ประท้วงในฟิลิปปินส์ กรุงมะนิลา เมืองหลวงของฟิลิปปินส์ กลายเป็นสมรภูมิย่อยๆ ในวันนี้ เมื่อกลุ่มผู้ประท้วงหลากหลายองค์กรหลายพันคน ซึ่งไม่พอใจต่อการบริหารงานของรัฐบาลและวิกฤตค่าครองชีพที่พุ่งสูงขึ้น พยายามเดินขบวนมุ่งหน้าสู่ทำเนียบประธานาธิบดีมาลากันยัง (Malacañang Palace) ก่อนจะเกิดการปะทะอย่างรุนแรงกับตำรวจปราบจลาจลที่ตั้งแนวสกัดไว้ ส่งผลให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บทั้งสองฝ่ายและมีผู้ประท้วงถูกจับกุมไปแล้วหลายสิบคน เหตุการณ์ความรุนแรงครั้งนี้ไม่ใช่แค่การชุมนุมประท้วงทั่วไป แต่เป็นภาพสะท้อนของ รอยร้าวทางสังคมและแรงกดดันทางเศรษฐกิจที่กำลังคุกรุ่น อยู่ภายใต้ผิวหน้าของสังคมฟิลิปปินส์ อีกทั้งยังเป็นบททดสอบสำคัญต่อเสถียรภาพทางการเมืองของรัฐบาลปัจจุบัน และได้จุดประเด็นคำถามเชิง ภูมิรัฐศาสตร์และมนุษยธรรม เกี่ยวกับทิศทางประชาธิปไตยและสิทธิมนุษยชนในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
ประท้วงในฟิลิปปินส์ ลำดับเหตุการณ์ จากการชุมนุมโดยสงบสู่ความรุนแรงบนท้องถนน
การประท้วงเริ่มต้นขึ้นในช่วงสาย โดยกลุ่มผู้ชุมนุมซึ่งประกอบด้วยสหภาพแรงงาน, กลุ่มนักศึกษา, ชาวนา, และนักเคลื่อนไหวเพื่อสิทธิมนุษยชน ได้รวมตัวกันที่จัตุรัสลิวาสัง โบนิฟาซิโอ (Liwasang Bonifacio) เพื่อปราศรัยโจมตีความล้มเหลวของรัฐบาลในการควบคุมภาวะเงินเฟ้อ, การขึ้นค่าแรงขั้นต่ำที่ไม่สอดคล้องกับความเป็นจริง, และประเด็นการคอร์รัปชัน
สถานการณ์เริ่มตึงเครียดขึ้นในช่วงบ่าย เมื่อแกนนำประกาศเคลื่อนขบวนไปยังสะพานเมนดิโอลา (Mendiola Bridge) ซึ่งเป็นด่านสุดท้ายก่อนถึงทำเนียบประธานาธิบดี และเป็นพื้นที่สัญลักษณ์ของการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยในประวัติศาสตร์ฟิลิปปินส์
- การเผชิญหน้า เมื่อผู้ประท้วงเดินทางมาถึงสะพาน ก็ได้พบกับแนวกั้นของตำรวจปราบจลาจลหลายพันนายที่มาพร้อมกับโล่, กระบอง, และรถฉีดน้ำแรงดันสูง
- จุดปะทะ ความรุนแรงปะทุขึ้นเมื่อผู้ประท้วงบางส่วนพยายามฝ่าแนวกั้นของตำรวจ ทำให้เจ้าหน้าที่ตัดสินใจใช้แก๊สน้ำตาและรถฉีดน้ำแรงดันสูงเพื่อสลายการชุมนุม กลุ่มผู้ประท้วงตอบโต้ด้วยการขว้างปาสิ่งของ, ก้อนหิน, และระเบิดสี
- ผลลัพธ์ การปะทะกินเวลานานกว่าหนึ่งชั่วโมง ทำให้ถนนโดยรอบกลายเป็นพื้นที่โกลาหล มีรายงานผู้บาดเจ็บเบื้องต้นอย่างน้อย 50 ราย (ทั้งตำรวจและผู้ประท้วง) และมีผู้ถูกควบคุมตัวไปแล้วกว่า 80 คน
ต้นตอแห่งความกราดเกรี้ยว วิกฤตปากท้องที่สั่นคลอนรากฐานสังคม
แม้การประท้วงจะมีประเด็นทางการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้อง แต่เชื้อไฟที่สำคัญที่สุดที่ผลักดันให้ประชาชนจำนวนมากลงสู่ท้องถนนคือ วิกฤตเศรษฐกิจและค่าครองชีพ ที่ส่งผลกระทบต่อชีวิตประจำวันของพวกเขาอย่างแสนสาหัส

ภาวะเงินเฟ้อที่ควบคุมไม่อยู่
ในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา ฟิลิปปินส์ต้องเผชิญกับอัตราเงินเฟ้อที่พุ่งสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะราคาอาหารและพลังงาน ซึ่งเป็นผลกระทบซ้อนจากราคาพลังงานในตลาดโลกที่ผันผวนและความท้าทายในภาคเกษตรกรรมภายในประเทศ
- ราคาอาหารพุ่ง ราคาข้าว, เนื้อสัตว์, และผัก ซึ่งเป็นสินค้าจำเป็นพื้นฐาน ได้ปรับตัวสูงขึ้นจนส่งผลกระทบอย่างหนักต่อครัวเรือนผู้มีรายได้น้อย
- ค่าแรงที่ไม่สอดคล้องกัน แม้จะมีการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำไปบ้าง แต่กลุ่มสหภาพแรงงานยืนยันว่าอัตราการปรับขึ้นนั้นต่ำกว่าอัตราเงินเฟ้อที่แท้จริงอย่างมาก ทำให้กำลังซื้อของประชาชนลดลงอย่างต่อเนื่อง
เรนาโต เรเยส จูเนียร์, เลขาธิการกลุ่มพันธมิตรฝ่ายซ้าย Bayan ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้จัดงาน กล่าวปราศรัยก่อนการปะทะว่า “ประชาชนไม่ได้ออกมาเพื่อเรียกร้องสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ พวกเขาแค่เรียกร้องสิทธิที่จะมีชีวิตอยู่อย่างมีศักดิ์ศรี ที่จะสามารถซื้ออาหารให้ลูกๆ ของพวกเขากินได้ รัฐบาลนี้ได้หันหลังให้กับคนจน และเลือกที่จะรับใช้ผลประโยชน์ของคนรวยและต่างชาติ”
ความไม่พอใจต่อโครงการขนาดใหญ่และการคอร์รัปชัน
นอกจากประเด็นเศรษฐกิจ ยังมีความไม่พอใจต่อการที่รัฐบาลทุ่มงบประมาณมหาศาลไปกับโครงการโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ (Mega-infrastructure projects) ซึ่งบางส่วนถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าขาดความโปร่งใสและอาจเอื้อประโยชน์ให้กับกลุ่มทุนใกล้ชิดรัฐบาล ท่ามกลางความทุกข์ยากของประชาชน
มุมมองเชิงภูมิรัฐศาสตร์และสิทธิมนุษยชน
เหตุการณ์ประท้วงในฟิลิปปินส์ครั้งนี้กำลังถูกจับตามองอย่างใกล้ชิดจากประชาคมระหว่างประเทศ เนื่องจากมีนัยสำคัญที่เชื่อมโยงกับเสถียรภาพในภูมิภาคและประเด็นสิทธิมนุษยชน
บททดสอบเสถียรภาพทางการเมือง
รัฐบาลฟิลิปปินส์ชุดปัจจุบันกำลังเผชิญกับความท้าทายในการสร้างสมดุลระหว่างการรักษาความสัมพันธ์กับมหาอำนาจอย่างสหรัฐอเมริกาและจีน การเกิดความไม่สงบภายในประเทศอาจบั่นทอนความน่าเชื่อถือและเสถียรภาพของรัฐบาลในเวทีระหว่างประเทศ และอาจเปิดช่องให้เกิดการแทรกแซงจากภายนอกได้
- ท่าทีของรัฐบาล โฆษกทำเนียบประธานาธิบดีได้ออกมาประณามการใช้ความรุนแรงของผู้ประท้วง และกล่าวหาว่ามี “กลุ่มการเมืองที่ต้องการสร้างความวุ่นวาย” อยู่เบื้องหลัง โดยยืนยันว่ารัฐบาลเคารพสิทธิในการชุมนุมโดยสงบ แต่จะไม่ทนต่อการกระทำที่ผิดกฎหมาย

เสียงสะท้อนจากองค์กรสิทธิมนุษยชน
องค์กรสิทธิมนุษยชนทั้งในและต่างประเทศ เช่น Human Rights Watch และ Amnesty International ได้ออกมาแสดงความกังวลต่อการใช้กำลังเกินกว่าเหตุของเจ้าหน้าที่ตำรวจในการสลายการชุมนุม
- เรียกร้องให้มีการสอบสวน องค์กรเหล่านี้เรียกร้องให้รัฐบาลฟิลิปปินส์จัดตั้งคณะกรรมการอิสระเพื่อสอบสวนเหตุการณ์ปะทะอย่างโปร่งใส และนำตัวผู้ที่ใช้ความรุนแรงมาลงโทษ
- ความกังวลต่อพื้นที่ประชาธิปไตย การปราบปรามผู้ประท้วงอย่างรุนแรงถูกมองว่าเป็นสัญญาณของการลดน้อยถอยลงของพื้นที่สำหรับแสดงความคิดเห็นต่างในสังคมฟิลิปปินส์ ซึ่งเป็นแนวโน้มที่น่ากังวลสำหรับหนึ่งในประเทศที่เคยถูกมองว่ามีประชาธิปไตยที่แข็งขันที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
บทสรุป (Conclusion) เปลวไฟแห่งความไม่พอใจที่ปะทุขึ้นบนถนนใกล้ทำเนียบมาลากันยังในวันนี้ เป็นมากกว่าการปะทะกันระหว่างผู้ประท้วงกับตำรวจ แต่มันคืออาการบ่งชี้ของโรคที่กำลังกัดกินสังคมฟิลิปปินส์ นั่นคือความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ, ความคับข้องใจทางการเมือง, และความรู้สึกว่าถูกรัฐบาลทอดทิ้ง การตอบสนองของรัฐบาลต่อวิกฤตการณ์ครั้งนี้จะเป็นตัวชี้วัดสำคัญถึงอนาคตทางการเมืองของประเทศ หากรัฐบาลเลือกที่จะใช้เพียงมาตรการปราบปรามโดยไม่รับฟังและแก้ไขปัญหาที่ต้นตอของความทุกข์ร้อนของประชาชน ก็มีความเป็นไปได้สูงที่การประท้วงในวันนี้จะเป็นเพียงแค่จุดเริ่มต้นของความไม่สงบระลอกใหม่ที่อาจรุนแรงและสั่นคลอนเสถียรภาพของประเทศมากยิ่งขึ้น
แหล่งที่มาจาก : am2con