสะท้อนถึงระเบียบวินัยและความร่วมมือของภาคประชาสังคมที่หล่อหลอมให้สิงคโปร์กลายเป็นมาตรฐานด้านความปลอดภัยที่นานาชาติต้องจับตา
ในทางกลับกัน อันดับของประเทศไทยแม้จะไม่ได้อยู่ในระดับวิกฤต แต่การอยู่ในช่วงกลางของตารางในระดับภูมิภาคเอเชีย ชี้ให้เห็นถึง “ช่องว่างของความไว้วางใจ” และปัญหาด้านความปลอดภัยที่ยังคงเป็นโจทย์ใหญ่สำหรับรัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเด็นอาชญากรรมตามท้องถนน ความปลอดภัยของนักท่องเที่ยว และความเชื่อมั่นต่อกระบวนการยุติธรรม ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อการพัฒนาเศรษฐกิจและการดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ
บทวิเคราะห์เชิงลึกนี้จะเจาะลึกถึงเบื้องหลังความสำเร็จของ “โมเดลสิงคโปร์” พร้อมทั้งสำรวจสถานการณ์ของประเทศไทยในปัจจุบัน เปรียบเทียบกับประเทศอื่นๆ ในภูมิภาค และวิเคราะห์ถึงผลกระทบที่ความปลอดภัยมีต่อมิติต่างๆ ตั้งแต่เศรษฐกิจ สังคม ไปจนถึงการท่องเที่ยว เพื่อทำความเข้าใจว่าอะไรคือปัจจัยที่สร้างความแตกต่าง และประเทศไทยจะสามารถเรียนรู้อะไรจากกรณีศึกษานี้ได้บ้าง
ประเทศปลอดภัยสุดในโลก ถอดรหัสรายงาน Gallup Global Law and Order มาตรวัดความรู้สึกปลอดภัยของผู้คนทั่วโลก
ก่อนที่จะเจาะลึกถึงความสำเร็จของสิงคโปร์และความท้าทายของไทย เราจำเป็นต้องทำความเข้าใจถึงหลักการและวิธีการของรายงาน “Global Law and Order” จาก Gallup ซึ่งถือเป็นหนึ่งในเครื่องมือที่ได้รับการยอมรับในระดับสากลสำหรับการวัด “ความรู้สึก” ปลอดภัยของประชากร ซึ่งแตกต่างจากสถิติอาชญากรรมที่เป็นทางการโดยหน่วยงานตำรวจ
ระเบียบวิธีวิจัยและคำถามหลัก
Gallup ทำการสำรวจผ่านการสัมภาษณ์ผู้ใหญ่กว่า 1,000 คนในแต่ละประเทศ (ทั้งทางโทรศัพท์และแบบตัวต่อตัว) โดยใช้ชุดคำถามมาตรฐาน 4 ข้อ เพื่อประเมินการรับรู้และความเชื่อมั่นส่วนบุคคลต่อความปลอดภัยในชุมชนของตนเอง
- ความเชื่อมั่นในตำรวจท้องที่ ในเมืองหรือพื้นที่ที่คุณอาศัยอยู่ คุณมีความเชื่อมั่นในเจ้าหน้าที่ตำรวจท้องที่มากน้อยเพียงใด?
- ความรู้สึกปลอดภัยเมื่อเดินคนเดียวตอนกลางคืน คุณรู้สึกปลอดภัยหรือไม่เมื่อต้องเดินคนเดียวในเมืองหรือพื้นที่ที่คุณอาศัยอยู่ตอนกลางคืน?
- ประสบการณ์ถูกลักทรัพย์ ภายใน 12 เดือนที่ผ่านมา คุณหรือสมาชิกในครัวเรือนของคุณเคยถูกขโมยเงินหรือทรัพย์สินหรือไม่?
- ประสบการณ์ถูกทำร้ายร่างกาย ภายใน 12 เดือนที่ผ่านมา คุณเคยถูกทำร้ายร่างกายหรือปล้นชิงทรัพย์หรือไม่?
คะแนนดัชนีจะถูกคำนวณจากคำตอบเหล่านี้ ซึ่งสะท้อนภาพรวมของประสบการณ์และความรู้สึกปลอดภัยของประชากรในประเทศนั้นๆ ยิ่งคะแนนสูง หมายความว่าประชากรส่วนใหญ่มีประสบการณ์เชิงบวกต่อความปลอดภัยและมีความเชื่อมั่นสูงต่อการบังคับใช้กฎหมาย
ภาพรวมผลการจัดอันดับโลกในปีล่าสุด
นอกเหนือจากสิงคโปร์ที่ได้คะแนน 97 คะแนนแล้ว ประเทศที่ติดอันดับต้นๆ ของโลกมักเป็นประเทศในแถบยุโรปและเอเชียตะวันออก เช่น
- เติร์กเมนิสถาน
- นอร์เวย์
- สวิตเซอร์แลนด์
- ฟินแลนด์
ในทางตรงกันข้าม ประเทศที่ได้คะแนนต่ำสุดมักเป็นประเทศที่เผชิญกับความขัดแย้งภายใน ความไม่สงบทางการเมือง และความไร้เสถียรภาพทางเศรษฐกิจ ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าความสงบเรียบร้อยของบ้านเมืองเป็นรากฐานสำคัญของความรู้สึกปลอดภัย
การที่รายงานนี้เน้น “การรับรู้” (Perception) เป็นสิ่งสำคัญ เพราะแม้สถิติอาชญากรรมอย่างเป็นทางการอาจจะต่ำ แต่หากประชาชนยังคงรู้สึกหวาดกลัวหรือไม่เชื่อมั่นในตำรวจ ก็จะส่งผลกระทบโดยตรงต่อคุณภาพชีวิต การใช้จ่ายทางเศรษฐกิจ และการตัดสินใจเดินทางของนักท่องเที่ยว
เจาะลึก “โมเดลสิงคโปร์” เหตุใดจึงเป็นดินแดนที่ปลอดภัยที่สุดในโลกอย่างต่อเนื่อง?
การที่สิงคโปร์สามารถรักษาตำแหน่งแชมป์ไว้ได้ถึง 12 สมัยซ้อน ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่เป็นผลลัพธ์ของยุทธศาสตร์ชาติที่บูรณาการปัจจัยหลายด้านเข้าไว้ด้วยกันอย่างมีประสิทธิภาพ จนกลายเป็น “โมเดลสิงคโปร์” ที่หลายประเทศต่างต้องการศึกษาและนำไปปรับใช้ ปัจจัยสำคัญที่อยู่เบื้องหลังความสำเร็จนี้ประกอบด้วย
- การบังคับใช้กฎหมายที่เข้มงวดและเด็ดขาด (Strict Law Enforcement)
- บทลงโทษที่รุนแรง สิงคโปร์มีชื่อเสียงในด้านกฎหมายที่เข้มงวดและบทลงโทษที่รุนแรงสำหรับอาชญากรรมร้ายแรง เช่น การค้ายาเสพติด การก่อการร้าย และการครอบครองอาวุธปืน ซึ่งทำหน้าที่เป็นเครื่องป้องปราม (Deterrent) ที่มีประสิทธิภาพ
- ค่าปรับที่สูง แม้แต่ความผิดเล็กๆ น้อยๆ เช่น การทิ้งขยะในที่สาธารณะ การสูบบุหรี่ในที่ห้ามสูบ หรือการข้ามถนนอย่างผิดกฎหมาย ก็มีบทลงโทษเป็นค่าปรับในอัตราที่สูง ซึ่งช่วยสร้างระเบียบวินัยทางสังคมในวงกว้าง
- ไม่มีข้อยกเว้น การบังคับใช้กฎหมายเป็นไปอย่างเท่าเทียมกัน ไม่ว่าจะเป็นพลเมืองสิงคโปร์หรือชาวต่างชาติ ทำให้ทุกคนอยู่ภายใต้มาตรฐานเดียวกัน
- ความเชื่อมั่นในระบบยุติธรรมและตำรวจ (High Trust in Judiciary and Police)
- ตำรวจที่มีประสิทธิภาพและโปร่งใส กองกำลังตำรวจสิงคโปร์ (Singapore Police Force – SPF) ได้รับการยอมรับในเรื่องความเป็นมืออาชีพ ประสิทธิภาพในการทำงาน และมีอัตราการทุจริตคอร์รัปชันที่ต่ำมาก เวลาในการตอบสนองต่อเหตุฉุกเฉินที่รวดเร็วและการนำเทคโนโลยีเข้ามาช่วยในการสืบสวน ทำให้ประชาชนรู้สึกอุ่นใจ
- กระบวนการยุติธรรมที่รวดเร็ว ระบบศาลของสิงคโปร์มีชื่อเสียงด้านความรวดเร็วในการพิจารณาคดี ซึ่งช่วยลดปัญหาคดีค้างเก่าและสร้างความเชื่อมั่นว่าผู้กระทำผิดจะถูกนำตัวมาลงโทษโดยเร็ว
- การลงทุนด้านเทคโนโลยีเพื่อความปลอดภัย (Investment in Security Technology)
- เครือข่ายกล้องวงจรปิด (CCTV) ทั่วประเทศ สิงคโปร์มีการติดตั้งกล้องวงจรปิดคุณภาพสูงในพื้นที่สาธารณะอย่างครอบคลุม ตั้งแต่สถานีรถไฟฟ้า ป้ายรถประจำทาง ไปจนถึงโครงการที่อยู่อาศัยของรัฐบาล (HDB) ซึ่งช่วยในการป้องปรามและติดตามผู้กระทำความผิด
- ระบบจดจำใบหน้า (Facial Recognition) มีการนำเทคโนโลยีจดจำใบหน้ามาใช้ในสนามบินและจุดผ่านแดนต่างๆ เพื่อเพิ่มความปลอดภัยและประสิทธิภาพในการตรวจสอบบุคคล
- การสร้างความสามัคคีในสังคมพหุวัฒนธรรม (Social and Racial Harmony)
- นโยบายที่ส่งเสริมความเท่าเทียม รัฐบาลสิงคโปร์มีนโยบายที่ชัดเจนในการส่งเสริมความสามัคคีระหว่างเชื้อชาติและศาสนาที่แตกต่างกัน เพื่อป้องกันความขัดแย้งทางสังคมที่อาจนำไปสู่ความรุนแรง
- การมีส่วนร่วมของชุมชน โครงการ “Community Policing” ส่งเสริมให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในการสอดส่องดูแลความปลอดภัยในพื้นที่ของตนเอง สร้างความรู้สึกเป็นเจ้าของและความรับผิดชอบร่วมกัน
- ความมั่นคงทางเศรษฐกิจและคุณภาพชีวิต (Economic Stability and Quality of Life)
- อัตราการว่างงานต่ำ เศรษฐกิจที่แข็งแกร่งและอัตราการว่างงานที่ต่ำ ช่วยลดแรงจูงใจในการก่ออาชญากรรมที่เกี่ยวข้องกับทรัพย์สิน
- การศึกษาที่มีคุณภาพ ระบบการศึกษาที่ได้มาตรฐานสร้างโอกาสให้แก่ประชากรทุกคน ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญในการลดความเหลื่อมล้ำทางสังคม
โมเดลของสิงคโปร์แสดงให้เห็นว่า “ความปลอดภัย” ไม่ได้เกิดจากมิติด้านการบังคับใช้กฎหมายเพียงอย่างเดียว แต่เป็นผลลัพธ์ของการพัฒนาประเทศแบบองค์รวม ทั้งด้านสังคม เศรษฐกิจ และเทคโนโลยี
วิเคราะห์อันดับประเทศไทย ความท้าทายบนเส้นทางสู่การเป็น “เมืองปลอดภัย”
การที่ประเทศไทยถูกจัดอันดับอยู่ในระดับกลางของเอเชีย สะท้อนภาพความเป็นจริงที่ซับซ้อน แม้ไทยจะไม่ใช่ประเทศที่มีอัตราอาชญากรรมรุนแรงสูงเมื่อเทียบกับบางประเทศในโลก แต่ก็ยังมีปัญหาเชิงโครงสร้างและประเด็นเฉพาะจุดที่บั่นทอนความเชื่อมั่นของประชาชนและนักท่องเที่ยว
ปัจจัยที่ส่งผลต่ออันดับของไทย
- อาชญากรรมตามท้องถนนและยาเสพติด ปัญหาการลักเล็กขโมยน้อย การชิงทรัพย์ในพื้นที่ท่องเที่ยว และการแพร่ระบาดของยาเสพติดในบางชุมชน ยังคงเป็นข่าวที่ปรากฏให้เห็นอยู่เสมอ ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อ “ความรู้สึก” ไม่ปลอดภัย โดยเฉพาะในยามค่ำคืน
- ความปลอดภัยบนท้องถนน อัตราการเกิดอุบัติเหตุทางถนนที่สูงเป็นอันดับต้นๆ ของโลก เป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่ลดทอนภาพลักษณ์ด้านความปลอดภัยโดยรวมของประเทศ
- ความเชื่อมั่นต่อการบังคับใช้กฎหมาย ประเด็นเรื่องการทุจริตคอร์รัปชันในบางหน่วยงาน และความล่าช้าของกระบวนการยุติธรรมในบางคดี ทำให้ประชาชนบางส่วนขาดความเชื่อมั่นต่อเจ้าหน้าที่และระบบกฎหมาย ซึ่งเป็นคำถามสำคัญในแบบสำรวจของ Gallup
- ความปลอดภัยของนักท่องเที่ยว แม้รัฐบาลจะพยายามอย่างหนักในการดูแลนักท่องเที่ยว แต่เหตุการณ์ทำร้ายร่างกายหรือหลอกลวงนักท่องเที่ยวที่เกิดขึ้นเป็นครั้งคราว มักถูกนำเสนอผ่านสื่อต่างประเทศอย่างรวดเร็ว ส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมการท่องเที่ยวซึ่งเป็นเส้นเลือดหลักของเศรษฐกิจ
มุมมองเปรียบเทียบในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
เมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้านในอาเซียน อันดับของไทยมักจะอยู่สูงกว่าบางประเทศที่เผชิญปัญหาความไม่สงบภายใน แต่ก็ยังตามหลังประเทศอย่างสิงคโปร์ และมักจะอยู่ในระดับใกล้เคียงกับมาเลเซียหรือเวียดนาม ซึ่งแต่ละประเทศก็มีความท้าทายที่แตกต่างกันไป การเปรียบเทียบนี้ชี้ให้เห็นว่าไทยยังมีศักยภาพในการพัฒนาอีกมาก
การยกระดับอันดับความปลอดภัยจึงไม่ใช่แค่การลดสถิติอาชญากรรม แต่คือการ “สร้างความไว้วางใจ” (Building Trust) ครั้งใหญ่ ทั้งกับพลเมืองของตนเองและกับประชาคมโลก
ผลกระทบของ “ความปลอดภัย” ต่อเศรษฐกิจและการลงทุน
ความปลอดภัยไม่ได้เป็นเพียงเรื่องของคุณภาพชีวิต แต่ยังเป็นปัจจัยพื้นฐานที่ส่งผลกระทบอย่างมหาศาลต่อความมั่งคั่งทางเศรษฐกิจของประเทศ การที่สิงคโปร์รักษาตำแหน่งประเทศที่ปลอดภัยที่สุดในโลกไว้ได้นั้น สร้างผลประโยชน์เชิงบวกในหลายมิติ
- แม่เหล็กดึงดูดการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI)
- บริษัทข้ามชาติต่างต้องการตั้งสำนักงานใหญ่ประจำภูมิภาคในประเทศที่มีเสถียรภาพทางการเมืองและมีความปลอดภัยสูง เพื่อรับประกันความปลอดภัยของพนักงานและทรัพย์สิน สิงคโปร์จึงกลายเป็นตัวเลือกอันดับต้นๆ ในเอเชีย
- ศูนย์กลางทางการเงินและธุรกิจระดับโลก
- ความเชื่อมั่นในระบบกฎหมายและความปลอดภัยของข้อมูล ทำให้สิงคโปร์สามารถเติบโตเป็นศูนย์กลางทางการเงินที่สำคัญของโลก ดึงดูดธนาคาร สถาบันการเงิน และนักลงทุนรายใหญ่ให้เข้ามาทำธุรกรรม
