อีกครั้งที่ จีนเตือนภัยฝนตกหนัก ครอบคลุมพื้นที่หลายสิบมณฑล พร้อมประกาศใช้ ประกาศเตือนภัยระดับสีเหลือง อย่างต่อเนื่องตลอดช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ภาพของเมืองที่จมอยู่ใต้น้ำ การอพยพผู้คนจำนวนมาก และความเสียหายทางเศรษฐกิจมหาศาล กำลังกลายเป็นภาพชินตาที่เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่ปรากฏการณ์นี้ไม่ใช่แค่เหตุการณ์ภัยพิบัติที่เกิดขึ้นแล้วผ่านไปอีกต่อไป แต่มันคือสัญญาณของ “ความปกติใหม่” (New Normal) ที่เกิดจาก การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ซึ่งกำลังทดสอบขีดความสามารถในการรับมือของมหาอำนาจอย่างจีนอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน บทความนี้จะวิเคราะห์เจาะลึกถึงสถานการณ์ล่าสุด ไม่เพียงแต่จะระบุว่า พื้นที่ใดในจีนเสี่ยงน้ำท่วมล่าสุด แต่ยังจะสำรวจถึงผลกระทบเชิงลึกต่อเศรษฐกิจและห่วงโซ่อุปทานโลก ซึ่งเป็นประเด็นที่ประเทศไทยในฐานะคู่ค้าสำคัญต้องจับตามองอย่างใกล้ชิด
ถอดรหัส ‘เตือนภัยระดับสีเหลือง’ และวงจรภัยพิบัติที่ถี่ขึ้น
ก่อนจะเข้าใจความรุนแรงของสถานการณ์ เราต้องเข้าใจก่อนว่า ระดับการเตือนภัยสภาพอากาศของจีนมีกี่สี ระบบของจีนแบ่งออกเป็น 4 ระดับ โดยเรียงจากรุนแรงน้อยไปมาก ได้แก่ สีน้ำเงิน, สีเหลือง, สีส้ม และสีแดง การที่ ศูนย์อุตุนิยมวิทยาแห่งชาติจีน (NMC) ประกาศเตือนภัยระดับสีเหลืองนั้นหมายถึงคาดการณ์ว่าจะมีฝนตกหนัก (ปริมาณน้ำฝน 50 มม. ขึ้นไปภายใน 24 ชั่วโมง) ซึ่งอาจนำไปสู่น้ำท่วมฉับพลัน ดินโคลนถล่ม และสร้างความเสียหายเป็นวงกว้างได้
สิ่งที่น่ากังวลไม่ใช่แค่การประกาศเตือนภัยเพียงครั้งเดียว แต่คือความถี่ของการประกาศในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะในปีนี้ที่จีนเผชิญกับสภาพอากาศสุดขั้วทั้งคลื่นความร้อนรุนแรงและฝนตกหนักสลับกันไปมา ข้อมูลล่าสุดระบุว่าพื้นที่เสี่ยงครอบคลุมตั้งแต่ตอนใต้ เช่น กุ้ยโจว, ยูนนาน, เสฉวน ลุ่ม แม่น้ำแยงซี ไปจนถึงมณฑลทางตะวันออกและตอนกลางอย่างเจียงซู, อันฮุย และเหอหนาน ซึ่งล้วนเป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจและเกษตรกรรมที่สำคัญของประเทศ
“ภาวะโลกร้อน” ตัวการสำคัญเบื้องหลังความแปรปรวน นักวิทยาศาสตร์และผู้เชี่ยวชาญจาก NMC ต่างชี้ไปในทิศทางเดียวกันว่า ต้นตอของความแปรปรวนนี้คือ ภาวะโลกร้อน ที่ทำให้เกิดปรากฏการณ์หลายอย่างพร้อมกัน
- อุณหภูมิสูงขึ้น อากาศที่ร้อนขึ้นสามารถอุ้มไอน้ำได้มากขึ้น เมื่อเกิดพายุจึงมีแนวโน้มที่จะทิ้งระเบิดน้ำ (Rain Bomb) หรือฝนที่ตกหนักอย่างรุนแรงในเวลาอันสั้น
- การเปลี่ยนแปลงของกระแสลม รูปแบบของกระแสลมที่เปลี่ยนแปลงไป ทำให้แนวปะทะของอากาศชื้นหยุดนิ่งอยู่เหนือพื้นที่ใดพื้นที่หนึ่งนานขึ้น ส่งผลให้ฝนตกแช่และเกิดการสะสมของน้ำปริมาณมหาศาล
- ไต้ฝุ่นที่รุนแรงขึ้น อุณหภูมิน้ำทะเลที่สูงขึ้นเป็นเชื้อเพลิงชั้นดีให้กับพายุไต้ฝุ่น ทำให้พายุที่ก่อตัวมีความรุนแรงและมีพลังทำลายล้างสูงขึ้นเมื่อพัดขึ้นฝั่ง
วงจรเหล่านี้ได้เปลี่ยน สถานการณ์น้ำท่วมจีน จากเหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้นเป็นครั้งคราว ให้กลายเป็นภัยคุกคามประจำฤดูที่ทั้งรุนแรงและคาดเดายากกว่าเดิม
ผลกระทบที่มองไม่เห็น เมื่อภัยพิบัติในจีนสะเทือนถึงห่วงโซ่อุปทานโลก
หลายคนอาจมองว่าน้ำท่วมในจีนเป็นเรื่องไกลตัว แต่ในโลกยุคโลกาภิวัตน์ ผลกระทบนั้นเชื่อมโยงถึงกันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ โดยเฉพาะกับประเทศไทย ผลกระทบน้ำท่วมจีนต่อเศรษฐกิจโลก สามารถวิเคราะห์ได้ในหลายมิติ
การหยุดชะงักของภาคการผลิต (Manufacturing Disruption) มณฑลที่ได้รับผลกระทบ เช่น เจียงซู, เซี่ยงไฮ้, และกวางตุ้ง (ในระลอกก่อนหน้า) คือที่ตั้งของเขตอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ เป็นศูนย์กลางการผลิตสินค้าอิเล็กทรอนิกส์, ชิ้นส่วนยานยนต์, สิ่งทอ และสินค้าอุปโภคบริโภคจำนวนมาก
- โรงงานหยุดทำการ น้ำท่วมทำให้โรงงานต้องหยุดสายการผลิตชั่วคราวเพื่อความปลอดภัยและรอให้น้ำลด
- ปัญหาโลจิสติกส์ ถนนและทางรถไฟถูกตัดขาด ท่าเรือเกิดความแออัด ทำให้การขนส่งวัตถุดิบและสินค้าสำเร็จรูปเป็นไปอย่างล่าช้า
- ผลกระทบต่อไทย ผู้ประกอบการไทยที่นำเข้าชิ้นส่วนหรือสินค้าสำเร็จรูปจากจีนเพื่อมาประกอบหรือจำหน่ายต่อ อาจเผชิญกับภาวะสินค้าขาดแคลนหรือได้รับสินค้าล่าช้ากว่ากำหนด ส่งผลกระทบต่อแผนการผลิตและยอดขายโดยตรง
ความเสียหายต่อผลผลิตทางการเกษตร จีนเป็นทั้งผู้ผลิตและผู้นำเข้ารายใหญ่ของโลกในสินค้าเกษตรหลายชนิด พื้นที่ลุ่มแม่น้ำแยงซีและเหอหนานที่ประสบภัย เป็นแหล่งเพาะปลูกข้าวสาลี ข้าวโพด และพืชผักที่สำคัญ
- ผลผลิตเสียหาย ไร่นาจมอยู่ใต้น้ำทำให้ผลผลิตเน่าเสีย สร้างความเสียหายอย่างหนักให้แก่เกษตรกร
- ราคาอาหารผันผวน เมื่ออุปทานในประเทศลดลง รัฐบาลจีนอาจต้องนำเข้าสินค้าเกษตรจากต่างประเทศมากขึ้น ซึ่งอาจผลักดันให้ราคาในตลาดโลกสูงขึ้น ขณะเดียวกัน ผักผลไม้บางชนิดที่ไทยส่งออกไปจีนอาจถูกระงับหรือชะลอการสั่งซื้อเนื่องจากปัญหาด้านโลจิสติกส์และความต้องการบริโภคในพื้นที่ประสบภัยลดลง
บทเรียนจากมังกร จีนรับมืออย่างไร และไทยเรียนรู้อะไรได้บ้าง
แม้จะเผชิญกับความท้าทายมหาศาล แต่จีนก็ได้ทุ่มเททรัพยากรจำนวนมากเพื่อพัฒนาระบบ มาตรการป้องกันน้ำท่วม ของตนเอง ซึ่งมีหลายประเด็นที่น่าสนใจและเป็นบทเรียนให้กับประเทศไทยได้
- เมืองฟองน้ำ (Sponge City) แนวคิดการพัฒนาเมืองที่ออกแบบให้ดูดซับน้ำฝนไว้แทนที่จะระบายทิ้งไปอย่างรวดเร็ว ผ่านการสร้างพื้นที่สีเขียว, พื้นผิวที่น้ำซึมผ่านได้, และอ่างเก็บน้ำใต้ดิน เพื่อลดปัญหาน้ำท่วมขังและกักเก็บน้ำไว้ใช้ในฤดูแล้ง
- ระบบเตือนภัยล่วงหน้าที่แม่นยำ การลงทุนมหาศาลในดาวเทียมอุตุนิยมวิทยา, เรดาร์ตรวจจับฝน, และแบบจำลองคอมพิวเตอร์ ทำให้ NMC สามารถพยากรณ์และแจ้งเตือนประชาชนได้อย่างรวดเร็วผ่านแอปพลิเคชันมือถือและสื่อทุกช่องทาง
- การบริหารจัดการเขื่อนแบบบูรณาการ จีนใช้เครือข่ายเขื่อนขนาดใหญ่ รวมถึงเขื่อนสามผา (Three Gorges Dam) ในการบริหารจัดการระดับน้ำในแม่น้ำแยงซี โดยมีการพร่องน้ำล่วงหน้าเพื่อเตรียมรับมวลน้ำก้อนใหม่ ซึ่งเป็นยุทธศาสตร์การจัดการน้ำที่ซับซ้อนและต้องอาศัยข้อมูลที่แม่นยำ
สำหรับประเทศไทย ซึ่งเผชิญกับปัญหาน้ำท่วมและภัยแล้งซ้ำซากเช่นกัน แนวทางเหล่านี้ของจีนจึงเป็นกรณีศึกษาที่สำคัญในการปรับประยุกต์ใช้ให้เข้ากับบริบทของประเทศ
คำแนะนำสำหรับคนไทยในจีนและผู้ประกอบการ
สำหรับ คนไทยในจีนต้องเตรียมตัวรับมือน้ำท่วมอย่างไร สถานกงสุลใหญ่และสถานทูตไทย ณ กรุงปักกิ่ง ได้ออกคำแนะนำให้ติดตามข่าวสารจากทางการจีนอย่างใกล้ชิด หลีกเลี่ยงการเดินทางไปยังพื้นที่เสี่ยง และเตรียมสิ่งของจำเป็นยังชีพไว้เผื่อในกรณีฉุกเฉิน
สำหรับผู้ประกอบการไทยที่มีธุรกิจเชื่อมโยงกับจีน ควร
- ติดต่อคู่ค้าอย่างใกล้ชิด เพื่อประเมินสถานการณ์และผลกระทบต่อการส่งมอบสินค้า
- พิจารณาหาแหล่งผลิตสำรอง (Supplier Diversification) เพื่อกระจายความเสี่ยงหากโรงงานหลักในจีนไม่สามารถดำเนินการผลิตได้
- วางแผนสต็อกสินค้า อาจต้องมีการสำรองวัตถุดิบหรือสินค้าคงคลังเพิ่มขึ้นเพื่อรับมือกับความไม่แน่นอนของซัพพลายเชน
บทสรุป (Conclusion)
สถานการณ์น้ำท่วมจีน และการ ประกาศเตือนภัยระดับสีเหลือง ที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องในปีนี้ เป็นมากกว่าแค่ข่าวภัยพิบัติจากต่างประเทศ มันคือหลักฐานเชิงประจักษ์ของ การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ที่กำลังส่งผลกระทบอย่างรุนแรงและเป็นรูปธรรมต่อมหาอำนาจของโลก และยังเป็นกระจกสะท้อนให้เห็นถึงความเปราะบางของห่วงโซ่อุปทานโลกที่ทุกประเทศรวมถึงไทยพึ่งพิงอยู่
การเฝ้าติดตามและวิเคราะห์ ผลกระทบพายุในจีน จึงไม่ใช่แค่การรับรู้ข่าวสาร แต่คือการเตรียมความพร้อมเพื่อรับมือกับความผันผวนทางเศรษฐกิจที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต โลกได้เข้าสู่ยุคของ “ความปกติใหม่” ทางสภาพอากาศแล้ว และการปรับตัวเท่านั้นคือหนทางแห่งการอยู่รอดสำหรับทุกประเทศ
แหล่งที่มาจาก : am2con