อังกฤษส่งเครื่องบินขับไล่ไปโปแลนด์ สถานการณ์ความมั่นคงบริเวณชายแดนด้านตะวันออกขององค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือ (NATO) ทวีความตึงเครียดขึ้นสู่ระดับสูงสุดในรอบหลายเดือน หลังจากกองทัพอากาศสหราชอาณาจักร (Royal Air Force – RAF) ได้ส่งเครื่องบินขับไล่ ยูโรไฟท์เตอร์ ไทฟูน (Eurofighter Typhoon) จำนวน 4 ลำเข้าประจำการฉุกเฉินในประเทศโปแลนด์ เพื่อเสริมภารกิจลาดตระเวนป้องกันภัยทางอากาศ (Air Policing) การเคลื่อนไหวทางทหารครั้งสำคัญนี้เกิดขึ้นเพื่อตอบโต้โดยตรงต่อเหตุการณ์ที่อากาศยานไร้คนขับ (โดรน) ของรัสเซียได้ทำการบินในลักษณะ “ยั่วยุและไม่ปลอดภัย” เข้าใกล้เขตแดนน่านฟ้าของโปแลนด์อย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน เหตุการณ์นี้ไม่ได้เป็นเพียงการเผชิญหน้าทางทหารธรรมดา แต่เป็นบททดสอบครั้งสำคัญต่อ ความแข็งแกร่งและเจตจำนงในการป้องกันร่วมกันของพันธมิตร NATO และได้จุดประกายการวิเคราะห์เชิง ภูมิรัฐศาสตร์ อย่างเข้มข้นถึงเป้าหมายที่แท้จริงของรัสเซียในการท้าทายเส้นแบ่งที่เปราะบางระหว่างสงครามและความสงบสุขในยุโรป
อังกฤษส่งเครื่องบินขับไล่ไปโปแลนด์ ลำดับเหตุการณ์เผชิญหน้า วินาทีแห่งความตึงเครียดเหนือทะเลบอลติก
เหตุการณ์ที่เป็นชนวนเริ่มต้นขึ้นเมื่อช่วงบ่ายของวันจันทร์ที่ผ่านมาตามเวลาท้องถิ่น เมื่อศูนย์ปฏิบัติการทางอากาศร่วม (Combined Air Operations Centre) ของ NATO ในเยอรมนี ตรวจพบอากาศยานไม่ทราบฝ่ายกำลังบินด้วยความเร็วสูงจากทิศทางของแคว้นคาลินินกราด (Kaliningrad) ซึ่งเป็นดินแดนส่วนแยกของรัสเซียที่ตั้งอยู่ระหว่างโปแลนด์และลิทัวเนีย
- การตรวจจับและระบุตัวตน เครื่องบินขับไล่ F-16 ของกองทัพอากาศโปแลนด์ซึ่งกำลังปฏิบัติภารกิจลาดตระเวนตามปกติ ถูกสั่งให้นำเครื่องขึ้นสกัดกั้น (Scramble) เพื่อเข้าไประบุเป้าหมายในระยะสายตา และได้ยืนยันว่าเป็นโดรนสอดแนม/โจมตีขนาดใหญ่รุ่นล่าสุดของรัสเซีย
- พฤติกรรมยั่วยุ ตามแถลงการณ์ของกระทรวงกลาโหมโปแลนด์ โดรนของรัสเซียลำดังกล่าวไม่ได้เปิดสัญญาณแสดงตน (Transponder), ไม่ได้ยื่นแผนการบิน, และไม่ตอบสนองต่อการติดต่อทางวิทยุ ยิ่งไปกว่านั้น ยังได้ทำการบิน “ในรูปแบบที่คาดเดาไม่ได้” เฉียดเข้าไปในเขตน่านฟ้าของโปแลนด์หลายครั้ง ก่อนจะหักเลี้ยวกลับออกไปในนาทีสุดท้าย
- การตัดสินใจของ NATO แม้โดรนจะไม่ได้ล่วงล้ำเข้ามาในน่านฟ้าของโปแลนด์อย่างสมบูรณ์ แต่พฤติกรรมดังกล่าวถูกประเมินว่าเป็นการ “ทดสอบระบบป้องกันภัยทางอากาศและความเร็วในการตอบสนองของ NATO” อย่างจงใจ
ตอบโต้ทันควัน ปฏิบัติการ ‘Azotize’ และบทบาทของสหราชอาณาจักร
เพื่อเป็นการตอบสนองต่อภัยคุกคามที่เพิ่มสูงขึ้น และเพื่อแสดงความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันของชาติพันธมิตร สหราชอาณาจักรซึ่งเป็นหนึ่งในสมาชิกหลักของ NATO ได้ตัดสินใจส่งเครื่องบินขับไล่ไทฟูนจากฝูงบินที่ 140 (140 Expeditionary Air Wing) ซึ่งเดิมทีประจำการอยู่ที่ฐานทัพในเอสโตเนีย ให้บินตรงมาเสริมกำลังที่ฐานทัพอากาศในโปแลนด์ทันทีภายใต้ ปฏิบัติการ Azotize
ภารกิจ ‘ตำรวจอากาศ’ ที่มีความสำคัญยิ่งยวด
การส่งเครื่องบินขับไล่ครั้งนี้เป็นส่วนหนึ่งของภารกิจ การลาดตระเวนป้องกันภัยทางอากาศของ NATO (NATO Enhanced Air Policing) ซึ่งเป็นภารกิจป้องกันร่วมกันที่มีมานานแล้ว แต่ได้ถูกยกระดับความสำคัญขึ้นอย่างมากนับตั้งแต่รัสเซียบุกยูเครนเต็มรูปแบบ
- เป้าหมายของภารกิจ เพื่อคุ้มกันน่านฟ้าของชาติสมาชิกที่ไม่มีกองทัพอากาศที่แข็งแกร่งพอ หรือตั้งอยู่บนแนวหน้าติดกับรัสเซีย เช่น กลุ่มประเทศบอลติก (เอสโตเนีย, ลัตเวีย, ลิทัวเนีย) และโปแลนด์
- หลักการป้องกันร่วมกัน ภารกิจนี้คือการแสดงออกที่เป็นรูปธรรมของ “มาตรา 5” (Article 5) แห่งสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือ ซึ่งระบุว่าการโจมตีชาติสมาชิกหนึ่งชาติ ถือเป็นการโจมตีต่อทุกชาติพันธมิตร
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมของสหราชอาณาจักร, แกรนท์ แชปส์ (Grant Shapps) กล่าวในแถลงการณ์ว่า “เราจะไม่ลังเลที่จะปกป้องพันธมิตรของเราและน่านฟ้าของ NATO การส่งฝูงบินไทฟูนของเราไปยังโปแลนด์คือการส่งสารที่ชัดเจนไปยังประธานาธิบดีปูตินว่า เรายืนหยัดเคียงข้างโปแลนด์ และความพยายามใดๆ ก็ตามที่จะบ่อนทำลายความมั่นคงของยุโรปจะต้องเผชิญกับการตอบโต้อย่างแข็งขันและเป็นหนึ่งเดียว”
เบื้องหลังการยั่วยุ เกม ‘สงครามลูกผสม’ ของรัสเซีย
นักวิเคราะห์ด้านการทหารและความมั่นคงระหว่างประเทศมองว่า การกระทำของรัสเซียครั้งนี้ไม่ใช่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นโดยบังเอิญ แต่เป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์ “สงครามลูกผสม” (Hybrid Warfare) ที่รัสเซียใช้เพื่อสร้างความแตกแยกและทดสอบขีดจำกัดของฝ่ายตะวันตกโดยไม่ต้องใช้กำลังทหารเข้าปะทะโดยตรง
เป้าหมายเชิงกลยุทธ์ของเครมลิน
- การทดสอบการตอบสนอง รัสเซียต้องการประเมินว่า NATO จะใช้เวลานานเท่าใดในการนำเครื่องขึ้นสกัดกั้น และจะมีการตอบสนองทางการเมืองในระดับใด
- การสร้างความเหนื่อยล้า การส่งอากาศยานบินยั่วยุบ่อยครั้งเป็นการบีบให้ NATO ต้องสิ้นเปลืองทรัพยากร ทั้งชั่วโมงบินของนักบินและค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษาเครื่องบินขับไล่ราคาแพง
- การส่งสารทางการเมือง เป็นการแสดงแสนยานุภาพและเตือนโปแลนด์ ซึ่งเป็นหนึ่งในชาติที่ให้การสนับสนุนยูเครนอย่างแข็งขันที่สุด ว่ารัสเซียยังคงมีศักยภาพทางทหารที่สามารถคุกคามได้ถึงหน้าประตูบ้าน
- การเบี่ยงเบนความสนใจ อาจเป็นความพยายามเบี่ยงเบนความสนใจของสื่อและประชาคมโลกจากสถานการณ์ในสมรภูมิรบที่ยูเครน
ดร. เจมี่ เชีย (Jamie Shea), อดีตเจ้าหน้าที่ระดับสูงของ NATO ให้ความเห็นกับสำนักข่าว Reuters ว่า “นี่คือเกมแมวไล่จับหนูที่มีเดิมพันสูง เครมลินกำลังเดินหมากบนกระดานหมากรุกที่ใหญ่กว่าแค่ยูเครน พวกเขากำลังเล่นเกมระยะยาวเพื่อทำให้ NATO อ่อนล้าและแตกความสามัคคี การตอบสนองที่รวดเร็วและเป็นปึกแผ่นของสหราชอาณาจักรและโปแลนด์ในครั้งนี้จึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง”
อนาคตบนเส้นลวด ความเสี่ยงของการคำนวณที่ผิดพลาด
แม้การเผชิญหน้าในครั้งนี้จะยังไม่นำไปสู่การปะทะกันโดยตรง แต่ทุกครั้งที่เครื่องบินรบของ NATO และรัสเซียเข้าใกล้กันในระยะประชิด ย่อมมีความเสี่ยงที่จะเกิด “การคำนวณที่ผิดพลาด” (Miscalculation) ซึ่งอาจนำไปสู่เหตุการณ์บานปลายที่ไม่มีใครต้องการ
- ความผิดพลาดของมนุษย์ นักบินอาจตัดสินใจผิดพลาดภายใต้สภาวะกดดัน
- ความขัดข้องทางเทคนิค อุปกรณ์หรือระบบอาวุธอาจทำงานผิดพลาด
- การตีความเจตนาผิด ฝ่ายหนึ่งอาจตีความการกระทำของอีกฝ่ายว่าเป็นการแสดงเจตนาเป็นศัตรูและตัดสินใจยิงก่อน
เหตุการณ์นี้จึงเป็นการตอกย้ำถึงความจำเป็นในการมีช่องทางการสื่อสารสายตรง (Deconfliction lines) ระหว่างกองทัพ NATO และรัสเซีย เพื่อป้องกันไม่ให้อุบัติเหตุนำไปสู่สงครามเต็มรูปแบบ
บทสรุป (Conclusion) อังกฤษส่งเครื่องบินขับไล่ไปโปแลนด์ ท้องฟ้าเหนือโปแลนด์และทะเลบอลติกได้กลายเป็นเวทีล่าสุดของการเผชิญหน้าระหว่างรัสเซียและโลกตะวันตก การส่งฝูงบินไทฟูนของอังกฤษเข้าประจำการฉุกเฉินเป็นการแสดงออกถึงความสามัคคีที่แข็งแกร่งของ NATO แต่ในขณะเดียวกันก็เป็นสัญญาณเตือนที่น่ากังวลถึง “ความปกติใหม่” ของความตึงเครียดทางทหารในยุโรป สถานการณ์ยังคงเปราะบางและเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน และการกระทำยั่วยุเพียงเล็กน้อยก็อาจเป็นชนวนที่จุดประกายความขัดแย้งที่ใหญ่กว่าได้เสมอ โลกกำลังจับตามองทุกการเคลื่อนไหวบนฟากฟ้าตะวันออกของยุโรปอย่างไม่กะพริบตา เพราะมันคือตัวชี้วัดเสถียรภาพและความมั่นคงของโลกทั้งใบ
แหล่งที่มาจาก : am2con