- การส่งเสริมอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวคุณภาพสูง
- นักท่องเที่ยว โดยเฉพาะกลุ่มครอบครัวและกลุ่มผู้ใช้จ่ายสูง มักเลือกเดินทางไปยังจุดหมายปลายทางที่ให้ความสำคัญกับความปลอดภัยเป็นอันดับแรก ภาพลักษณ์ “เมืองปลอดภัย” ของสิงคโปร์ช่วยสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันด้านการท่องเที่ยวอย่างมหาศาล
- การดึงดูดผู้มีความสามารถจากทั่วโลก (Talent Hub)
- ผู้เชี่ยวชาญและแรงงานทักษะสูงจากทั่วโลก ยินดีที่จะย้ายมาทำงานและอาศัยในสิงคโปร์ เนื่องจากสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัยและมีคุณภาพชีวิตที่ดีสำหรับครอบครัว
ในทางกลับกัน ประเทศที่ถูกมองว่ามีความปลอดภัยต่ำ อาจต้องเผชิญกับต้นทุนที่สูงขึ้น ทั้งในแง่ของเบี้ยประกันภัย ค่าใช้จ่ายในการรักษาความปลอดภัย และการสูญเสียโอกาสในการดึงดูดการลงทุนและการท่องเที่ยว นี่คือสมการที่ประเทศไทยต้องตระหนักและให้ความสำคัญ
บทสรุป จาก ประเทศปลอดภัยสุดในโลก “บทเรียนสิงคโปร์” สู่ “อนาคตความปลอดภัยของไทย”
การครองแชมป์ ประเทศปลอดภัยสุดในโลก 12 สมัยซ้อนของสิงคโปร์ เป็นเครื่องพิสูจน์ว่าความมั่นคงและความสงบเรียบร้อยไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ แต่เป็นผลจากการวางแผนระยะยาว การลงทุนอย่างจริงจัง และการบังคับใช้กฎหมายอย่างเสมอภาคและเด็ดขาด ความสำเร็จนี้ไม่ได้หยุดอยู่แค่การทำให้ถนนหนทางปราศจากอาชญากรรม แต่ยังได้แปรเปลี่ยนเป็นความเชื่อมั่นที่สร้างมูลค่ามหาศาลทางเศรษฐกิจ
สำหรับประเทศไทย ซึ่งอยู่ในอันดับกลางของเอเชีย ผลการจัดอันดับจาก Gallup ควรถูกมองว่าเป็นเสียงสะท้อนที่สำคัญและเป็นโอกาสในการทบทวนยุทธศาสตร์ชาติ นี่ไม่ใช่เวลาของการท้อแท้ แต่เป็นเวลาของการลงมือทำอย่างจริงจัง การเรียนรู้จาก “โมเดลสิงคโปร์” ไม่ได้หมายถึงการลอกเลียนแบบกฎหมายที่เข้มงวดทั้งหมด แต่คือการเรียนรู้ “หลักการ” ที่อยู่เบื้องหลังความสำเร็จ นั่นคือ การสร้างความไว้วางใจ
อนาคตความปลอดภัยของไทยขึ้นอยู่กับความสามารถในการปฏิรูปกระบวนการยุติธรรมให้โปร่งใสและรวดเร็ว, การยกระดับประสิทธิภาพของตำรวจด้วยเทคโนโลยีและการฝึกอบรม, การแก้ปัญหาอาชญากรรมและยาเสพติดอย่างยั่งยืน, และที่สำคัญที่สุด คือการสร้างสังคมที่เคารพกฎหมายและมีส่วนร่วมในการดูแลความสงบเรียบร้อย เมื่อประชาชนรู้สึกปลอดภัยและเชื่อมั่นในกฎหมายของบ้านเมืองแล้ว ผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ สังคม และชื่อเสียงในเวทีโลกก็จะตามมาอย่างแน่นอน
แหล่งที่มาจาก : am2con