แม่ฆ่าลูกซ่อนศพในกระเป๋า คณะลูกขุนแห่งศาลสูงโอ๊คแลนด์ ประเทศนิวซีแลนด์ ได้มีคำตัดสินเป็นเอกฉันท์ให้ ฮาคยอง อี (Hakyung Lee) หญิงชาวเกาหลีใต้ วัย 44 ปี มีความผิดในข้อหาฆาตกรรมบุตรสองคนของตนเอง ก่อนนำศพไปซ่อนในกระเป๋าเดินทางเป็นเวลานานหลายปี คดีดังกล่าวได้ปิดฉากการสืบสวนสอบสวนข้ามชาติที่เริ่มต้นขึ้นหลังการค้นพบศพอันน่าสยดสยองโดยครอบครัวที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ คำตัดสินครั้งนี้ไม่เพียงแต่เป็นบทสรุปทางกฎหมายของอาชญากรรมที่น่าตกตะลึง แต่ยังเปิดบาดแผลทางสังคมให้เห็นถึงประเด็นที่ซับซ้อนและน่าเจ็บปวด ทั้งเรื่องวิกฤตสุขภาพจิตหลังคลอด, ความรุนแรงในครอบครัวที่ถูกปิดบัง และความโดดเดี่ยวของผู้อพยพที่ต้องดิ้นรนในต่างแดน ซึ่งทั้งหมดนี้ได้กลายเป็นส่วนผสมที่นำไปสู่โศกนาฏกรรมอันน่าสลดใจ
บทสรุปทางกฎหมาย แม่ฆ่าลูกซ่อนศพในกระเป๋า คำตัดสินสุดท้ายจากศาลสูงโอ๊คแลนด์
หลังจากการพิจารณาคดีที่ดำเนินไปอย่างเข้มข้นเป็นเวลาหลายสัปดาห์ คณะลูกขุนได้ใช้เวลาไตร่ตรองเพียงไม่กี่ชั่วโมงก่อนจะกลับมาพร้อมกับคำตัดสินว่า ฮาคยอง อี มีความผิดฐานฆาตกรรมบุตรทั้งสองคนของเธอ ซึ่งมีอายุประมาณ 6 และ 8 ขวบในขณะที่เสียชีวิตเมื่อราวปี 2561 บรรยากาศในห้องพิจารณาคดีเต็มไปด้วยความเงียบสงัดขณะที่มีการอ่านคำตัดสิน โดยจำเลยแสดงอาการนิ่งเฉย ไม่ตอบสนองต่อคำตัดสินดังกล่าว
คำตัดสินนี้ถือเป็นชัยชนะของฝ่ายอัยการที่ยืนกรานมาตลอดว่าการกระทำของจำเลยเป็นการฆาตกรรมโดยไตร่ตรองไว้ก่อน ไม่ใช่การกระทำที่เกิดจากสภาวะจิตใจที่ไม่ปกติชั่วขณะ ซึ่งเป็นข้อต่อสู้หลักของทีมทนายจำเลย การตัดสินลงโทษในข้อหาฆาตกรรมในนิวซีแลนด์โดยทั่วไปหมายถึงการรับโทษจำคุกตลอดชีวิต โดยศาลจะกำหนดวันพิจารณาบทลงโทษอย่างเป็นทางการในภายหลัง
ย้อนรอยโศกนาฏกรรม จากครอบครัวในโอ๊คแลนด์สู่การค้นพบอันน่าสยดสยอง
คดีนี้ปรากฏสู่สายตาสาธารณชนครั้งแรกในเดือนสิงหาคม 2565 และกลายเป็นข่าวพาดหัวไปทั่วโลกจากรายละเอียดที่น่าขนลุกของการค้นพบ
การประมูลตู้เก็บของที่เปลี่ยนชีวิต
เรื่องราวเริ่มต้นขึ้นเมื่อครอบครัวหนึ่งในย่านเซาท์โอ๊คแลนด์ชนะการประมูลตู้เก็บของที่ถูกทิ้งร้าง โดยไม่เคยคาดคิดว่าสิ่งที่อยู่ภายในจะเปลี่ยนชีวิตพวกเขาไปตลอดกาล เมื่อพวกเขานำสิ่งของกลับมาที่บ้านและเริ่มเปิดกระเป๋าเดินทางสองใบที่อยู่ในตู้นั้น พวกเขาก็ได้พบกับสิ่งที่น่าสะพรึงกลัวที่สุด นั่นคือชิ้นส่วนร่างกายของเด็กสองคน ทำให้เกิดการแจ้งความกับตำรวจและนำไปสู่การสืบสวนคดีฆาตกรรมครั้งใหญ่
- การระบุตัวตน ตำรวจนิวซีแลนด์ทำงานอย่างหนักเพื่อระบุตัวตนของเหยื่อ ซึ่งเป็นเรื่องที่ท้าทายอย่างมากเนื่องจากระยะเวลาที่ศพถูกเก็บไว้
- การสืบสวนย้อนรอย จากหลักฐานที่พบในที่เกิดเหตุและบันทึกของบริษัทให้เช่าตู้เก็บของ เจ้าหน้าที่สามารถปะติดปะต่อเรื่องราวและเชื่อมโยงกระเป๋าเดินทางดังกล่าวกับครอบครัวของฮาคยอง อี ซึ่งเคยอาศัยอยู่ในโอ๊คแลนด์
ปฏิบัติการข้ามชาติ การตามล่าและส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดน
เมื่อระบุตัวผู้ต้องสงสัยได้แล้ว การสืบสวนได้ขยายขอบเขตไปสู่ระดับนานาชาติ พบว่า ฮาคยอง อี ได้เดินทางออกจากนิวซีแลนด์กลับไปยังประเทศเกาหลีใต้ตั้งแต่ปี 2561 ซึ่งเป็นช่วงเวลาเดียวกับที่คาดว่าเด็กๆ เสียชีวิต ตำรวจสากล (Interpol) ได้ออกหมายแดงเพื่อติดตามจับกุมเธอ
- การจับกุมในอุลซัน ในเดือนกันยายน 2565 ตำรวจเกาหลีใต้สามารถติดตามและจับกุมตัวเธอได้ที่เมืองอุลซัน
- กระบวนการส่งผู้ร้ายข้ามแดน ฮาคยอง อี ได้ปฏิเสธข้อกล่าวหาและต่อสู้คดีเพื่อไม่ให้ถูกส่งตัวกลับไปนิวซีแลนด์ แต่ในที่สุดศาลเกาหลีใต้ก็ได้อนุมัติคำร้องขอส่งผู้ร้ายข้ามแดนในเดือนพฤศจิกายน 2565 ทำให้เธอถูกนำตัวกลับมาดำเนินคดีที่นิวซีแลนด์
เสียงจากห้องพิจารณาคดี ข้อต่อสู้ระหว่าง ‘ฆาตกรรม’ และ ‘วิกฤตสุขภาพจิต’
หัวใจสำคัญของการพิจารณาคดีคือการต่อสู้ทางกฎหมายระหว่างสองทฤษฎีที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
ฝ่ายอัยการ ภาพของ ‘การกระทำโดยไตร่ตรอง’
ทีมอัยการได้นำเสนอหลักฐานที่บ่งชี้ว่า ฮาคยอง อี ได้กระทำการฆาตกรรมบุตรของตนเองอย่างมีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์ พวกเขาโต้แย้งว่าเธออาจจะรู้สึกกดดันจากสถานการณ์ทางการเงินและชีวิตส่วนตัว และตัดสินใจที่จะจบชีวิตลูกๆ ของเธอ อัยการได้ชี้ให้เห็นถึงพฤติกรรมการปกปิดร่องรอย รวมถึงการนำศพใส่กระเป๋าเดินทางและเดินทางหนีออกนอกประเทศ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงการวางแผนและไตร่ตรอง
ทีมทนายจำเลย ข้อโต้แย้งเรื่องภาวะซึมเศร้าและความรุนแรงในครอบครัว
ในทางกลับกัน ทีมทนายจำเลยได้วาดภาพของหญิงที่แตกสลายและตกอยู่ในวิกฤตสุขภาพจิตอย่างรุนแรง พวกเขาต่อสู้ว่าจำเลยควรถูกตัดสินในข้อหา การฆ่าบุตรโดยบันดาลโทสะ (Infanticide) แทนที่จะเป็นฆาตกรรม ซึ่งเป็นข้อหาสำหรับมารดาที่ฆ่าบุตรของตนเองในขณะที่สภาพจิตใจยังไม่ปกติอันเนื่องมาจากการคลอดบุตร
- หลักฐานสนับสนุน ทนายได้นำเสนอหลักฐานว่า ฮาคยอง อี ตกอยู่ในภาวะซึมเศร้าหลังคลอดอย่างรุนแรง และต้องเผชิญกับความรุนแรงในครอบครัวจากสามีผู้ล่วงลับ (เสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งก่อนการค้นพบศพ) พวกเขาอ้างว่าความกดดันสะสมเหล่านี้ทำให้เธอมีสภาพจิตใจที่ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการกระทำของตนเองได้อย่างเต็มที่
- คำให้การจากผู้เชี่ยวชาญ มีการนำจิตแพทย์ขึ้นให้การเพื่ออธิบายถึงผลกระทบของภาวะซึมเศร้าหลังคลอดที่สามารถบิดเบือนการรับรู้และความคิดของมารดาได้อย่างไร
อย่างไรก็ตาม คณะลูกขุนไม่ปักใจเชื่อในข้อโต้แย้งของฝ่ายจำเลย และเลือกที่จะเชื่อในหลักฐานของฝ่ายอัยการ
มากกว่าคดีอาชญากรรม ภาพสะท้อนปัญหาสังคมและช่องว่างของระบบสนับสนุน
โศกนาฏกรรมครั้งนี้ได้จุดประกายให้เกิดการพูดคุยถึงปัญหาสังคมที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังข่าวอาชญากรรมที่น่าตกใจ
H3 ความท้าทายที่มองไม่เห็น สุขภาพจิตของผู้อพยพ
คดีนี้ได้ส่องสว่างไปยังความเปราะบางของผู้อพยพ โดยเฉพาะผู้หญิง ที่อาจต้องเผชิญกับอุปสรรคมากมายในการเข้าถึงบริการสนับสนุนด้านสุขภาพจิต
- ความโดดเดี่ยวทางวัฒนธรรม การย้ายถิ่นฐานไปยังประเทศใหม่มักหมายถึงการสูญเสียเครือข่ายสนับสนุนทางสังคมที่คุ้นเคย เช่น ครอบครัวและเพื่อนฝูง
- อุปสรรคทางภาษา การไม่สามารถสื่อสารได้อย่างคล่องแคล่วอาจทำให้การขอความช่วยเหลือเป็นเรื่องที่ยากลำบากอย่างยิ่ง
- ความอัปยศทางวัฒนธรรม ในหลายวัฒนธรรม ปัญหาสุขภาพจิตยังคงเป็นเรื่องต้องห้าม ทำให้ผู้คนลังเลที่จะยอมรับหรือขอความช่วยเหลือ
เมื่อเสียงร้องขอความช่วยเหลือไม่ได้ยิน ประเด็นความรุนแรงในครอบครัว
ข้อกล่าวอ้างเรื่องความรุนแรงในครอบครัวในคดีนี้ยังตอกย้ำถึงความจริงที่ว่า เหยื่อจำนวนมากต้องทนทุกข์ทรมานในความเงียบ ระบบอาจล้มเหลวในการระบุสัญญาณอันตรายและให้ความช่วยเหลือแก่ผู้ที่ต้องการได้ทันท่วงที
บทสรุป (Conclusion) แม้ว่าคำตัดสินของศาลจะนำมาซึ่งบทสรุปทางกฎหมายสำหรับคดี “แม่ฆ่าลูกซ่อนศพในกระเป๋าเดินทาง” แต่บาดแผลทางอารมณ์และคำถามทางสังคมที่คดีนี้ทิ้งไว้ยังคงอยู่ โศกนาฏกรรมของเด็กน้อยสองคนนี้เป็นเครื่องเตือนใจอันเจ็บปวดว่าเบื้องหลังพาดหัวข่าวอาชญากรรม มักมีเรื่องราวของความทุกข์ทรมาน, ความสิ้นหวัง, และความล้มเหลวของระบบซ่อนอยู่ คดีของฮาคยอง อี ได้ปิดฉากลงในชั้นศาล แต่ได้เปิดบทสนทนาที่สำคัญให้สังคมนิวซีแลนด์และทั่วโลกต้องขบคิดต่อไปว่าจะทำอย่างไรเพื่อสร้างเครือข่ายความปลอดภัยทางสังคมที่แข็งแกร่งพอที่จะป้องกันไม่ให้โศกนาฏกรรมเช่นนี้เกิดขึ้นซ้ำรอยอีกในอนาคต
แหล่งที่มาจาก : am2con