อียิปต์สุดเศร้า! ‘กำไลทองคำฟาโรห์’ อายุกว่า 3,000 ปีที่ถูกขโมย ถูกแก๊งโจรหลอมขาย สูญสิ้นมรดกโลกที่ไม่อาจสร้างใหม่ได้

กำไลทองคำฟาโรห์ถูกขโมย

กำไลทองคำฟาโรห์ถูกขโมย กระทรวงการท่องเที่ยวและโบราณวัตถุอียิปต์ได้ออกแถลงการณ์ยืนยันข่าวที่น่าสลดใจที่สุดในรอบทศวรรษ: กำไลทองคำล้ำค่าของฟาโรห์ธุตโมสที่ 3 (Thutmose III) อายุกว่า 3,400 ปี ซึ่งถูกโจรกรรมไปจากพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นเมื่อหลายเดือนก่อน ได้ถูกทำลายลงอย่างสิ้นเชิงแล้ว เจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถจับกุมสมาชิกของแก๊งค้าโบราณวัตถุได้ และได้รับคำสารภาพว่ากำไลดังกล่าวได้ถูก “หลอม” ให้กลายเป็นเพียงก้อนทองคำเพื่อลบร่องรอยและนำไปขายในตลาดมืด ข่าวนี้ไม่เพียงแต่สร้างความโศกเศร้าให้กับชาวอียิปต์ แต่ยังเป็นการตอกย้ำถึงโศกนาฏกรรมของการ “ฆาตกรรมทางวัฒนธรรม” ที่ประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติอันประเมินค่ามิได้ ถูกทำลายลงอย่างเลือดเย็นเพื่อแลกกับมูลค่าทางวัตถุเพียงน้อยนิด และได้จุดประกายคำถามสำคัญถึงความท้าทายในการปกป้องมรดกโลกในยุคปัจจุบัน

Egypt says stolen pharoah's bracelet sold for US$4K, melted down

กำไลทองคำฟาโรห์ถูกขโมย ความสูญเสียที่ไม่อาจประเมินค่า รายละเอียดของ ‘กำไลแห่งชัยชนะของฟาโรห์นักรบ’

กำไลทองคำชิ้นที่ถูกทำลายไปนี้ ไม่ใช่เป็นเพียงเครื่องประดับธรรมดา แต่เป็นโบราณวัตถุชิ้นเอกที่รู้จักกันในนาม “กำไลแห่งชัยชนะของธุตโมสที่ 3” ซึ่งเป็นหนึ่งในฟาโรห์ผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์อียิปต์ หรือที่รู้จักกันในฉายา “นโปเลียนแห่งอียิปต์” จากการขยายอาณาจักรอย่างกว้างขวาง

  • ความสำคัญทางประวัติศาสตร์ ตัวกำไลทำจากทองคำบริสุทธิ์ สลักเสลาอย่างวิจิตรบรรจงด้วยอักษรภาพเฮียโรกลิฟิกที่บอกเล่าเรื่องราวการทำสงคราม 17 ครั้งของพระองค์ และมีสัญลักษณ์ของเทพีเซคเมต (Sekhmet) เทพีแห่งสงครามและความพินาศ ประดับอยู่ตรงกลาง เชื่อกันว่าเป็นเครื่องรางที่ฟาโรห์ทรงสวมใส่เพื่อเป็นสิริมงคลในการรบ
  • คุณค่าทางโบราณคดี กำไลชิ้นนี้เป็นหนึ่งในตัวอย่างงานฝีมือช่างทองสมัยราชวงศ์ที่ 18 ที่สมบูรณ์ที่สุดชิ้นหนึ่งที่เคยค้นพบ นักโบราณคดีศึกษาลวดลายบนกำไลเพื่อทำความเข้าใจเทคนิคการถลุงและขึ้นรูปโลหะเมื่อกว่าสามพันปีก่อน
  • มูลค่า ผู้เชี่ยวชาญระบุว่ามูลค่าทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมของกำไลชิ้นนี้ “ไม่สามารถประเมินเป็นตัวเงินได้” การสูญเสียครั้งนี้จึงเปรียบเสมือนการที่หน้าประวัติศาสตร์บทหนึ่งถูกฉีกทิ้งไปตลอดกาล มูลค่าทองคำที่ได้จากการหลอมนั้นเทียบไม่ได้เลยกับองค์ความรู้และเรื่องราวที่มันได้เก็บรักษาไว้

เส้นทางการโจรกรรมสู่การทำลายล้าง

การโจรกรรมเกิดขึ้นเมื่อประมาณสามเดือนก่อนที่พิพิธภัณฑ์โบราณวัตถุในเมืองมินยา ซึ่งเป็นพื้นที่ที่เคยเกิดเหตุการณ์ปล้นพิพิธภัณฑ์ครั้งใหญ่ในช่วงความวุ่นวายทางการเมืองเมื่อปี 2556 คนร้ายได้เจาะเข้าระบบรักษาความปลอดภัยในเวลากลางคืนและมุ่งตรงไปยังตู้จัดแสดงกำไลชิ้นนี้โดยเฉพาะ ซึ่งบ่งชี้ว่าเป็นการโจรกรรมที่มีการวางแผนมาอย่างดี

การสืบสวนของตำรวจหน่วยเฉพาะกิจปราบปรามการค้าโบราณวัตถุของอียิปต์ดำเนินไปอย่างลับๆ เป็นเวลาหลายเดือน ก่อนจะนำไปสู่การบุกจับกุมผู้ต้องสงสัยได้ 3 รายในเมืองลักซอร์เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว และจากการสอบสวนอย่างหนักหนึ่งในผู้ต้องสงสัยได้ให้การสารภาพถึงชะตากรรมของกำไลอันเป็นที่รักของชาติ

“พวกเขาไม่รู้วิธีที่จะขายมันในตลาดมืดของนักสะสม เพราะมันเป็นที่รู้จักมากเกินไป” แหล่งข่าวในหน่วยสืบสวนกล่าวกับสำนักข่าว Al Jazeera “ความกลัวว่าจะถูกจับทำให้พวกเขาตัดสินใจเลือกทางที่ง่ายที่สุดและโง่เขลาที่สุด คือการทำลายหลักฐานและเปลี่ยนมันให้เป็นแค่ทองคำแท่งธรรมดา”

A Pharaoh's 3,000-Year-Old Bracelet Was Allegedly Stolen by a Museum  Employee

‘ฆาตกรรมทางวัฒนธรรม’ เมื่อคุณค่าทางประวัติศาสตร์ถูกหลอมเป็นเพียงเศษโลหะ

คำว่า “หลอม” ได้สร้างแรงสั่นสะเทือนไปทั่ววงการโบราณคดีและอนุรักษ์วัฒนธรรมทั่วโลก การกระทำดังกล่าวถูกประณามอย่างรุนแรงว่าเป็น “การฆาตกรรมทางวัฒนธรรม” (Cultural Murder)

ทำไมต้องหลอม? จิตวิทยาของอาชญากรค้าโบราณวัตถุ

กำไลทองคำฟาโรห์ถูกขโมย การตัดสินใจหลอมโบราณวัตถุที่มีชื่อเสียงระดับโลก สะท้อนให้เห็นถึงตรรกะอันโหดร้ายของตลาดมืดในปัจจุบัน

  • ความเสี่ยงสูง โบราณวัตถุที่มีชื่อเสียงและถูกบันทึกไว้ในฐานข้อมูลสากล เช่น ฐานข้อมูลของ UNESCO และ INTERPOL นั้นแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะขายให้กับพิพิธภัณฑ์หรือนักสะสมที่มีชื่อเสียง
  • การทำลายอัตลักษณ์ การหลอมเป็นการทำลาย “อัตลักษณ์” ของวัตถุ ทำให้มันไม่สามารถถูกติดตามได้อีกต่อไป ก้อนทองคำไม่มีประวัติศาสตร์ มันเป็นเพียงสินค้าโภคภัณฑ์
  • ผลกำไรที่รวดเร็ว แม้จะได้ราคาที่ต่ำกว่ามูลค่าจริงมหาศาล แต่การขายเป็นทองคำแท่งสามารถทำได้อย่างรวดเร็วและง่ายดายในตลาดมืดทั่วไป โดยไม่ต้องผ่านเครือข่ายผู้เชี่ยวชาญที่ซับซ้อน

เสียงจากผู้เชี่ยวชาญ “ประวัติศาสตร์ได้ถูกลบไปตลอดกาล”

ดร. ซาฮี ฮาวาสส์ (Zahi Hawass) อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงโบราณวัตถุและนักอียิปต์วิทยาชื่อดัง ได้ให้สัมภาษณ์ด้วยน้ำเสียงที่เดือดดาลว่า “นี่คือวันที่มืดมนที่สุดสำหรับอียิปต์และสำหรับโลก พวกเขาไม่ได้ขโมยแค่ทองคำ พวกเขาขโมยจิตวิญญาณของฟาโรห์ ขโมยเรื่องราวของบรรพบุรุษของเรา การกระทำนี้เทียบเท่ากับการเผาห้องสมุดอเล็กซานเดรียอีกครั้งหนึ่ง ประวัติศาสตร์ได้ถูกลบไปตลอดกาล และไม่มีเงินจำนวนใดในโลกจะซื้อมันกลับคืนมาได้”

สงครามที่ไม่จบสิ้น อียิปต์กับการต่อสู้เพื่อปกป้องมรดกของชาติ

โศกนาฏกรรมครั้งนี้ได้ส่องสปอตไลท์ไปยังสงครามที่อียิปต์ต้องต่อสู้มาอย่างยาวนานเพื่อปกป้องมรดกทางวัฒนธรรมอันมหาศาลของตน

กฎหมายที่เข้มงวดและบทลงโทษ

อียิปต์มีกฎหมายที่เข้มงวดที่สุดในโลกฉบับหนึ่งในการป้องกันการค้าโบราณวัตถุ กฎหมายฉบับแก้ไขล่าสุดกำหนดให้การลักลอบค้าโบราณวัตถุเป็นอาชญากรรมร้ายแรง มีโทษจำคุกตลอดชีวิตและปรับเป็นเงินหลายล้านดอลลาร์ อย่างไรก็ตาม การบังคับใช้กฎหมายยังคงเป็นความท้าทายอย่างยิ่ง

ความท้าทายจากความยากจนและตลาดมืด

รากของปัญหาส่วนหนึ่งมาจากปัจจัยทางเศรษฐกิจ ความยากจนในพื้นที่ชนบทบางแห่งทำให้ชาวบ้านบางส่วนเข้าไปพัวพันกับการลักลอบขุดค้นอย่างผิดกฎหมาย โดยได้รับเงินค่าจ้างเพียงน้อยนิดจากนายทุนใหญ่ที่อยู่เบื้องหลังเครือข่ายระดับนานาชาติ ตลาดมืดสำหรับโบราณวัตถุยังคงมีความต้องการสูงจากนักสะสมที่ไร้จริยธรรมทั่วโลก ซึ่งเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญที่ทำให้วงจรนี้ดำเนินต่อไป

Stolen 3,000-year-old pharaoh bracelet melted down for gold, Egypt says |  CNN

ความรับผิดชอบของประชาคมโลกและบทบาทของ UNESCO

เหตุการณ์นี้กระตุ้นให้เกิดเสียงเรียกร้องให้ประชาคมโลกร่วมมือกันอย่างจริงจังมากขึ้นในการต่อสู้กับการค้าโบราณวัตถุผิดกฎหมาย

  • การควบคุมตลาด ผู้เชี่ยวชาญเรียกร้องให้ประเทศต่างๆ โดยเฉพาะในยุโรปและอเมริกาเหนือ เพิ่มความเข้มงวดในการตรวจสอบและควบคุมตลาดซื้อขายของเก่าและงานศิลปะ
  • ความร่วมมือระหว่างประเทศ การแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวกรองและการประสานงานระหว่างหน่วยงานตำรวจของแต่ละประเทศเป็นสิ่งจำเป็นในการทลายเครือข่ายอาชญากรรมข้ามชาติเหล่านี้
  • บทบาทของ UNESCO องค์การยูเนสโกได้ประณามการกระทำดังกล่าวและเรียกร้องให้มีการดำเนินการทางกฎหมายอย่างถึงที่สุด พร้อมทั้งย้ำถึงความสำคัญของอนุสัญญาปี 1970 ว่าด้วยมาตรการห้ามและป้องกันการนำเข้า ส่งออก และโอนกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินทางวัฒนธรรมโดยมิชอบด้วยกฎหมาย

บทสรุป (Conclusion) การสูญสลายของกำไลทองคำแห่งฟาโรห์ธุตโมสที่ 3 เป็นมากกว่าการสูญเสียโบราณวัตถุหนึ่งชิ้น มันคือสัญลักษณ์อันเจ็บปวดของการคุกคามที่มรดกของมนุษยชาติกำลังเผชิญหน้าอยู่ทุกวัน โศกนาฏกรรมครั้งนี้ต้องไม่เป็นเพียงพาดหัวข่าวที่ถูกลืมเลือนไปตามกาลเวลา แต่ควรเป็นเสียงระฆังเตือนภัยที่ดังกระหึ่มไปทั่วโลก เพื่อกระตุ้นให้เกิดการดำเนินการที่เป็นรูปธรรมและจริงจังในการปกป้องสมบัติล้ำค่าเหล่านี้ ก่อนที่หน้าประวัติศาสตร์อีกหลายหน้าจะถูกหลอมละลายและสูญหายไปในเงามืดของความโลภตลอดกาล

แหล่งที่มาจาก : am2con

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *