สหรัฐฯ จมเรือต้องสงสัยลำที่ 3 ดับ 3 ศพ อ้างขนยาเสพติด จุดชนวนวิกฤตมนุษยธรรมและท้าทายกฎหมายระหว่างประเทศ

สหรัฐฯ จมเรือขนยาเสพติด

สหรัฐฯ จมเรือขนยาเสพติด ปฏิบัติการปราบปรามยาเสพติดของสหรัฐอเมริกาในน่านน้ำสากลกำลังเผชิญกับเสียงวิพากษ์วิจารณ์และวิกฤตทางการทูตครั้งใหญ่ หลังจากหน่วยยามฝั่งสหรัฐฯ (U.S. Coast Guard) ได้ยิงสกัดและส่งผลให้เรือต้องสงสัยลักลอบขนยาเสพติดจมลงในทะเลแคริบเบียน นับเป็นครั้งที่ 3 ในรอบเดือนนี้ที่มีผู้เสียชีวิตจากปฏิบัติการลักษณะเดียวกัน โดยเหตุการณ์ล่าสุดนี้มีผู้เสียชีวิต 3 ราย การเสียชีวิตที่เกิดขึ้นซ้ำซากได้ยกระดับเหตุการณ์จากการบังคับใช้กฎหมายธรรมดาให้กลายเป็น “จุดเปลี่ยน” ที่น่ากังวล ซึ่งจุดประกายคำถามเร่งด่วนด้านมนุษยธรรมและภูมิรัฐศาสตร์ บทความนี้จะเจาะลึกถึงความชอบด้วยกฎหมายและหลักมนุษยธรรมของ “กฎการปะทะ” (Rules of Engagement) ที่นำไปสู่การเสียชีวิต และวิเคราะห์ว่ายุทธวิธีที่แข็งกร้าวขึ้นของสหรัฐฯ กำลังสร้างความร้าวฉานทางการทูตกับชาติในลาตินอเมริกา และท้าทายหลักการพื้นฐานของกฎหมายระหว่างประเทศอย่างไร

US military conducts third fatal strike on alleged drug smuggling vessel

สหรัฐฯ จมเรือขนยาเสพติด เผชิญหน้ากลางทะเลแคริบเบียน ลำดับเหตุการณ์สู่โศกนาฏกรรมครั้งล่าสุด

หน่วยยามฝั่งสหรัฐฯ ได้ออกแถลงการณ์ยืนยันเหตุการณ์ดังกล่าว โดยระบุว่าเรือคัตเตอร์ USCGC James ซึ่งกำลังลาดตระเวนในน่านน้ำสากลซึ่งเป็นเส้นทางลักลอบขนยาเสพติดที่สำคัญ ได้ตรวจพบเรือกึ่งดำน้ำ (Self-propelled semi-submersible – SPSS) หรือที่รู้จักกันในชื่อ “เรือดำน้ำขนโคเคน” ซึ่งเป็นพาหนะที่กลุ่มค้ายาเสพติดนิยมใช้

ตามคำแถลงของ พลเรือตรี จอห์น แมคคอร์มิค ผู้บัญชาการหน่วยยามฝั่งเขตที่ 7 ลำดับเหตุการณ์เป็นดังนี้

  • การตรวจจับและส่งสัญญาณเตือน เมื่อตรวจพบเป้าหมาย เครื่องบินลาดตระเวนได้ส่งสัญญาณวิทยุและสัญญาณภาพให้เรือลำดังกล่าวหยุดเพื่อทำการตรวจสอบ แต่ไม่ได้รับการตอบสนอง
  • การยิงเตือน เรือคัตเตอร์ได้เข้าใกล้และทำการยิงเตือน (Warning shots) ข้ามลำเรือไปหลายนัด แต่เรือต้องสงสัยกลับเพิ่มความเร็วและพยายามหลบหนี
  • การใช้กระสุนปลิดชีพ (Disabling fire) เมื่อการเตือนไม่ได้ผล เฮลิคอปเตอร์ที่บินขึ้นจากเรือคัตเตอร์ได้ใช้อาวุธปืนกลหนัก .50 คาลิเบอร์ ยิงไปยังบริเวณเครื่องยนต์ของเรือ SPSS ตามกฎการปะทะ เพื่อให้เรือสิ้นสุดความสามารถในการเคลื่อนที่
  • เหตุการณ์ไม่คาดฝัน หลังจากการยิงไม่นาน เรือ SPSS เกิดการระเบิดขึ้นอย่างรุนแรงและจมลงอย่างรวดเร็ว เจ้าหน้าที่สามารถช่วยเหลือผู้รอดชีวิตได้ 1 คน และเก็บกู้ร่างผู้เสียชีวิตได้ 3 รายในเวลาต่อมา พร้อมกับโคเคนจำนวนหนึ่งที่ลอยขึ้นมาบนผิวน้ำ

‘ยุทธวิธีที่อันตราย’ หรือ ‘ความจำเป็น’? ถอดรหัสกฎการปะทะ (ROE)

เหตุการณ์เสียชีวิตซ้ำซากได้ทำให้ “กฎการปะทะ” ของสหรัฐฯ ในปฏิบัติการปราบปรามยาเสพติดกลายเป็นประเด็นถกเถียงที่ร้อนแรง

คำชี้แจงจากหน่วยยามฝั่งสหรัฐฯ

เพนตากอนและหน่วยยามฝั่งสหรัฐฯ ปกป้องยุทธวิธีดังกล่าวอย่างแข็งขัน โดยให้เหตุผลว่ามีความจำเป็นอย่างยิ่ง “เรือเหล่านี้ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อวัตถุประสงค์เดียวคือการหลบเลี่ยงการตรวจจับ และลูกเรือมักจะเตรียมการจมเรือของตนเอง (scuttling) เพื่อทำลายหลักฐานอยู่เสมอ” พลเรือตรีแมคคอร์มิคกล่าว “การเข้าประชิดเพื่อขึ้นเรือ (boarding) เป็นภารกิจที่อันตรายอย่างยิ่งต่อเจ้าหน้าที่ของเรา กฎการปะทะอนุญาตให้เราใช้กระสุนปลิดชีพเพื่อหยุดเรือ และรับประกันความปลอดภัยของทีมเรา การเสียชีวิตที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องน่าเศร้า แต่เป็นผลมาจากการกระทำที่อันตรายและผิดกฎหมายของผู้ลักลอบขนยาเสพติดเอง”

เสียงจากนักวิจารณ์และกลุ่มสิทธิมนุษยชน

อย่างไรก็ตาม กลุ่มสิทธิมนุษยชนและผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายระหว่างประเทศมองว่ายุทธวิธีดังกล่าวอาจเป็นการใช้กำลังเกินกว่าเหตุ “คำถามสำคัญคือความได้สัดส่วน (proportionality)” มาเรีย เฮอร์นันเดซ ผู้อำนวยการฝ่ายอเมริกาของ Human Rights Watch กล่าว “การใช้ปืนกลหนักกับเรือขนาดเล็ก แม้จะอ้างว่าเล็งไปที่เครื่องยนต์ ก็มีความเสี่ยงสูงอย่างยิ่งที่จะทำให้เกิดการเสียชีวิตและเรือจม เรากำลังพูดถึงการบังคับใช้กฎหมาย ไม่ใช่การทำสงคราม การเสียชีวิตถึง 3 ครั้งในเดือนเดียวไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่เป็นผลลัพธ์ที่คาดเดาได้ของนโยบายที่อันตรายนี้ และจำเป็นต้องมีการสอบสวนอย่างอิสระ”

US carries out another strike on alleged drug boat | Seymour Telegraph

คลื่นใต้น้ำทางการทูต เสียงประณามจากลาตินอเมริกา

เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในน่านน้ำสากลใกล้กับทวีปอเมริกาใต้ ได้จุดชนวนความไม่พอใจทางการทูตจากหลายประเทศในภูมิภาค ซึ่งมองว่าปฏิบัติการของสหรัฐฯ เป็นการแสดงอำนาจและรุกล้ำเขตอิทธิพลของตน

  • แถลงการณ์จากโคลอมเบีย กระทรวงการต่างประเทศโคลอมเบีย ซึ่งเป็นประเทศที่ได้รับผลกระทบจากปัญหายาเสพติดอย่างหนัก ได้ออกแถลงการณ์แสดง “ความกังวลอย่างยิ่ง” ต่อการเสียชีวิตของพลเมืองชาติอื่นในปฏิบัติการของสหรัฐฯ และเรียกร้องให้มีการทบทวนยุทธวิธีร่วมกันระหว่างประเทศ
  • การประณามจากเวเนซุเอลา รัฐบาลเวเนซุเอลาได้ออกมาประณามการกระทำของสหรัฐฯ ว่าเป็น “การกระทำของโจรสลัดในยุคใหม่” และเป็นการละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศอย่างร้ายแรง

ความขัดแย้งนี้ตอกย้ำถึงความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนระหว่างสหรัฐฯ และชาติในลาตินอเมริกาในเรื่อง “สงครามยาเสพติด” ซึ่งหลายประเทศในภูมิภาคมองว่านโยบายที่เน้นการปราบปรามของสหรัฐฯ ได้สร้างความรุนแรงและไม่เคยแก้ปัญหาที่ต้นตอได้

สงครามกับยาเสพติดในทะเล ความจริงเบื้องหลังเรือ ‘Narco-Sub’

เบื้องหลังปฏิบัติการทางทหารที่น่าตื่นเต้น คือความเป็นจริงทางสังคมและเศรษฐกิจที่น่าหดหู่

  • เรือแห่งความสิ้นหวัง เรือ SPSS หรือ “เรือดำน้ำขนโคเคน” ถูกสร้างขึ้นอย่างหยาบๆ ในป่าลึกของโคลอมเบียหรือเอกวาดอร์ มีทัศนวิสัยจำกัด, อากาศถ่ายเทน้อย, และเสี่ยงต่อการจมอย่างยิ่ง ลูกเรือที่ถูกจ้างมามักเป็นชาวประมงที่ยากจนหรือผู้ที่สิ้นหวังทางเศรษฐกิจ ซึ่งถูกล่อด้วยเงินค่าจ้างจำนวนมากโดยไม่คำนึงถึงความเสี่ยง
  • มูลค่ามหาศาล เรือแต่ละลำสามารถบรรทุกโคเคนได้หลายตัน ซึ่งมีมูลค่าในตลาดปลายทางที่สหรัฐฯ หรือยุโรปหลายร้อยล้านดอลลาร์ ผลกำไรมหาศาลนี้ทำให้กลุ่มคาร์เทลพร้อมที่จะเสี่ยงต่อการสูญเสียทั้งเรือและลูกเรือ

US military kills 3 in second deadly strike against alleged Venezuelan  'narcoterrorists' in international waters, Trump says | CNN Politics

บทสรุป (Conclusion) สหรัฐฯ จมเรือขนยาเสพติด การจมลงของเรือต้องสงสัยลำที่ 3 พร้อมกับชีวิตของลูกเรืออีก 3 คน ได้กลายเป็นสัญลักษณ์ของความล้มเหลวที่ซับซ้อนในสงครามยาเสพติดทางทะเล มันได้เผยให้เห็นถึงความขัดแย้งระหว่างความจำเป็นในการบังคับใช้กฎหมายกับหลักการพื้นฐานด้านสิทธิมนุษยชน และเปิดโปงรอยร้าวทางการทูตระหว่างสหรัฐฯ กับเพื่อนบ้านทางใต้ ในขณะที่โคเคนมูลค่ามหาศาลยังคงจมอยู่ใต้ทะเลแคริบเบียน คำถามที่ลอยอยู่เหนือผิวน้ำคือ ยุทธวิธีที่นำไปสู่ความตายซ้ำแล้วซ้ำเล่านี้ คุ้มค่ากับราคาที่ต้องจ่ายหรือไม่ และเมื่อใดที่โลกจะเริ่มมองหาแนวทางแก้ไขปัญหาที่นอกเหนือไปจากการใช้กำลังเพียงอย่างเดียว

แหล่งที่มาจาก : am2con

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *