สงครามชิปสหรัฐฯ-จีน จีนสอบสวน Nvidia ได้ทวีความรุนแรงและเปิดแนวรบใหม่อีกครั้ง เมื่อหน่วยงานกำกับดูแลตลาดแห่งรัฐของจีน (State Administration for Market Regulation – SAMR) ได้ประกาศผลการสอบสวนเบื้องต้นที่สร้างแรงสั่นสะเทือนไปทั่วทั้งอุตสาหกรรมเทคโนโลยี โดยระบุว่า Nvidia บริษัทเซมิคอนดักเตอร์ที่ทรงอิทธิพลที่สุดของสหรัฐฯ มีพฤติกรรมละเมิด กฎหมายต่อต้านการผูกขาดจีน การประกาศครั้งนี้ไม่ใช่แค่ข้อพิพาททางการค้าธรรมดา แต่เป็นกระสุนนัดสำคัญที่จีนยิงตอบโต้มาตรการจำกัดการส่งออก ชิป AI ของวอชิงตัน และเป็นการส่งสัญญาณที่ชัดเจนว่า ปักกิ่งพร้อมที่จะใช้ “อาวุธทางกฎหมาย” และขนาดตลาดอันมหาศาลของตนเป็นเครื่องมือในการต่อสู้ทางภูมิรัฐศาสตร์
บทความนี้จะวิเคราะห์เจาะลึกถึงเบื้องหลังการตัดสินใจของจีน, ข้อกล่าวหาที่มีต่อ Nvidia, และผลกระทบระลอกคลื่นที่อาจเกิดขึ้น ซึ่งไม่เพียงแต่จะชี้ชะตาอนาคตของ Nvidia ในจีน แต่ยังอาจเป็นตัวกำหนดภูมิทัศน์ใหม่ของการแข่งขันทางเทคโนโลยีระหว่างสองชาติมหาอำนาจไปอีกหลายปี
จีนสอบสวน Nvidia ผลสอบสวนเบื้องต้น SAMR กล่าวหา Nvidia ละเมิดกฎหมายข้อใดบ้าง?
ทำไมจีนถึงสอบสวน Nvidia เรื่องการผูกขาด? หลังจากที่ SAMR ได้เริ่มกระบวนการสอบสวนอย่างเงียบๆ มานานหลายเดือน รวมถึงการเข้าตรวจค้นสำนักงานของ Nvidia ในจีนเมื่อช่วงต้นปีที่ผ่านมา ผลการสอบสวนเบื้องต้นได้ชี้ไปที่การใช้อำนาจเหนือตลาดในทางที่ผิดหลายประการ โดยมีศูนย์กลางอยู่ที่การครองตลาด GPU (Graphics Processing Unit) สำหรับศูนย์ข้อมูลและปัญญาประดิษฐ์ ซึ่ง Nvidia มีส่วนแบ่งตลาดในจีนสูงกว่า 90%
ข้อกล่าวหาหลักประกอบด้วย
- การขายพ่วง (Tying/Bundling) กล่าวหาว่า Nvidia บังคับให้ลูกค้าที่ซื้อ GPU สำหรับ AI ต้องซื้อหรือใช้แพลตฟอร์มซอฟต์แวร์ CUDA ซึ่งเป็นระบบนิเวศของ Nvidia เท่านั้น เป็นการกีดกันคู่แข่งด้านซอฟต์แวร์รายอื่น
- การกำหนดราคาที่ไม่เป็นธรรม (Unfair Pricing) SAMR อ้างว่า Nvidia ตั้งราคาสินค้าในตลาดจีนสูงเกินจริงอย่างไม่มีเหตุผล โดยอาศัยอำนาจผูกขาดในตลาด
- ข้อตกลงกีดกันคู่แข่ง (Exclusive Dealing) มีข้อสงสัยว่า Nvidia อาจทำข้อตกลงกับผู้ผลิตคอมพิวเตอร์และผู้ให้บริการคลาวด์บางรายในจีน เพื่อกีดกันไม่ให้ใช้ชิป AI จากบริษัทคู่แข่ง
- การปฏิเสธการค้า (Refusal to Deal) อาจมีการปฏิเสธที่จะขายสินค้าหรือให้บริการแก่ลูกค้าบางรายที่ไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไขที่จำกัดการแข่งขันของบริษัท
Nvidia ได้ออกแถลงการณ์สั้นๆ ว่า “บริษัทได้รับทราบผลการสอบสวนเบื้องต้นแล้ว และจะให้ความร่วมมือกับ SAMR อย่างต่อเนื่องเพื่อชี้แจงข้อกังวลต่างๆ”
มากกว่าเรื่องธุรกิจ นี่คือการ ‘เอาคืน’ มาตรการกีดกันชิปของสหรัฐฯ
เกิดอะไรขึ้นระหว่างจีนกับ Nvidia? หากมองผิวเผิน นี่อาจเป็นคดีต่อต้านการผูกขาดเหมือนที่บริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ทั่วโลกเคยเผชิญ แต่เมื่อพิจารณาในบริบทของสงครามเทคโนโลยี จะเห็นได้อย่างชัดเจนว่านี่คือการเคลื่อนไหวเชิงยุทธศาสตร์ของจีน
นับตั้งแต่ปี 2022 เป็นต้นมา กระทรวงพาณิชย์ของสหรัฐฯ ได้ออกมาตรการจำกัดการส่งออกเทคโนโลยีเซมิคอนดักเตอร์ไปยังประเทศจีนอย่างต่อเนื่อง โดยมีเป้าหมายหลักเพื่อสกัดกั้นการพัฒนาทางทหารและ AI ของจีน Nvidia ซึ่งเป็นผู้นำด้านชิป AI ระดับสูงอย่าง H100 และ B200 คือบริษัทที่ได้รับผลกระทบโดยตรงมากที่สุด
- การตอบโต้แบบตาต่อตา ฟันต่อฟัน ในขณะที่สหรัฐฯ ใช้ “รายการควบคุมการส่งออก” เป็นอาวุธ, จีนกำลังแสดงให้เห็นว่าพวกเขาสามารถใช้ “กฎหมายต่อต้านการผูกขาด” เป็นอาวุธตอบโต้ได้เช่นกัน
- การสร้างอำนาจต่อรอง การสอบสวนนี้สร้างแรงกดดันมหาศาลต่อ Nvidia ซึ่งรายได้ประมาณ 20-25% ยังคงมาจากตลาดจีน (รวมฮ่องกง) การถูกปรับเป็นเงินมหาศาล (ซึ่งอาจสูงถึง 10% ของรายได้ในจีน) หรือถูกบังคับให้เปลี่ยนแปลงโมเดลธุรกิจ อาจเป็นเครื่องมือที่จีนใช้ต่อรองเพื่อผ่อนปรนมาตรการของสหรัฐฯ
‘CUDA’ คือเป้าหมาย? การทลาย ‘คูเมือง’ ที่ป้องกันอาณาจักร Nvidia
หัวใจของความสำเร็จและอำนาจผูกขาดของ Nvidia ไม่ได้อยู่ที่ตัวฮาร์ดแวร์ GPU เพียงอย่างเดียว แต่อยู่ที่ CUDA (Compute Unified Device Architecture) ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มซอฟต์แวร์และชุดเครื่องมือที่นักพัฒนา AI ทั่วโลกใช้กันอย่างแพร่หลาย
- ระบบนิเวศที่แข็งแกร่ง (The Ecosystem Lock-in) CUDA ทำให้การเปลี่ยนไปใช้ GPU ของค่ายอื่นเป็นเรื่องที่ยากและมีค่าใช้จ่ายสูง เพราะนักพัฒนาจะต้องเรียนรู้และเขียนโค้ดใหม่ทั้งหมด สิ่งนี้เปรียบเสมือน “คูเมือง” ที่ป้องกันอาณาจักรของ Nvidia ไว้
- จุดเปราะบางทางกฎหมาย การผูกขาดฮาร์ดแวร์เข้ากับซอฟต์แวร์ในลักษณะนี้ คือเป้าหมายคลาสสิกของการสอบสวนด้านการต่อต้านการผูกขาดทั่วโลก หาก SAMR สามารถบีบให้ Nvidia ต้องเปิด CUDA ให้สามารถใช้งานกับฮาร์ดแวร์ของบริษัทอื่นได้ หรือต้องแยกธุรกิจซอฟต์แวร์ออกจากฮาร์ดแวร์ นั่นจะถือเป็นการสั่นคลอนรากฐานทางธุรกิจของ Nvidia อย่างรุนแรง และจะเป็นการเปิดทางให้ผู้ผลิตชิป AI สัญชาติจีน (เช่น Huawei Ascend) สามารถเข้ามาแข่งขันได้ง่ายขึ้น
ผลกระทบต่อ Nvidia และอนาคตที่ไม่แน่นอนในตลาดจีน
สงครามชิปส่งผลกระทบต่อ Nvidia อย่างไร? การประกาศของ SAMR ได้สร้างความเสี่ยงระลอกใหม่ให้กับบริษัทของ เจนสัน ฮวง
- ความเชื่อมั่นของนักลงทุน ราคาหุ้นของ Nvidia ตอบสนองเชิงลบทันทีต่อข่าวดังกล่าว สะท้อนถึงความกังวลของนักลงทุนต่อความเสี่ยงทางกฎหมายและรายได้ในอนาคตจากตลาดจีน
- ความไม่แน่นอนในการดำเนินธุรกิจ อนาคตของ Nvidia ในตลาดจีนจะเป็นอย่างไร คือคำถามที่ตอบได้ยากยิ่งขึ้น การสอบสวนที่ยืดเยื้อจะสร้างบรรยากาศของความไม่แน่นอน ทำให้ลูกค้าในจีนอาจชะลอการสั่งซื้อ หรือหันไปหาทางเลือกอื่นจากบริษัทในประเทศแทน
- ความเสี่ยงทางการเงิน หากถูกตัดสินว่ามีความผิดจริง ค่าปรับอาจสูงถึงหลายพันล้านดอลลาร์ และเงื่อนไขที่ถูกบังคับให้ปฏิบัติตามอาจส่งผลกระทบต่อกำไรในระยะยาว
บทสรุป เมื่อกฎหมายกลายเป็นอาวุธในสงครามเทคโนโลยี จีนสอบสวน Nvidia
การเปิดแนวรบด้านกฎหมายต่อต้านการผูกขาดของจีนต่อ Nvidia ถือเป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญในสงครามเทคโนโลยี มันแสดงให้เห็นว่าจีนจะไม่ยอมเป็นฝ่ายตั้งรับต่อมาตรการของสหรัฐฯ เพียงอย่างเดียว แต่พร้อมที่จะใช้เครื่องมือทุกอย่างที่มีในมือเพื่อตอบโต้และปกป้องผลประโยชน์ของตนเอง
ชะตากรรมของ Nvidia ในจีนได้กลายเป็นตัวแทนของความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนและเปราะบางระหว่างบริษัทเทคโนโลยีข้ามชาติกับรัฐชาติมหาอำนาจ ผลลัพธ์ของคดีนี้ไม่เพียงแต่จะกำหนดอนาคตของบริษัทเดียว แต่ยังจะเป็นการวางบรรทัดฐานใหม่สำหรับวิธีที่สงครามเย็นยุคใหม่ระหว่างสหรัฐฯ และจีน จะถูกสู้รบกันในสนามการค้าและเทคโนโลยีไปอีกนาน
แหล่งที่มาจาก : am2con