น้ำท่วมมาร์กเซย (Marseille) เมืองท่าเก่าแก่และมีขนาดใหญ่เป็นอันดับสองของฝรั่งเศส กำลังเผชิญกับภาวะอัมพาตจากอุทกภัยครั้งรุนแรง หลังจากพายุฝนฟ้าคะนองที่รุนแรงผิดปกติได้พัดถล่มแคว้นโปรวองซ์-แอลป์-โกต ดาซูร์ (Provence-Alpes-Côte d’Azur) ตลอด 48 ชั่วโมงที่ผ่านมา ส่งผลให้ถนนหลายสายกลายสภาพเป็นคลอง, ระบบขนส่งสาธารณะหยุดชะงัก, และประชาชนหลายพันคนได้รับผลกระทบอย่างหนัก เหตุการณ์นี้ไม่ใช่เพียงภัยธรรมชาติที่เกิดขึ้นอย่างโดดเดี่ยว แต่เป็นสัญญาณเตือนภัยครั้งล่าสุดที่สะท้อนถึง วิกฤตด้านมนุษยธรรมและความเปราะบางของโครงสร้างพื้นฐานในเมืองประวัติศาสตร์ของยุโรป ที่ต้องเผชิญหน้ากับปรากฏการณ์สภาพอากาศสุดขั้ว (Extreme Weather) อันเป็นผลพวงโดยตรงจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และได้จุดประกายการถกเถียงครั้งสำคัญถึงความจำเป็นในการปรับตัวของเมืองเพื่อรับมือกับ “ความปกติใหม่” ของสภาพอากาศที่รุนแรงขึ้น
น้ำท่วมมาร์กเซย ‘ฝนร้อยปี’ ในวันเดียว สถานการณ์ล่าสุดในมาร์กเซย
หน่วยงานอุตุนิยมวิทยาแห่งชาติฝรั่งเศส Météo-France ได้ออกประกาศเตือนภัยระดับสีส้มและสีแดงในหลายพื้นที่ของฝรั่งเศสตอนใต้ หลังตรวจพบปริมาณน้ำฝนที่ตกลงมาอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
- ปริมาณน้ำฝนทำลายสถิติ ในช่วงคืนที่ผ่านมา เมืองมาร์กเซยมีปริมาณฝนสะสมสูงถึง 180 มิลลิเมตร ซึ่งเทียบเท่ากับปริมาณน้ำฝนเฉลี่ยหลายเดือนที่ตกลงมาภายในเวลาไม่ถึง 24 ชั่วโมง นักอุตุนิยมวิทยาบางคนเรียกปรากฏการณ์นี้ว่า “เหตุการณ์ฝนร้อยปี” (a centennial rain event) ซึ่งหมายถึงระดับความรุนแรงของฝนที่ในอดีตอาจเกิดขึ้นเพียงครั้งเดียวในรอบศตวรรษ
- สภาพเมืองล่าสุด ภาพข่าวจากสำนักข่าว AFP และ Reuters แสดงให้เห็นถึงสภาพความโกลาหลในหลายพื้นที่ โดยเฉพาะบริเวณท่าเรือเก่า (Vieux-Port) ซึ่งเป็นหัวใจของเมือง มีระดับน้ำท่วมสูงจนรถยนต์จมมิดเกือบทั้งคัน ทางด่วนสายหลักที่เชื่อมต่อเมืองถูกปิดตาย อุโมงค์ใต้ดินหลายแห่งไม่สามารถสัญจรได้ และมีรายงานไฟฟ้าดับเป็นวงกว้าง
- ผลกระทบต่อประชาชน เที่ยวบินหลายสิบเที่ยวที่มุ่งหน้าสู่สนามบินมาร์กเซยต้องเปลี่ยนเส้นทางไปลงจอดที่เมืองอื่น ขณะที่บริการรถไฟและรถไฟใต้ดินต้องหยุดให้บริการชั่วคราวทั้งหมด ประชาชนจำนวนมากติดค้างอยู่ตามอาคารและสถานีรถไฟ ทางการได้ส่งหน่วยกู้ภัยและทหารช่างกว่า 1,500 นายเข้าให้ความช่วยเหลือและเร่งสูบน้ำออกจากพื้นที่วิกฤต
เบื้องหลังความรุนแรง ‘เมดิเตอร์เรเนียนเอฟเฟกต์’ และภาวะโลกร้อน
ผู้เชี่ยวชาญชี้ว่าความรุนแรงของพายุฝนครั้งนี้มีปัจจัยสำคัญมาจากปรากฏการณ์ทางธรรมชาติที่เรียกว่า “เหตุการณ์เซเวนอล” (Cévenol episode) หรือที่รู้จักกันในชื่อ “เมดิเตอร์เรเนียนเอฟเฟกต์” (Mediterranean effect) ซึ่งเป็นปรากฏการณ์ที่มวลอากาศอุ่นชื้นจากทะเลเมดิเตอร์เรเนียนที่ร้อนขึ้น ปะทะกับมวลอากาศเย็นที่เคลื่อนตัวลงมาจากตอนเหนือของยุโรป ทำให้เกิดการยกตัวของอากาศอย่างรุนแรงและก่อตัวเป็นเมฆฝนขนาดมหึมา
ภาวะโลกร้อน ตัวเร่งปฏิกิริยาที่ไม่อาจมองข้าม
แม้ปรากฏการณ์นี้จะเป็นเรื่องปกติของฤดูใบไม้ร่วงในภูมิภาค แต่ข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ล่าสุดจากรายงานของ IPCC (คณะกรรมการระหว่างรัฐบาลว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ) ยืนยันว่าภาวะโลกร้อนได้เข้ามาเป็น “ตัวเร่งปฏิกิริยา” ที่ทำให้ปรากฏการณ์เหล่านี้รุนแรงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
- อุณหภูมิน้ำทะเลสูงขึ้น ในช่วงฤดูร้อนที่ผ่านมา ทะเลเมดิเตอร์เรเนียนมีอุณหภูมิสูงกว่าค่าเฉลี่ย 3-5 องศาเซลเซียส ซึ่งหมายความว่ามีพลังงานและความชื้นในบรรยากาศมากขึ้น พร้อมที่จะกลั่นตัวเป็นฝนที่ตกหนักกว่าเดิม
- บรรยากาศอุ้มน้ำได้มากขึ้น บรรยากาศที่ร้อนขึ้นสามารถอุ้มไอน้ำได้มากขึ้นในอัตราประมาณ 7% ต่ออุณหภูมิที่เพิ่มขึ้นทุก 1 องศาเซลเซียส ทำให้เมื่อเกิดฝนตกจึงมีแนวโน้มที่จะตกหนักเป็นทวีคูณ
ดร. ฟาเบียง ดูบัวส์, นักภูมิอากาศวิทยาจากมหาวิทยาลัยซอร์บอนน์ กล่าวกับ BBC ว่า “เรากำลังเห็นสิ่งที่แบบจำลองภูมิอากาศคาดการณ์ไว้ไม่มีผิดเพี้ยน เหตุการณ์สภาพอากาศสุดขั้วไม่ได้เกิดขึ้นบ่อยขึ้นเท่านั้น แต่มันยังรุนแรงขึ้นด้วย เมืองอย่างมาร์กเซยกำลังอยู่ในแนวหน้าของการต่อสู้ครั้งนี้”
เมืองเก่าในโลกใหม่ ความท้าทายของโครงสร้างพื้นฐานที่ไม่พร้อมรับมือ
โศกนาฏกรรมครั้งนี้ได้เผยให้เห็นถึงความเปราะบางของเมืองเก่าแก่ในยุโรป ที่ถูกสร้างขึ้นในยุคสมัยที่ยังไม่มีใครคาดคิดถึงสภาพอากาศที่แปรปรวนรุนแรงเช่นนี้
ระบบระบายน้ำที่ออกแบบมาสำหรับอดีต
มาร์กเซยเป็นเมืองที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานกว่า 2,600 ปี ระบบระบายน้ำส่วนใหญ่ในเขตเมืองเก่าเป็นระบบที่ถูกสร้างขึ้นเมื่อหลายสิบหรือหลายร้อยปีก่อน ซึ่งถูกออกแบบมาเพื่อรองรับปริมาณฝนในอดีต ไม่ใช่ “ระเบิดน้ำ” (Rain bomb) ที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน ทำให้เมื่อฝนตกลงมาอย่างหนัก ระบบจึงไม่สามารถระบายน้ำออกสู่ทะเลได้ทันท่วงที
การขยายตัวของเมืองและการลดลงของพื้นที่สีเขียว
ในช่วงหลายทศวรรษที่ผ่านมา การขยายตัวของเมืองอย่างรวดเร็วทำให้พื้นที่สีเขียวและพื้นที่ซับน้ำตามธรรมชาติลดน้อยลง พื้นดินส่วนใหญ่ถูกแทนที่ด้วยคอนกรีตและแอสฟัลต์ ซึ่งไม่สามารถดูดซับน้ำได้ ทำให้น้ำฝนทั้งหมดไหลบ่าลงสู่ระบบระบายน้ำและท้องถนนอย่างรวดเร็ว
นายกเทศมนตรีเมืองมาร์กเซย, เบอนัว ปาย็อง (Benoît Payan) ได้ยอมรับในการแถลงข่าวฉุกเฉินว่า “วันนี้เราได้เห็นแล้วว่าเมืองของเรามีความเปราะบางเพียงใดต่อวิกฤตสภาพภูมิอากาศ เราไม่สามารถสร้างเมืองสำหรับอนาคตโดยใช้พิมพ์เขียวจากอดีตได้อีกต่อไป ถึงเวลาแล้วที่เราต้องลงทุนครั้งใหญ่ในการปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานเพื่อสร้าง ‘เมืองที่ยืดหยุ่น’ (Resilient City) ให้ได้”
น้ำท่วมมาร์กเซย ผลกระทบในวงกว้างและอนาคตที่ต้องปรับตัว
เหตุการณ์น้ำท่วมในมาร์กเซยเป็นเพียงตัวอย่างหนึ่งของวิกฤตที่กำลังเกิดขึ้นทั่วยุโรปตอนใต้ ในช่วงสัปดาห์เดียวกันนี้ หลายพื้นที่ในสเปนและอิตาลีก็เผชิญกับพายุและน้ำท่วมรุนแรงเช่นกัน ซึ่งส่งผลกระทบต่อภาคเกษตรกรรม, การท่องเที่ยว, และเศรษฐกิจโดยรวมอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
บทสรุป (Conclusion) ภาพของเมืองมาร์กเซยที่จมอยู่ใต้น้ำคือภาพอนาคตที่ทุกเมืองชายฝั่งทั่วโลกอาจต้องเผชิญหากไม่มีการดำเนินการอย่างจริงจัง วิกฤตการณ์ครั้งนี้เป็นเครื่องเตือนใจอันเจ็บปวดว่า การต่อสู้กับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศไม่ได้เป็นเพียงเรื่องของการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในระดับโลกเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการปรับตัวในระดับท้องถิ่นอย่างเร่งด่วน การลงทุนในการสร้างโครงสร้างพื้นฐานสีเขียว, การฟื้นฟูพื้นที่ซับน้ำตามธรรมชาติ, และการวางผังเมืองที่คำนึงถึงผลกระทบทางสภาพอากาศ คือหนทางเดียวที่จะช่วยให้เมืองประวัติศาสตร์ที่สวยงามเหล่านี้สามารถอยู่รอดและรับมือกับความท้าทายของสภาพอากาศในศตวรรษที่ 21 ได้
แหล่งที่มาจาก : am2con