ซูเปอร์ไต้ฝุ่น “รากาซา” ถล่มฟิลิปปินส์ด้วยความรุนแรงระดับ 5 สั่งอพยพหลายแสนคน เตือนภัยดินถล่ม-สตอร์มเซิร์จ บททดสอบสุดขีดในแนวหน้าวิกฤตโลกร้อน

ไต้ฝุ่นรากาซา ฟิลิปปินส์

ไต้ฝุ่นรากาซา ฟิลิปปินส์ ซูเปอร์ไต้ฝุ่น “รากาซา” (Ragasa) ได้พัดขึ้นฝั่งทางตะวันออกเฉียงเหนือของเกาะลูซอน ประเทศฟิลิปปินส์แล้วในช่วงเช้าตรู่ที่ผ่านมา ด้วยความรุนแรงเทียบเท่าเฮอร์ริเคนระดับ 5 ซึ่งเป็นระดับสูงสุด นำมาซึ่งลมกระโชกแรงราวกับรถไฟความเร็วสูงและฝนตกหนักที่อาจทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลันและดินถล่มเป็นวงกว้าง รัฐบาลฟิลิปปินส์ได้ประกาศภาวะภัยพิบัติและสั่งอพยพประชาชนกว่าครึ่งล้านคนในพื้นที่เสี่ยงภัยอย่างเร่งด่วน การมาถึงของ “รากาซา” ไม่ใช่เป็นเพียงปรากฏการณ์ทางธรรมชาติที่รุนแรงตามฤดูกาล แต่เป็นภาพสะท้อนที่ชัดเจนและโหดร้ายของวิกฤตด้านมนุษยธรรมที่ฟิลิปปินส์ต้องเผชิญซ้ำแล้วซ้ำเล่า และเป็นบททดสอบขีดสุดของความสามารถในการรับมือภัยพิบัติ ท่ามกลางความเป็นจริงที่ว่าการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศกำลังเปลี่ยนพายุธรรมดาให้กลายเป็นมหันตภัยที่ร้ายแรงขึ้นอย่างไม่อาจปฏิเสธได้

Super Typhoon Ragasa ploughs towards Philippines, Taiwan | FMT

‘รากาซา’ ขึ้นฝั่ง ข้อมูลล่าสุดจากศูนย์เตือนภัยพายุ

หน่วยงานบริการด้านบรรยากาศ ธรณีฟิสิกส์ และดาราศาสตร์ของฟิลิปปินส์ (PAGASA) ได้รายงานว่า ซูเปอร์ไต้ฝุ่นรากาซาได้เคลื่อนตัวขึ้นฝั่งที่จังหวัดอีซาเบลา (Isabela) บนเกาะลูซอน เมื่อเวลาประมาณ 0430 น. ตามเวลาท้องถิ่น โดยข้อมูลล่าสุดระบุถึงความรุนแรงอย่างที่ไม่เคยปรากฏในฤดูมรสุมปีนี้

ความเร็วลมและปริมาณน้ำฝน

  • ความเร็วลม วัดความเร็วลมสูงสุดใกล้ศูนย์กลางได้ถึง 265 กิโลเมตรต่อชั่วโมง โดยมีลมกระโชกแรงเป็นระยะถึง 320 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ซึ่งมีความรุนแรงพอที่จะทำลายอาคารบ้านเรือนที่ไม่มีโครงสร้างแข็งแรงและถอนรากถอนโคนต้นไม้ขนาดใหญ่
  • ปริมาณน้ำฝน คาดการณ์ว่าจะมีปริมาณฝนสะสมในบางพื้นที่สูงถึง 500-700 มิลลิเมตรภายใน 24 ชั่วโมง ซึ่งจะส่งผลให้เกิดน้ำท่วมใหญ่ในพื้นที่ลุ่มต่ำและบริเวณใกล้ริมฝั่งแม่น้ำ
  • สตอร์มเซิร์จ (Storm Surge) PAGASA ได้ออกประกาศเตือนภัยระดับสูงสุดสำหรับปรากฏการณ์คลื่นพายุซัดฝั่ง หรือ สตอร์มเซิร์จ ที่อาจมีความสูงถึง 5-7 เมตรซัดเข้าชายฝั่งในจังหวัดคากายัน (Cagayan) และอีซาเบลา ซึ่งเป็นอันตรายถึงชีวิต

เส้นทางพายุและพื้นที่เสี่ยงสูงสุด

ขณะนี้ศูนย์กลางของพายุกำลังเคลื่อนตัวผ่านตอนเหนือของเกาะลูซอน มุ่งหน้าไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ คาดว่าจะส่งผลกระทบโดยตรงต่อประชากรหลายล้านคนในเขตคอร์ดิเยรา (Cordillera) ซึ่งเป็นพื้นที่ภูเขาสูงและมีความเสี่ยงสูงอย่างยิ่งต่อการเกิดดินโคลนถล่ม

ไต้ฝุ่นรากาซา ฟิลิปปินส์ ปฏิบัติการฉุกเฉินครั้งใหญ่ ฟิลิปปินส์แข่งกับเวลา

สภาบริหารและลดความเสี่ยงจากภัยพิบัติแห่งชาติ (NDRRMC) ได้ระดมกำลังเจ้าหน้าที่ทหาร ตำรวจ และหน่วยกู้ภัยหลายหมื่นนายเข้าปฏิบัติการช่วยเหลือและตอบโต้ภาวะฉุกเฉินอย่างเต็มกำลัง ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงการเตรียมความพร้อมที่พัฒนาขึ้นอย่างมากนับตั้งแต่โศกนาฏกรรมจากซูเปอร์ไต้ฝุ่นไห่เยี่ยน (โยลันดา) ในปี 2556

การอพยพเชิงรุก ‘บทเรียนจากไห่เยี่ยน’

ทางการได้ใช้มาตรการ “อพยพเชิงบังคับ” (Forced Evacuation) ในชุมชนชายฝั่งและพื้นที่ลาดเชิงเขาที่เสี่ยงภัยสูงสุดมาตั้งแต่ 2 วันก่อนพายุจะขึ้นฝั่ง ซึ่งเป็นบทเรียนสำคัญที่ได้มาจากภัยพิบัติในอดีต

  • มีการจัดตั้งศูนย์พักพิงชั่วคราวกว่า 3,000 แห่งทั่วภาคเหนือของประเทศ
  • เที่ยวบินหลายร้อยเที่ยวถูกยกเลิก และการเดินทางทางทะเลถูกระงับโดยสิ้นเชิง
  • มีการประกาศภาวะ “No-Sail Zone” และเตือนชาวประมงไม่ให้นำเรือออกจากฝั่งโดยเด็ดขาด

การเตรียมความพร้อมของหน่วยงาน NDRRMC

  • การส่งเสบียงล่วงหน้า มีการลำเลียงถุงยังชีพ, น้ำดื่ม, และเวชภัณฑ์ที่จำเป็นไปยังคลังในจังหวัดต่างๆ ล่วงหน้า เพื่อให้สามารถแจกจ่ายได้อย่างรวดเร็วหลังพายุสงบ
  • ทีมค้นหาและกู้ภัย ทีม Urban Search and Rescue (USAR) พร้อมอุปกรณ์ตัดถ่างและสุนัขดมกลิ่น ถูกส่งไปประจำการในจุดยุทธศาสตร์ต่างๆ
  • การสื่อสารฉุกเฉิน ระบบสื่อสารผ่านดาวเทียมถูกเตรียมพร้อมไว้สำหรับพื้นที่ที่คาดว่าเสาสัญญาณโทรศัพท์จะล่ม

Buildings ruined, vehicles buried in mud after deadly tropical storm in Philippines

เสียงจากพื้นที่ประสบภัย ‘เราทำได้แค่สวดภาวนา’

แม้จะมีการเตรียมความพร้อมอย่างดี แต่ความหวาดกลัวยังคงปกคลุมไปทั่วพื้นที่ประสบภัย รายงานเบื้องต้นจากสื่อท้องถิ่นระบุว่าไฟฟ้าดับเป็นวงกว้าง และการสื่อสารถูกตัดขาดในหลายเทศบาล “เสียงลมหวีดหวิวเหมือนปีศาจอยู่ข้างนอก เราสูญเสียหลังคาบ้านไปแล้ว ตอนนี้เราทำได้แค่กอดกันและสวดภาวนาอยู่ในศูนย์อพยพแห่งนี้” นางมาเรีย ซานโตส ผู้อยู่อาศัยในเมืองชายฝั่งของจังหวัดอีซาเบลา ให้สัมภาษณ์กับสถานีวิทยุท้องถิ่นผ่านโทรศัพท์ดาวเทียม

แนวหน้าวิกฤตโลกร้อน เมื่อ ‘ซูเปอร์ไต้ฝุ่น’ กลายเป็นเรื่องปกติใหม่

การก่อตัวและทวีความรุนแรงอย่างรวดเร็วของ “รากาซา” จากพายุโซนร้อนกลายเป็นซูเปอร์ไต้ฝุ่นภายในเวลาไม่ถึง 36 ชั่วโมง เป็นปรากฏการณ์ที่นักวิทยาศาสตร์เรียกว่า “การทวีกำลังแรงอย่างรวดเร็ว” (Rapid Intensification) ซึ่งเป็นหนึ่งในลายเซ็นที่ชัดเจนที่สุดของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

วิทยาศาสตร์เบื้องหลังพายุที่รุนแรงขึ้น ไต้ฝุ่นรากาซา ฟิลิปปินส์

รายงานล่าสุดจากคณะกรรมการระหว่างรัฐบาลว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (IPCC) ยืนยันว่า อุณหภูมิผิวน้ำทะเลที่สูงขึ้นในมหาสมุทรแปซิฟิกตะวันตก เปรียบเสมือน “เชื้อเพลิง” ชั้นดีที่เติมพลังให้กับพายุ ทำให้พายุมีความรุนแรงสูงสุดมากขึ้น ก่อตัวได้เร็วขึ้น และอุ้มน้ำได้มากขึ้น ซึ่งนำไปสู่ปริมาณฝนที่ตกหนักกว่าเดิม

At least 136 dead, missing as Tropical Storm Trami hits Philippines

ความเปราะบางของฟิลิปปินส์

ประเทศฟิลิปปินส์ซึ่งประกอบด้วยเกาะกว่า 7,000 เกาะ ตั้งอยู่ใน “วงแหวนไต้ฝุ่น” ของมหาสมุทรแปซิฟิก ทำให้ต้องเผชิญกับพายุโดยเฉลี่ยปีละ 20 ลูก แต่ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา พายุที่พัดเข้าถล่มกลับมีความรุนแรงในระดับ “ซูเปอร์ไต้ฝุ่น” บ่อยครั้งขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ความเปราะบางนี้ถูกซ้ำเติมด้วยปัจจัยทางสังคมและเศรษฐกิจ เช่น ความยากจน และการตั้งถิ่นฐานในพื้นที่เสี่ยง ทำให้ประชากรจำนวนมากไม่สามารถฟื้นตัวจากภัยพิบัติครั้งก่อนหน้าได้ทันก่อนที่พายุลูกใหม่จะมาถึง

บทสรุป (Conclusion) ซูเปอร์ไต้ฝุ่นรากาซาคือบทพิสูจน์อันเจ็บปวดว่าฟิลิปปินส์และประเทศที่เป็นเกาะอื่นๆ กำลังใช้ชีวิตอยู่ในแนวหน้าของสงครามกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอย่างแท้จริง ในขณะที่ภารกิจเร่งด่วนที่สุดในอีก 48 ชั่วโมงข้างหน้าคือการค้นหาและช่วยเหลือผู้รอดชีวิต โศกนาฏกรรมที่เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่านี้ได้ส่งสารที่ชัดเจนไปยังประชาคมโลกว่า การรับมือกับภัยพิบัติไม่ใช่เป็นเพียงเรื่องของการเตรียมความพร้อมและการให้ความช่วยเหลืออีกต่อไป แต่ต้องมุ่งไปที่การแก้ปัญหาที่ต้นตอ นั่นคือการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกอย่างจริงจังและช่วยเหลือประเทศที่เปราะบางที่สุดในการปรับตัวเพื่อรับมือกับ “ความปกติใหม่” ที่โหดร้ายนี้ ก่อนที่ความสูญเสียจะมากมายเกินกว่าจะรับมือได้

แหล่งที่มาจาก : am2con

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *