จลาจลเดือดคุกเอกวาดอร์ ดับ 14 ศพ สะท้อนวิกฤต ‘สงครามภายใน’ ที่รัฐบาลต้องเผชิญหน้ากับแก๊งค้ายาครองเมือง

จลาจลคุกเอกวาดอร์

เหตุการณ์ จลาจลคุกเอกวาดอร์ นองเลือดครั้งล่าสุดในเรือนจำของเอกวาดอร์ ซึ่งส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 14 รายและบาดเจ็บอีกจำนวนมาก ไม่ใช่เป็นเพียงภาพสะท้อนของความรุนแรงระหว่างแก๊งค้ายาเสพติดคู่ปรับสำคัญอย่าง ‘Los Lobos’ และ ‘Los Choneros’ เท่านั้น แต่ยังเป็นสัญญาณเตือนภัยระดับสูงสุดถึงวิกฤตความมั่นคงของชาติที่กำลังลุกลามบานปลาย ประธานาธิบดีดาเนียล โนโบอา กำลังเผชิญหน้ากับสิ่งที่เขาเรียกว่า “สงครามภายใน” (Internal Armed Conflict) ซึ่งเป็นการต่อสู้เพื่อทวงคืนอำนาจรัฐจากองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติที่ใช้เรือนจำเป็นฐานที่มั่นในการสั่งการและขยายอิทธิพล ปฏิบัติการทางทหารที่เข้มข้นกำลังดำเนินไปท่ามกลางความท้าทายด้านมนุษยธรรมและเสถียรภาพของประเทศที่แขวนอยู่บนเส้นด้าย

Prison riots in Ecuador leave 62 dead, officials say - Los Angeles Times

จลาจลคุกเอกวาดอร์ เปิดฉากนองเลือด ลำดับเหตุการณ์ปะทะเดือดในเรือนจำ

เช้าตรู่ของวันที่ผ่านมาตามเวลาท้องถิ่น เสียงปืนและการระเบิดได้ดังขึ้นอย่างต่อเนื่องจากภายในเรือนจำความมั่นคงสูงแห่งหนึ่งในเมืองกัวยากิล ซึ่งเป็นเมืองท่าสำคัญและเป็นศูนย์กลางการค้ายาเสพติดของเอกวาดอร์ สถานการณ์บานปลายอย่างรวดเร็วจนกลายเป็นการจลาจลเต็มรูปแบบ โดยมีรายงานการปะทะกันอย่างดุเดือดระหว่างสมาชิกของสององค์กรอาชญากรรมที่ใหญ่ที่สุดในประเทศ

หน่วยงานราชทัณฑ์แห่งชาติของเอกวาดอร์ (SNAI) ได้ออกมายืนยันยอดผู้เสียชีวิตเบื้องต้นที่ 14 ราย และผู้บาดเจ็บอีกหลายสิบคน โดยระบุว่าเหตุการณ์ครั้งนี้เกิดจากการต่อสู้เพื่อแย่งชิงอำนาจควบคุมพื้นที่ภายในเรือนจำระหว่างแก๊ง Los Lobos (เดอะวูล์ฟส์) และ Los Choneros (เดอะโชเนรอส) ซึ่งเป็นคู่ปรับตลอดกาล

  • การตอบโต้ของทางการ กองกำลังผสมซึ่งประกอบด้วยทหารและตำรวจหน่วยปฏิบัติการพิเศษหลายพันนาย ถูกส่งเข้าไปควบคุมสถานการณ์อย่างเร่งด่วน มีการใช้โดรนและยานหุ้มเกราะเพื่อประเมินสถานการณ์จากภายนอก ก่อนที่หน่วยรบพิเศษจะบุกเข้าไปในพื้นที่ปะทะ
  • การค้นพบอาวุธสงคราม หลังจากการควบคุมสถานการณ์ได้เบื้องต้น เจ้าหน้าที่ได้ค้นพบอาวุธสงครามจำนวนมากที่ถูกลักลอบนำเข้าไปในเรือนจำ ประกอบด้วยปืนไรเฟิลอัตโนมัติ, ปืนพก, ระเบิดมือ, และมีดจำนวนนับไม่ถ้วน ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงการทุจริตและการขาดการควบคุมอย่างสิ้นเชิงภายในระบบราชทัณฑ์
  • สภาพผู้บาดเจ็บ โรงพยาบาลในพื้นที่ใกล้เคียงถูกสั่งให้เตรียมความพร้อมรับมือผู้บาดเจ็บจำนวนมาก ซึ่งส่วนใหญ่มีบาดแผลจากการถูกยิงและถูกแทงด้วยอาวุธมีคม

เหตุการณ์นี้ตอกย้ำถึงความเปราะบางของระบบเรือนจำในเอกวาดอร์ ที่ซึ่งนักโทษมีอำนาจมากกว่าผู้คุม และความรุนแรงสามารถปะทุขึ้นได้ทุกเมื่อ

เบื้องหลังความขัดแย้ง ‘Los Lobos’ ปะทะ ‘Los Choneros’ มหาสงครามแก๊งค้ายาในเรือนจำ

ความขัดแย้งระหว่างแก๊ง Los Lobos และ Los Choneros เป็นศูนย์กลางของความรุนแรงในเอกวาดอร์มานานหลายปี ทั้งสองกลุ่มไม่ได้เป็นเพียงแก๊งอันธพาลธรรมดา แต่เป็นองค์กรอาชญากรรมที่มีโครงสร้างซับซ้อนและมีเครือข่ายโยงใยกับการค้ายาเสพติดข้ามชาติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งแก๊งค้ายาจากเม็กซิโกและโคลอมเบีย

  • Los Choneros ถือเป็นแก๊งดั้งเดิมที่ทรงอิทธิพลมากที่สุดกลุ่มหนึ่ง การลอบสังหารผู้นำคนสำคัญของแก๊ง “ฆอร์เก หลุยส์ ซัมบราโน” หรือ “รัสควินญา” ในปี 2563 ได้สร้างสุญญากาศทางอำนาจ และทำให้แก๊งสาขาต่างๆ แยกตัวออกมาตั้งตนเป็นใหญ่และเปิดศึกแย่งชิงอิทธิพล
  • Los Lobos เดิมทีเป็นส่วนหนึ่งของเครือข่าย Los Choneros แต่ได้แยกตัวออกมาและเติบโตอย่างรวดเร็วจนกลายเป็นคู่แข่งที่น่ากลัวที่สุด พวกเขามีชื่อเสียงในด้านความโหดเหี้ยมและมีความเชื่อมโยงกับแก๊ง Jalisco New Generation Cartel (CJNG) จากเม็กซิโก
  • เรือนจำเป็นศูนย์บัญชาการ สำหรับแก๊งเหล่านี้ เรือนจำไม่ใช่สถานที่จองจำ แต่เป็น “ศูนย์บัญชาการ” ที่ปลอดภัยที่สุด ผู้นำแก๊งที่ถูกคุมขังยังคงสามารถสั่งการเครือข่ายภายนอก ทั้งการค้ายาเสพติด, การลักพาตัว, และการขู่กรรโชกทรัพย์ได้อย่างอิสระ การควบคุมพื้นที่ในเรือนจำจึงหมายถึงการควบคุมเส้นทางและธุรกิจผิดกฎหมายทั้งหมด

การปะทะกันครั้งนี้จึงเป็นการต่อสู้เพื่อศักดิ์ศรีและอำนาจควบคุมเส้นทางการลำเลียงยาเสพติดที่ผ่านเอกวาดอร์ ซึ่งกลายเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญของขบวนการค้ายาเสพติดในภูมิภาคลาตินอเมริกา

Ecuador prison riot: At least 20 killed in Ecuador prison riot | CNN

‘สงครามภายใน’ เมื่อรัฐบาลเอกวาดอร์ประกาศศึกกับองค์กรอาชญากรรม

เพื่อตอบสนองต่อวิกฤตความรุนแรงที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง รัฐบาลของประธานาธิบดีดาเนียล โนโบอา ได้ยกระดับการต่อสู้กับแก๊งอาชญากรรมไปสู่ขั้นสูงสุด โดยประกาศให้ประเทศอยู่ในสภาวะ “ความขัดแย้งทางอาวุธภายใน” (Internal Armed Conflict) ซึ่งเป็นการมอบอำนาจพิเศษให้แก่กองทัพในการปฏิบัติการเสมือนอยู่ในภาวะสงคราม

จากภาวะฉุกเฉินสู่ความขัดแย้งทางอาวุธ

การตัดสินใจของประธานาธิบดีโนโบอาเกิดขึ้นหลังจากเหตุการณ์ความไม่สงบหลายระลอก รวมถึงการแหกคุกของ “อดอลโฟ มาซิอัส” หรือ “ฟิโต” ผู้นำสูงสุดของแก๊ง Los Choneros และการบุกยึดสถานีโทรทัศน์ขณะออกอากาศสดโดยกลุ่มติดอาวุธ มาตรการนี้เปลี่ยนแปลงสถานะของแก๊งอาชญากรรมกว่า 22 กลุ่ม ให้กลายเป็น “องค์กรก่อการร้าย” และเป็นเป้าหมายทางทหารที่สามารถถูกกวาดล้างได้โดยชอบด้วยกฎหมาย

ประเด็นสำคัญของมาตรการนี้

  • อำนาจของกองทัพ ทหารมีอำนาจในการลาดตระเวนตามท้องถนน, เข้าตรวจค้นบ้านเรือนโดยไม่ต้องมีหมายศาล, และควบคุมโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญ เช่น ท่าเรือและเรือนจำ
  • ปฏิบัติการในเรือนจำ กองทัพได้เข้ายึดอำนาจควบคุมเรือนจำทั้งหมดจาก SNAI โดยมีเป้าหมายเพื่อรื้อฟื้นระเบียบวินัย, ปลดอาวุธนักโทษ, และทลายโครงข่ายการสั่งการของแก๊งจากภายใน
  • การเผชิญหน้าโดยตรง นโยบายนี้หมายถึงการเปลี่ยนจากการตั้งรับเป็นการเผชิญหน้าโดยตรงกับแก๊งอาชญากรรม ซึ่งนำไปสู่การปะทะกันอย่างรุนแรงทั้งในและนอกเรือนจำ

ปฏิบัติการของกองทัพและผลกระทบ

นับตั้งแต่การประกาศสงครามภายใน กองทัพเอกวาดอร์ได้จับกุมผู้ต้องสงสัยหลายพันคนและยึดโคเคนได้เป็นประวัติการณ์ อย่างไรก็ตาม ความสำเร็จเหล่านี้ต้องแลกมาด้วยความตึงเครียดที่เพิ่มสูงขึ้น การจลาจลในเรือนจำครั้งล่าสุดนี้ถูกมองว่าเป็นการตอบโต้โดยตรงต่อแรงกดดันจากปฏิบัติการของรัฐบาล ซึ่งพยายามจะสลายอำนาจของแก๊งต่างๆ ที่หยั่งรากลึกมานาน

ผู้เชี่ยวชาญด้านความมั่นคงมองว่า แม้มาตรการใช้กำลังทหารจะจำเป็นในระยะสั้น แต่ก็มีความเสี่ยงที่จะนำไปสู่การละเมิดสิทธิมนุษยชนและยิ่งทำให้สถานการณ์ความรุนแรงเลวร้ายลง หากไม่มีการปฏิรูปเชิงโครงสร้างในระยะยาวควบคู่กันไป

วิกฤตระบบเรือนจำที่ล่มสลาย ภาพสะท้อนความท้าทายเชิงโครงสร้าง

ต้นตอของปัญหาจลาจลในคุกเอกวาดอร์หยั่งรากลึกกว่าแค่ความขัดแย้งระหว่างแก๊ง แต่เกิดจากความล้มเหลวเชิงระบบที่สะสมมานานหลายทศวรรษ

  • ความแออัดยัดเยียด เรือนจำทั่วประเทศรองรับนักโทษเกินความจุไปมาก ทำให้สภาพความเป็นอยู่ย่ำแย่และเป็นแหล่งเพาะพันธุ์ความรุนแรง
  • การทุจริตคอร์รัปชัน เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ได้รับค่าจ้างต่ำและมักจะถูกข่มขู่หรือติดสินบนโดยแก๊งอาชญากรรม ทำให้การลักลอบนำอาวุธ, โทรศัพท์มือถือ, และยาเสพติดเข้าไปเป็นเรื่องง่ายดาย
  • การขาดแคลนงบประมาณ การลงทุนในระบบเรือนจำถูกละเลยมานาน ทำให้ขาดแคลนทั้งบุคลากร, เทคโนโลยีความปลอดภัย, และโครงการฟื้นฟูผู้กระทำผิด
  • การสูญเสียการควบคุม ในทางปฏิบัติ รัฐได้สูญเสียการควบคุมพื้นที่ส่วนใหญ่ภายในเรือนจำให้กับแก๊งต่างๆ ซึ่งทำหน้าที่ปกครองและสร้างกฎเกณฑ์ของตนเองขึ้นมา

วิกฤตการณ์นี้ทำให้เรือนจำกลายเป็น “มหาวิทยาลัยอาชญากรรม” ที่ซึ่งสมาชิกแก๊งรายใหม่ได้รับการฝึกฝนและสร้างเครือข่าย แทนที่จะเป็นสถานที่สำหรับการแก้ไขฟื้นฟู

ผลกระทบในมิติภูมิรัฐศาสตร์และมนุษยธรรม

สถานการณ์ในเอกวาดอร์กำลังถูกจับตามองอย่างใกล้ชิดจากประชาคมระหว่างประเทศ เนื่องจากมีนัยสำคัญทั้งในระดับภูมิภาคและระดับโลก

เอกวาดอร์ในสนามรบของขบวนการค้ายาเสพติดข้ามชาติ

เอกวาดอร์ซึ่งตั้งอยู่ระหว่างโคลอมเบียและเปรู สองประเทศผู้ผลิตโคเคนรายใหญ่ที่สุดของโลก ได้กลายเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญในการลำเลียงยาเสพติดไปยังตลาดในยุโรปและอเมริกาเหนือ การอ่อนแอของสถาบันภาครัฐ ประกอบกับเครือข่ายท่าเรือที่กว้างขวาง ทำให้ประเทศนี้เป็นที่หมายปองขององค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ ความรุนแรงที่เกิดขึ้นจึงเป็นส่วนหนึ่งของ “Proxy War” หรือสงครามตัวแทนระหว่างแก๊งค้ายาระดับโลกที่ต่อสู้เพื่อควบคุมเส้นทางโลจิสติกส์ที่มีมูลค่ามหาศาล

Mother fears for son's life after dozens killed in Ecuador prison riots -  ABC News

เสียงเรียกร้องจากองค์กรสิทธิมนุษยชน

ขณะที่รัฐบาลกำลังเดินหน้าใช้มาตรการขั้นเด็ดขาด องค์กรสิทธิมนุษยชนทั้งในและต่างประเทศ เช่น Human Rights Watch และ Amnesty International ได้แสดงความกังวลอย่างยิ่งต่อสถานการณ์

  • ความปลอดภัยของนักโทษ พวกเขาเรียกร้องให้รัฐบาลรับประกันความปลอดภัยของนักโทษทุกคน รวมถึงผู้ที่ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการจลาจล
  • การปฏิบัติต่อผู้ต้องขัง มีรายงานภาพและวิดีโอที่แสดงให้เห็นถึงการปฏิบัติต่อผู้ต้องขังอย่างโหดร้ายโดยเจ้าหน้าที่ทหาร ซึ่งอาจเข้าข่ายการละเมิดสิทธิมนุษยชน
  • การแก้ปัญหาที่ยั่งยืน องค์กรเหล่านี้เรียกร้องให้มีการแก้ปัญหาที่ต้นเหตุ เช่น การปฏิรูประบบยุติธรรม, การลดความแออัดในเรือนจำ, และการต่อสู้กับการทุจริต แทนที่จะพึ่งพาเพียงมาตรการทางทหาร

บทสรุป (Conclusion) การจลาจลคุกเอกวาดอร์ในเรือนจำเอกวาดอร์ครั้งล่าสุดเป็นมากกว่าโศกนาฏกรรม แต่เป็นบทพิสูจน์ความท้าทายครั้งใหญ่หลวงที่สุดของรัฐบาลประธานาธิบดีดาเนียล โนโบอา การประกาศ “สงครามภายใน” เป็นการเดิมพันที่สูงลิ่ว ซึ่งอาจนำไปสู่การทวงคืนอำนาจรัฐหรืออาจถลำลึกลงไปในวังวนของความรุนแรงที่ควบคุมไม่ได้ อนาคตของเอกวาดอร์ขึ้นอยู่กับว่ารัฐบาลจะสามารถสร้างสมดุลระหว่างการใช้กำลังขั้นเด็ดขาดกับการปฏิรูปเชิงโครงสร้างที่ยั่งยืนได้หรือไม่ โลกกำลังจับตามองว่าประเทศที่เคยสงบสุขแห่งนี้จะสามารถหลุดพ้นจากเงื้อมมือขององค์กรอาชญากรรมและฟื้นฟูหลักนิติธรรมกลับคืนมาได้สำเร็จหรือไม่

แหล่งที่มาจาก : am2con

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *